บทที่ 15 อดีตที่ผ่านมา

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สิบห้า

อดีตที่ผ่านมา

เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนกับแมว ยามเขาก้าวเดินนั้นช่างเงียบกริบราวกับเท้าไม่ได้สัมผัสพื้นก็มิปาน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขามาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไร แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเขาเป็นผลน้ำเต้าที่มีปาก จากการสังเกตในช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอพบว่าเด็กหนุ่มมักจะทำอะไรเงียบๆ และพูดน้อย ชอบเก็บเรื่องทุกข์ใจเอาไว้ เขาไม่เคยพูดให้ใครฟังแม้แต่คำเดียว ทว่าเสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าดวงตาคู่นั้นแฝงไปด้วยความโกรธแค้นยิ่งนัก ในใจของเขามีเรื่องมากมาย แต่ไม่เอ่ยออกมาเท่านั้นเอง

หากต้องเชื่อมความสัมพันธ์กับคนเช่นนี้คงเหนื่อยไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะเสวี่ยเจียเยว่ซึ่งเป็นคนที่มีความลับซ่อนอยู่ในใจ เพราะต้องคาดเดาความคิดของเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างรอบคอบ ห้ามทำให้เขาไม่พอใจเด็ดขาด ในเวลาเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้เขามองออกว่าเอ้อร์ยาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนเฉลียวฉลาด ทำให้คาดเดาความคิดของเขาได้ยาก ทว่าการที่เขาจะมองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่งกลับไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก

เวรกรรมจริงๆ เหตุใดเธอถึงข้ามภพมาเป็นน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงของเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยนะ เป็นก้อนหินให้เขาเหยียบย่ำใช้ประโยชน์ หรือเป็นสตรีที่พอเสร็จเรื่องก็ถูกเขาทิ้งขว้างยังจะดีเสียกว่า

ใบหน้าของเธอยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านพี่ ท่านเอาหญ้าให้วัวเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ ท่านไม่อยู่เฝ้าเมล็ดข้าวสาลีที่ตากอยู่นอกเรือน ไม่กลัวว่านกจะบินลงมาจิกกินหรืออย่างไร”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เอ่ยตอบ กลับเดินไปหยุดตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างกระชับได้ใจความ “ลุกขึ้นมา”

เสวี่ยเจียเยว่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กหน้าแท่นเตา ในมือเธอมีเหล็กคีบถ่านและคอยเติมฟาง เมื่อได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยเช่นนี้ เธอตะลึงงันไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานก็ลุกขึ้นตามคำสั่งของเขา โดยที่เหล็กคีบถ่านยังอยู่ในมือเธอ

เธอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งมองมาโดยไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะยื่นมือมาดึงเหล็กคีบถ่านไป

การกระทำนี้ทำให้ทั้งสองคนเลี่ยงการสัมผัสผิวเนื้อของกันและกันไม่ได้ เสวี่ยเจียเยว่รับรู้ได้ว่านิ้วมือเรียวยาวของเสวี่ยหยวนจิ้งเย็นเฉียบ น่าจะเป็นเพราะเมื่อครู่นี้เขาล้างไม้ล้างมือหลังจากเอาหญ้าให้วัวกินเสร็จ

ทว่าเด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่ามือของเสวี่ยเจียเยว่นั้นอบอุ่นนัก คงเป็นเพราะอีกฝ่ายนั่งอยู่หน้าแท่นเตานั่นเอง

เมื่อได้เหล็กคีบถ่านแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กตัวนั้นโดยไม่เอ่ยคำใด แล้วกำฟางมาก่อนจะใช้เหล็กคีบถ่านคีบฟางยัดเข้าไปในเตา

เปลวไฟสีแดงฉานที่กำลังลุกไหม้อยู่ในเตาส่องกระทบใบหน้าขาวเนียนของเขา เผยให้เห็นความหล่อเหลาที่ไม่มีผู้ใดเปรียบ

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจทันทีว่า แท้จริงแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งต้องการจะช่วยเธอเติมฟางเข้าไปในเตา

แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา การที่เธอทำดีกับเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเพราะมองว่าเขาเป็นคนหัวอกเดียวกัน ทว่ามากกว่านั้นคือเธอมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง เธอเพียงอยากทำดีต่อหน้าเขาเท่านั้น เพื่อวันข้างหน้าเมื่อเขามีอำนาจบารมีแล้วจะไม่กระทำการโหดเหี้ยมกับเธอ แต่ตอนนี้… เสวี่ยเจียเยว่นึกในใจ สองสามวันที่ผ่านมา แม้บางครั้งเสวี่ยหยวนจิ้งจะทำตัวเย็นชากับเธอ และไม่พูดไม่จา ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ดูออกว่าเขาแอบช่วยเหลือเธออย่างเงียบๆ นับว่าแผนการสำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้วกระมัง อย่างน้อยในภายภาคหน้า ยามที่เขามีอำนาจแล้วก็จะไม่มีเหตุการณ์คนถูกตัดแขนตัดขา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เธอไม่ต้องการจะมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับเขาจริงๆ

กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ยังรู้สึกดีอกดีใจเหลือแสน ราวกับว่าเธอได้โยนหินก้อนใหญ่ที่หนักหน่วงในใจเจ้าของร่างนี้ออกไปแล้ว และในยามนี้จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป เพียงชั่วพริบตาเธอรู้สึกว่าท้องฟ้าแจ่มใส ก้อนเมฆเป็นสีขาว ร่างกายของเธอล้วนรู้สึกผ่อนคลายโล่งสบายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อดีใจใบหน้าของเธอก็ประดับด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเรียวเล็กปรายมองเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนที่เธอจะเอ่ยขึ้น

“ท่านพี่ ท่านไม่ต้องช่วยก็ได้เจ้าค่ะ ท่านทำงานเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไปพักก่อนเถิด หากข้าทำอาหารเสร็จแล้วจะไปเรียกเองเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งปรายตามองเสวี่ยเจียเยว่ แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา

เหตุใดช่วงนี้แม่นางน้อยถึงได้ชอบยิ้มแย้มบ่อยนัก เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนอีกฝ่ายไม่ใช่คนชอบยิ้มแต่อย่างใด เป็นเหมือนกับซุนซิ่งฮวา ตลอดทั้งวันหากไม่ด่าคนอื่นสารพัด ก็จะกล่าวโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้แทน แต่ถึงแม้ว่าจะยิ้ม นั่นก็ทำให้คนมองรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่ใช่น้อย

ทว่าเมื่อแม่นางน้อยยิ้มในยามนี้ ราวกับมีแสงสว่างระยิบระยับอยู่ในดวงตา ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกดีขึ้นมา และอยากจะยิ้มตาม

มุมปากเสวี่ยหยวนจิ้งโค้งขึ้นเล็กน้อย สีหน้าที่เย็นชามาตลอดนั้นก็มีมุมที่อบอุ่นเหมือนกัน แต่เขายังไม่พูดสักคำเช่นเคย เพียงก้มหน้าคีบฟางใส่เข้าไปในเตาอย่างเงียบๆ ต่อ

เสวี่ยเจียเยว่ยังคงไม่วางใจเมล็ดข้าวสาลีที่ตากแดดเอาไว้ด้านนอก หากซุนซิ่งฮวาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าเมล็ดข้าวน้อยลง สุดท้ายก็ต้องมาด่าเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ดี เธอจึงเดินออกไปดู จากนั้นก็หัวเราะออกมา

เธอเห็นวัวที่ผูกไว้กับต้นผีผาพยายามพุ่งเข้าใส่ไม้ไผ่ลำยาวซึ่งมีผ้าสีแดงผูกไว้ด้านบน โดยที่ไม้ไผ่ลำนั้นปักอยู่ตรงกลางลานตากเมล็ดข้าวสาลี แต่เพราะเชือกถูกมัดอย่างแน่นหนา มันจึงไม่สามารถเดินไปไหนได้ ได้แต่ทำท่าจะพุ่งเข้าใส่ไม้ไผ่ตลอดเวลา ทำให้พวกนกตกใจเมื่อเห็นท่าทางดุร้ายของมัน และเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ไม่กล้าบินลงมาจิกกินเมล็ดข้าวสาลี

ช่างเป็นวิธีที่ชาญฉลาดจริงๆ เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยชมเช่นนี้ในใจ ก่อนจะกลับเข้าไปทำอาหารในห้องครัวต่อ

มีเสวี่ยหยวนจิ้งคอยช่วย เธอก็ไม่ต้องลุกนั่งจนวุ่นอีกต่อไป การทำอาหารจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น

เมื่อข้าวต้มสุกแล้ว กับข้าวก็เสร็จเช่นกัน

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าอีกฝ่ายทำอาหารเสร็จเรียบร้อย เขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องครัว ยังคงไม่พูดอะไรออกมาสักคำเช่นเคย แต่เสวี่ยเจียเยว่ชินชากับการที่เขาพูดน้อยแล้ว จึงไม่ได้ถือสาอะไร ก่อนจะไปปลุกเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวามากินข้าว

เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็นำถ้วยชามไปล้าง เสวี่ยหย่งฝูกับคนอื่นๆ ออกไปปลูกต้นฝ้ายในทุ่งนา โดยพ่อเลี้ยงของเธอจูงวัวไปด้วย เพื่อให้มันได้เล็มหญ้าข้างที่นา ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ก็อยู่ที่เรือนเฝ้าเมล็ดข้าวสาลีต่อ

เมื่อตากแดดอยู่หลายวัน เมล็ดข้าวสาลีก็แห้งดี ก่อนจะนำไปโม่ในโรงสีหน้าหมู่บ้านให้กลายเป็นแป้งสาลี ตั้งแต่เสวี่ยเจียเยว่ข้ามภพมา เธอเคยกินหมั่นโถวที่ทำจากแป้งสาลีหนึ่งครั้ง ไม่ใช่หมั่นโถวที่ทำจากธัญพืชหรือข้าวโพด

ชาวนาไม่มีเวลาว่างให้พักเลย เมื่อปลูกต้นฝ้ายในช่วงเดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติเสร็จ เดือนหกก็ต้องเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวสาลีที่สุกแก่ก่อนกำหนด ก่อนจะปักดำต้นกล้าอีกครั้ง พอถึงเดือนเจ็ดงานก็เบาลงบ้าง เพียงถอนวัชพืช จากนั้นก็เริ่มปลูกผัก แต่เมื่อถึงเดือนแปดก็เป็นช่วงที่งานยุ่งอีกครั้ง เพราะต้องเก็บเกี่ยวถั่วลิสง ถั่วเขียว และถั่วเหลือง ทั้งยังต้องปลูกถั่วปากอ้า ถั่วลันเตา และหัวไช้เท้า

ช่วงเดือนหกเป็นเวลาที่พืชจำพวกแตงสุกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งทับทิม สาลี่ พุทราจีน และลูกพลับ ในน้ำมีดอกบัวกับกระจับ ในนาเป็นพวกน้ำเต้า ฟักทอง ถั่วฝักยาว และฟักเขียว เสวี่ยเจียเยว่สามารถนำพวกมันมาเติมเต็มท้องให้อิ่มได้ในทุกวัน

ช่วงกลางเดือนเจ็ด อากาศเริ่มหนาวขึ้น เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนกลัวความหนาวที่สุด อีกทั้งเสื้อผ้ากันความหนาวของเธอก็มีไม่มาก เธอค้นดูในหีบผ้า นำชุดที่คิดว่าสามารถสวมได้มาสวมไปก่อน โดยไม่สนใจว่ามันจะสวยหรือไม่

เมื่อผ่านพ้นเดือนแปดแล้ว ช่วงเดือนเก้าก็เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวสาลีกับผักกาดก้านขาว เมื่อทำงานเหล่านี้เสร็จ ชาวนาก็ได้พักผ่อนกันเสียที จากนั้นจะมีคนมารับซื้อธัญพืชที่เก็บไว้ในยุ้งฉาง ทุกเรือนต่างมีธัญพืชเอาไว้ขาย เมื่อเห็นว่าอากาศเริ่มหนาวเย็นลง ก็เริ่มหมักไก่และทำปลาเค็ม ทั้งยังยุ่งกับการทำน้ำเต้าตากแห้ง มะเขือยาวตากแห้ง และถั่วฝักยาวตากแห้ง โดยวางเนื้อไก่ ปลา รวมทั้งพืชผักเหล่านั้นลงบนกระด้งใบใหญ่ ก่อนจะนำไปตากแดด ในลานของทุกเรือนจึงเต็มไปด้วยของเหล่านี้

ขณะที่คนอื่นมีงานเบาลง เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมีงานอยู่เสมอ

ซุนซิ่งฮวาซื้อหมูมาเลี้ยงสองตัว ซึ่งเลี้ยงเอาไว้ในเล้าไก่เดิม และเป็นธรรมดาที่นางจะไม่ยอมให้หมูกินธัญพืช ดังนั้นในทุกวัน เสวี่ยเจียเยว่จึงต้องออกไปเกี่ยวหญ้าจูเฉ่ามาเต็มตะกร้า หากเกี่ยวหญ้าไม่เต็มตะกร้า ก็หมายความว่าเธอขี้เกียจ และจะต้องถูกทำโทษด้วยการไม่ให้กินข้าวเย็น

ทุกเช้าหลังจากกินข้าวเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ต้องถือเคียวกับตะกร้าหวายใบใหญ่ใบหนึ่งออกไปเกี่ยวหญ้าจูเฉ่า ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งจะออกไปเลี้ยงวัว โดยเดินไปสุดทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน แล้วแยกกันตรงที่นาเล็กๆ ผืนนั้น

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าบางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจเสวี่ยหยวนจิ้ง ตั้งแต่อาจารย์โจวมาที่เรือนในครั้งนั้น เด็กหนุ่มเหมือนจะทำดีกับเธอขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยบางครั้งก็ช่วยเธอทำงานบางอย่าง ทว่าเขายังคงไม่พูดกับเธอเช่นเคย ตอนที่เผชิญหน้ากันก็มักจะทำหน้าบึ้งตึง แม้แต่สายตายังคร้านจะมอง ทำให้เธอเดาใจเขาไม่ออกเลยว่า แท้จริงแล้วเขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเธอหรือไม่

ทว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ เธอปลอบใจตัวเองว่าภาระที่หนักอึ้งมักจะมีเส้นทางยาวไกล แต่ไม่ใช่ปัญหาอันใด เธอสามารถกำหนดเป้าหมายเล็กๆ ของตนได้ ขั้นตอนแรกคือต้องทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อาฆาตแค้นต่อเธอ แม้ว่าในอนาคตพวกเขาจะต้องแยกจากกันก็ตาม มิเช่นนั้นเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อจับเธอกลับมาทรมานอย่างโหดเหี้ยม จนเธอถูกตัดแขนตัดขาในที่สุด หากต่อไปไม่มีผู้ใดได้พบเธอก็ดี ถึงอย่างไรในภายภาคหน้าเธอก็ไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลเสวี่ยไปจนตายเด็ดขาด

เมื่อคิดได้ดังนั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็ถือตะกร้าเดินไปเกี่ยวหญ้าจูเฉ่าอย่างสบายใจ

พอเสวี่ยเจียเยว่เกี่ยวหญ้าจูเฉ่าจนเต็มตะกร้า ก็ใกล้ถึงเวลากินอาหารกลางวันพอดี เธอจึงถือตะกร้าเดินไปตามทางที่จะกลับเรือน

ทว่าเดินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา

ฝนในฤดูใบไม้ร่วงแม้จะไม่ตกหนักเท่าฤดูร้อน ทว่าทำให้มองทางเดินได้ไม่ชัดเจน อีกทั้งร่างกายยังหนาวเย็นได้ง่ายๆ เสื้อผ้าของเสวี่ยเจียเยว่ไม่หนามาก หากมันเปียกปอน แล้วในอีกหลายวันข้างหน้าจะทำอย่างไร เช่นนั้นเธอต้องหาสถานที่หลบฝนก่อน

มีศาลเจ้าหลังหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล แม้สถานที่นั้นจะไม่ใหญ่นัก ทว่าด้านในก็ใช้หลบฝนได้

เสวี่ยเจียเยว่ยกตะกร้าหญ้าขึ้นเหนือศีรษะเพื่อบังฝน ขณะที่คิดจะวิ่งไปทางศาลเจ้า เธอก้มหน้าลงมองพื้นก็เห็นว่าแฉะชื้นเป็นโคลนไปแล้ว ช่วงนี้ท้องฟ้ามักจะมืดครึ้มและมีฝนตก ทั้งยังตกติดต่อกันเป็นเวลานาน

เธอวางตะกร้าบนพื้น ก่อนโน้มตัวลงถอดรองเท้าแล้วถือเอาไว้

รองเท้าที่เธอสวมเป็นรองเท้าผ้า เดิมทีก็ไม่ทนน้ำไม่ทนโคลนอยู่แล้ว ที่สำคัญคือ เธอมีรองเท้าเพียงคู่เดียว หากเปียกแล้วเกรงว่าต่อไปจะไม่มีรองเท้าสวม จึงต้องทะนุถนอมให้มาก

จากนั้นเธอก็ยกตะกร้าขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งเท้าเปล่าไปทางศาลเจ้าแห่งนั้น

เมื่อวิ่งมาถึงหน้าศาลเจ้า เธอก็เห็นวัวตัวหนึ่งถูกผูกเอาไว้กับต้นหลิว มันกำลังเงยหน้าร้อง และมีคนผู้หนึ่งยืนหลบฝนอยู่ในศาลเจ้า เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่วิ่งเข้าไปใกล้ศาลเจ้า เขาก็ใช้สายตาเย็นชาเหลือบมองเธอ

เสวี่ยเจียเยว่เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น มุมปากของเธอก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม