สิบหก

หลบฝนด้วยกัน

ความจริงแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเสวี่ยเจียเยว่ยกตะกร้าขึ้นเหนือศีรษะวิ่งฝ่าฝนมาตั้งนานแล้ว ทว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปากเรียกอีกฝ่ายเข้ามาหลบฝนด้วยกัน

กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่พูดออกมา เพียงกวาดตามองแม่นางน้อยอย่างเงียบงัน

แม้ว่าจะมีตะกร้าบังฝน ทว่าวันนี้ลมแรง ฝนจึงกระเซ็นใส่ใบหน้าและร่างกายของเสวี่ยเจียเยว่ ตอนนี้เส้นผมยาวสลวยสีดำขลับมีเม็ดฝนเกาะราวกับหมอกบางๆ เสื้อเปียกชุ่มไปกว่าครึ่งแล้ว อีกทั้งยังพับขากางเกงขึ้นมาถึงน่อง และเท้าทั้งสองข้างก็เปลือยเปล่า

เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งไม่เคยสนใจน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงเลย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้าหรือออกจากเรือน จะไปไหนก็ล้วนไม่เกี่ยวกับเขา แต่หลังจากแม่นางน้อยไข้ขึ้นครั้งนั้น ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปมาก เขาเริ่มสนใจในตัวน้องสาวผู้นี้ขึ้นทุกวัน

เนื่องจากวันที่อาจารย์โจวมาที่เรือน เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยปากขอซุนซิ่งฮวาให้เขาได้กลับไปเรียนที่สำนักศึกษา แต่จริงๆ แล้วเสวี่ยหยวนจิ้งมิได้รู้สึกดีอะไรขนาดนั้น อย่างมากที่สุดความโกรธแค้นเดือดดาลก็ไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว และบางครั้งก็ช่วยเสวี่ยเจียเยว่ทำงาน เพราะเขาไม่อยากติดค้างบุญคุณอีกฝ่าย

ถึงอย่างไรในใจของเขาก็ยังคงแยกแยะผิดถูกได้ว่า แม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตัวเขา

ทว่ายามนี้นิ้วเท้าทั้งสิบเรียวเล็ก ผิวขาวเนียนราวกับดอกมะลิสีขาวบานสะพรั่งในยามค่ำคืนของฤดูร้อน ใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดฝนประดับรอยยิ้มบางๆ ดวงตาเล็กหยีคู่นั้นดูไปแล้วก็น่ารักชวนมองไม่น้อย

จู่ๆ หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

อีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบเท่านั้น เหตุใดเขาต้องคิดเช่นนั้นด้วยเล่า

เสวี่ยหยวนจิ้งขยับไปด้านข้างโดยไม่เอ่ยคำใด ไม่แม้แต่จะมองเสวี่ยเจียเยว่ สายตาของเขาทอดมองไปยังม่านฝนด้านนอกเท่านั้น

แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาให้ชัดเจน ทว่าเสวี่ยเจียเยว่ก็รู้ว่าที่เขาทำเช่นนี้คือการเรียกให้เธอเข้าไปหลบฝนด้านในด้วย เธอจึงเอ่ยขอบคุณและรีบวิ่งเข้าไปด้านใน

ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นโดยการรวบรวมเงินจากคนในหมู่บ้าน มีผนังอิฐสามด้าน ทว่าไม่มีประตูแม้แต่บานเดียว ภายในศาลเจ้ามีแท่นบูชาสูงกับรูปปั้นอากงอาม่าตั้งอยู่ เพื่อให้คนได้กราบไหว้บูชา ด้านหน้ารูปปั้นมีแท่นบูชาที่ทำจากอิฐหนึ่งแผ่น ซึ่งมีกระถางธูปสีเทาวางอยู่หนึ่งใบ ในกระถางเต็มไปด้วยขี้เถ้าจากธูป

ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งยืนหลบฝนอยู่ในศาลเจ้า โดยมีแท่นบูชาจากอิฐแผ่นนั้นกั้นกลาง

ฝนตกในฤดูใบไม้ร่วง และยามนี้ละอองฝนก็ถูกลมพัดมากระทบใบหน้าของคนทั้งสอง

เท้าของเสวี่ยเจียเยว่ยังคงเปื้อนโคลนตม เธอไม่ได้สวมรองเท้าเข้ามาในศาลเจ้าเพราะเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เมื่อลมเย็นพัดมากระทบร่าง เธอจึงอดสั่นเทาเพราะความหนาวเหน็บไม่ได้ จนต้องขยับเข้าไปยืนด้านใน

เสวี่ยเจียเยว่เหลือบเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งมองมาที่เท้าของเธอ แต่เมื่อเธอหันไปมอง เขากลับเบนสายตาไปยังม่านฝนด้านหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา ราวกับว่าเมื่อครู่นี้เธอเข้าใจผิดไปเอง

ตั้งแต่เสวี่ยเจียเยว่ข้ามภพมา เธอระวังตัวและพูดน้อย ทว่าเห็นได้ชัดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งพูดไม่เก่งยิ่งกว่าเธอเสียอีก หากจำไม่ผิด เธอข้ามภพมาได้หลายเดือนแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งพูดกับเธอไม่เกินสิบประโยคกระมัง ทั้งยังเป็นประโยคตำหนิและตักเตือนเสียเป็นส่วนใหญ่

เสวี่ยเจียเยว่ยกมือซ้ายขึ้นมาจับแขนขวาของตนพลางนึกในใจอย่างกลัดกลุ้ม หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้คงทำด้วยน้ำแข็งพันปีกระมัง พยายามเป็นมิตรกับคนเช่นนี้ น่าเหนื่อยใจจริงๆ

ตอนที่เธอเข้ามาเมื่อสักครู่นี้ก็ได้วางตะกร้าหวายใส่หญ้าจูเฉ่าไว้ข้างเท้าของตน เมื่อคิดขึ้นได้เธอจึงนั่งลงหยิบหญ้าจูเฉ่าออกมาปูรองนั่ง จากนั้นก็หยิบของบางอย่างที่มีลักษณะกลมๆ สีน้ำตาลออกมา

สิ่งนั้นก็คือแห้ว ในหมู่บ้านซิ่วเฟิงมีชาวบ้านปลูกพืชชนิดนี้เอาไว้ ตอนนี้พวกมันโตเต็มที่พอให้เก็บขึ้นมาได้แล้ว ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่เกี่ยวหญ้านั้น เธอได้เก็บแห้วที่ชาวบ้านคัดทิ้งมาด้วย เป็นเพียงแห้วไม่กี่หัวที่ชาวบ้านไม่เอา

เดิมทีเธออยากจะเก็บเอาไว้กินเอง ทว่าตอนนี้…

เธอส่งแห้วให้เสวี่ยหยวนจิ้ง แล้วยิ้มพลางเอ่ย “ท่านพี่ แห้วพวกนี้ ข้ายกให้ท่านเจ้าค่ะ”

ไม่ว่าอย่างไร การเชื่อมความสัมพันธ์ยังต้องดำเนินต่อไป เพราะตอนนี้เธอก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว

เสวี่ยหยวนจิ้งเดิมทีก็แอบสังเกตเสวี่ยเจียเยว่อย่างเงียบๆ มาโดยตลอด แต่ไม่ให้อีกฝ่ายรู้เท่านั้นเอง เมื่อได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเช่นนี้ เขาก็หันหน้าอันเย็นชาไปมองอย่างเปิดเผย

เขาเห็นรอยยิ้มแป้นแล้นบนใบหน้าของแม่นางน้อย ดวงตาเล็กหยีคู่นั้นกำลังมองมาที่เขา จากนั้นเขาก็มองแห้วที่เสวี่ยเจียเยว่ยกให้ด้วยสองมือน้อยๆ บนใบหน้าเล็กมีโคลนเลอะอยู่ อีกทั้งมือยังเต็มไปด้วยโคลน

เสวี่ยหยวนจิ้งขมวดคิ้วแน่น เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นสีหน้าเขา ก็นึกว่าเด็กหนุ่มคงไม่รับของสิ่งนี้จากมือเธอ อาจรังเกียจที่แห้วพวกนี้สกปรก ครั้นเธอจะชักมือกลับ คิดจะเก็บไว้กินเอง เด็กหนุ่มก็ยื่นมือมาหยิบแห้วทั้งหมดไปจากมือเธอ

เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงและไม่ได้พูดอะไรออกมา

‘เหลือไว้สักหัวก็ยังดี’

สายตาของเธอยังคงตะลึงค้างอยู่เช่นนั้น ก่อนจะพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งมองไปยังม่านฝนด้านนอก จากนั้นก็เดินออกไป

ในที่นาของชาวบ้านยังมีต้นผักกาดก้านขาวอยู่ สองข้างทางมีต้นหลิวเรียงราย ไกลออกไปมีต้นสนใบเขียวชอุ่มตลอดปีบนฝายกั้นน้ำ แม้แต่ม่านฝนที่อยู่ตรงหน้าในยามนี้ก็บดบังภาพอันสวยงามเช่นนั้นไม่ได้

เสวี่ยเจียเยว่เห็นแผ่นหลังอันซูบผอมของเสวี่ยหยวนจิ้งเหยียดตรงขณะเดินอยู่ท่ามกลางม่านฝน สายลมอันเย็นยะเยือกพัดชายเสื้อสีครามของเขาให้ปลิวไสว ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเขาเป็นดั่งคุณชายที่งดงามประดุจหยก ราวกับภาพวาดหมึกสีดำอันวิจิตรก็มิปาน

เสวี่ยเจียเยว่อดตะลึงงันไม่ได้ หลังจากเธอได้สติ ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินไปถึงลำธาร ก่อนจะนั่งลงล้างแห้วที่เธอยกให้เมื่อครู่

ในลำธารสายนั้นมีคนนำบัวมาปลูกไว้ เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงก็เก็บรากบัวขึ้นมากินได้ แม้ว่าในยามนี้จะไม่มีดอกบัวแล้ว ทว่ายังมีใบบัวสีเขียวแกมเทาอยู่เป็นจำนวนมาก

เสวี่ยเจียเยว่เห็นเด็กหนุ่มล้างแห้วเสร็จแล้วก็เด็ดใบบัวมาหนึ่งใบ ขณะที่ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็เห็นเขาหมุนตัวเดินกลับมา

เธอรีบแกล้งทำเป็นไม่เห็นการกระทำของเขาเมื่อครู่นี้ โดยเบนสายตาไปอีกด้าน ทำท่าพินิจมองรูปปั้นอากงอาม่าในศาลเจ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

แต่เธอก็ยังอดเหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้

เมื่อเขาเข้ามาในศาลเจ้าแล้ว ก็ขมวดคิ้วมองแท่นบูชาตรงหน้าทันที เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเขาคงอยากจะนำแห้วไปวางไว้บนแท่นบูชา ทว่ารังเกียจที่แท่นบูชานั้นสกปรกมาก เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่วางมันลง และถือเอาไว้เอง จากนั้นก็ปรายตามองมาที่เธอ ก่อนจะยื่นใบบัวให้โดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา

เสวี่ยเจียเยว่เห็นใบบัวถูกม้วนเป็นทรงกรวย อีกทั้งในนั้นยังมีน้ำอยู่ด้วย

เขาจะให้เธอเอาสิ่งนี้ไปทำอะไร… เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดอยู่ในใจ แต่สีหน้าของเธอยังคงเรียบเฉย และทำเป็นไม่เห็นการกระทำของเด็กหนุ่ม เธอเพ่งมองรูปปั้นอากงอาม่าในศาลเจ้าอย่างตั้งอกตั้งใจเช่นเดิม

เธอตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะทดสอบดูว่าตนกับเสวี่ยหยวนจิ้ง ใครจะพูดน้อยกว่ากัน มิเช่นนั้นหากเธอชวนเขาคุยทั้งวัน ทว่าเขากลับไม่ตอบสักคำ เธอจะไม่กระอักกระอ่วนแย่หรือ ให้เขาได้ลิ้มรสชาติความอึดอัดบ้างก็ดี

ในยามนี้ไม่มีผู้ใดพูดออกมาสักคำ ในศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้จึงเงียบสงัดลงไม่น้อย ได้ยินเพียงเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคา และเสียงน้ำหยดลงมาจากชายคาของศาลเจ้า

สุดท้ายก็เป็นเสวี่ยเจียเยว่ที่พ่ายแพ้ เพราะเธอเห็นว่าหลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งยื่นใบบัวมาให้ แต่เมื่อเธอไม่รับ เขาก็คิดจะโยนใบบัวออกไป เธอจึงแกล้งทำเป็นเพิ่งเห็น ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกใจระคนดีใจ

“ไอหยา ท่านพี่ ท่านกลับมาแล้วหรือ ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไรกัน”

เธอมองใบบัวในมือเขา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีก “ให้ข้าหรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ตอบอันใด เพียงยกมือขวาขึ้นมาอย่างช้าๆ น้ำในใบบัวนั้นก็กระเพื่อมเป็นคลื่นเล็กๆ

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจว่านี่คงเป็นคำตอบของเขา จึงรีบเอื้อมมือไปรับ ทว่าเธอไม่เข้าใจว่าที่เสวี่ยหยวนจิ้งให้สิ่งนี้แก่เธอนั้นหมายความว่าอย่างไร ขณะคิดจะเอ่ยถาม ก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของเขาดังขึ้นเสียก่อน

“ล้างมือล้างเท้าเสีย”

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจทันที จากนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อตนได้รับความเอ็นดูอย่างคาดไม่ถึงเช่นนี้

ที่แท้เสวี่ยหยวนจิ้งก็ใช้ใบบัวตักน้ำกลับมาให้เธอล้างมือล้างเท้านี่เอง

เมื่อดีใจใบหน้าของเธอก็ปรากฏรอยยิ้ม ทั้งยังเอ่ยด้วยเสียงอันไพเราะ “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ ท่านพี่นี่ช่างดีกับข้าจริงๆ”

เสวี่ยหยวนจิ้งทำราวกับไม่ได้ยินประโยคนั้น และหันกลับมาด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย แต่เมื่ออยู่ในมุมที่เสวี่ยเจียเยว่มองไม่เห็น มุมปากของเขาพลันโค้งขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาคู่นั้นแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าเพียงครู่เดียวก็หายไป และกลับมาทำหน้าเย็นชาหมื่นปีไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเคย

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกดีใจไม่น้อย ในภพที่จากมาแม้เธอเคยผ่านความลำบากมามาก ทว่าเธอมีนิสัยมองโลกในแง่ดี อีกทั้งยังเป็นคนที่พอใจกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย คนอื่นให้ลูกอมแก่เธอแค่เม็ดเดียว เธอก็สามารถดีใจได้ถึงครึ่งค่อนวันเลยทีเดียว

เธอใช้น้ำในใบบัวล้างมือ ก่อนจะนำใบบัวนั้นไปรองน้ำที่หยดลงมาจากชายคา และล้างเท้าให้สะอาดสะอ้าน จากนั้นก็นำรองเท้ามาสวม

เมื่อสวมรองเท้าเสร็จแล้ว เท้าของเธอก็ไม่เย็นเฉียบอีกต่อไป

เสวี่ยเจียเยว่คิดจะชวนเสวี่ยหยวนจิ้งคุย แต่เขากลับเดินเข้ามาก้าวหนึ่งพลางยื่นมือมาให้เธอ

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เพียงมีใบหน้าหล่อเหลาเท่านั้น มือของเขายังงดงามไม่มีที่ติอีกด้วย

มือเขาขาวเนียนหมดจด นิ้วมือเรียวยาว ดูงดงามยากจะหาผู้ใดในใต้หล้านี้มาเปรียบได้

และตอนนี้บนฝ่ามือขาวผ่องได้รูปของเขามีแห้วที่ล้างจนสะอาดแล้วหลายหัว แม้กระทั่งเนื้อบางๆ สีน้ำตาลที่อยู่บนแห้วเหล่านั้นยังถูกชะล้างจนหมดจด สามารถนำเข้าปากกินได้ทันที

เสวี่ยเจียเยว่ยิ่งรู้สึกเหมือนได้รับความเอ็นดูมากขึ้น พลางมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจระคนดีใจ “ให้ข้าหรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งเม้มปากและไม่เอ่ยคำใด

เสวี่ยเจียเยว่นึกว่าเขาจะไม่ตอบเธอเหมือนที่ผ่านมา ขณะจะเอื้อมมือไปหยิบแห้วบนฝ่ามือเขาขึ้นมากิน ก็ได้ยินเสียงเอ่ยตอบอันแผ่วเบาของเสวี่ยหยวนจิ้ง

“ใช่”