ตอนที่ 56 ชายหนุ่มชุดสีขาว (2) + ตอนที่ 57 หอรื่นรมย์

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 56 ชายหนุ่มชุดสีขาว (2)

เมื่อทราบว่าเมื่อครู่ขณะที่ตนตกอยู่ในอันตราย ชายหนุ่มตรงหน้าได้ช่วยเหลือเธอไว้ เล่อเหยาเหยานอกจากจะอับอายแล้ว ยังอดมองชายหนุ่มด้วยสายตาอันซาบซึ้งไม่ได้ด้วย ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ

“ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือข้า ถ้าไม่ได้คุณชาย ข้าต้องถูกม้าเหยียบเป็นแน่”

“ฮ่าๆ เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องขอบคุณหรอก ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ ขอตัวก่อน!”

เอ่ยจบ ชายหนุ่มขุดสีขาวหมุนตัวเดินจากไปอย่างไรเยื่อใย

แขนเสื้อที่เบาบาง รูปร่างอันสง่างาม ใบหน้าอันงดงาม คล้ายบทกลอนของสวี จื้อหมัวที่ว่าเมื่อต้องจากลา ควรละทิ้งสิ้นทุกอย่าง

“เอ๊ะ!”

เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดที่จะเขย่งเท้าร้องเรียกไม่ได้ ทว่าเสียดายที่ชายหนุ่มชุดขาวเดินอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็หายไปท่ามกลางฝูงชน

เมื่อเป็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกหดหู่ใจ พลันก้มหน้าลงบ่นพึมพำกับตัวเอง

“ไปเร็วเหลือเกิน ข้ายังไม่ทันได้รู้ชื่อท่านเลย!?”

หลังเอ่ยจบ เล่อเหยาเหยาจึงนึกได้ว่ารู้ชื่อเขาแล้วอย่างไร

พวกเราเพียงพบกันโดยบังเอิญ อาจไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

น่าเสียดายที่เธอไม่ได้ขอบคุณชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้!

ขณะที่กำลังคิด เสี่ยวมู่จื่อที่อยู่ด้านข้างเริ่มสำรวจร่างกายของเล่อเหยาเหยาอย่างร้อนใจ หลังเห็นว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บใดๆ จิตใจที่ร้อนรนจึงสงบลงในที่สุด

พลางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เสี่ยวมู่จื่อตบลงที่หน้าอกและอุทานออกมาอย่างพรั่นพรึง

“โชคดีที่เจ้าไม่เป็นไรนะเสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าไม่รู้ว่าเมื่อครู่ข้าตกใจแทบตาย! ดีที่ตอนรถม้าจะชนเจ้า คุณชายชุดขาวนั้นปรากฏตัวขึ้นมาพอดี เจ้าไม่รู้เมื่อครู่คุณชายชุดขาวผู้นั้นฝีมือยอดเยี่ยมเพียงใด เพียงยื่นมือออกไปก็คว้าตัวเจ้าเอาไว้ได้ ไม่งั้นเจ้าตอนนี้…”

เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย เสี่ยวมู่จื่อคล้ายได้สติ ใบหน้าพลันหวาดหวั่นทันที พร้อมรีบ ‘ถุย’ เสียงดังอยู่หลายครั้ง เหมือนกับว่าหากทำเช่นนี้ความโชคร้ายทั้งหมดจะสูญหายไป

“เสี่ยวเหยาจื่อ เรากลับตำหนักอ๋องกันเถอะ!”

เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ เสี่ยวมู่จื่อยังรู้สึกหวาดกลัว จึงคิดกลับตำหนักอ๋อง

เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเสี่ยวมู่จื่อ แน่นอนว่าเล่อเหยาเหยาไม่ยินยอม

“โถ เสี่ยวมู่จื่อ ข้าไม่เป็นอะไร เมื่อครู่เพียงตกใจ ตอนนี้ยังไม่มืด เราไปเดินกันต่อเถอะนะ เพราะตอนนี้ข้าหิวแล้ว ไปหาอะไรกินแล้วค่อยกลับเถอะ!”

เล่อเหยาเหยาพลางเอามือลูบหน้าท้องแบนราบของตนขณะที่บุ้ยปาก  ท่าทางนั้นทั้งน่ารักและน่าสงสาร แม้บุรุษที่ใจแข็งดั่งหินผาเห็นเข้าล้วนต้องใจอ่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสี่ยวมู่จื่อ

เมื่อเห็นเช่นนั้น เสี่ยวมู่จื่อทำได้เพียงพยักหน้าตกลงอย่างจนใจ

เมื่อเล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้นพลันยิ้มออกมา ดึงตัวเสี่ยวมู่จื่อเดินไปยังโรงเตี๊ยมด้านหน้า

เมื่อครู่ที่เดินผ่านโรงเตี๊ยม กลิ่นหอมของอาหารโชยออกมาจากด้านใน ทำให้ต่อมน้ำลายของเธอทำงานทันที ไม่รู้สองตำลึงเงินของเธอจะสั่งเมนูใดได้บ้าง

แต่ตอนนี้เธอหิวมากไม่สนใจสิ่งใดแล้ว จึงดึงตัวเสี่ยวมู่จื่อไปยังโรงเตี๊ยมตรงหน้าทันที

“หอรื่นรมย์? ฮ่าๆ ชื่อโรงเตี้ยมน่าสนใจจริงๆ!”

เมื่อมองเห็นป้ายที่แขวนไว้ด้านหน้าประตูของโรงเตี้ยม หลังอ่านจบเล่อเหยาเหยาจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้

ราชวงศ์เทียนหยวนนี้ แม้เป็นยุคสมัยที่ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ทว่าตัวอักษรพวกนั้น ความจริงแทบจะเหมือนกับตัวอักษรสมัยโบราณอย่างมาก ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงอ่านตัวอักษรส่วนใหญ่นี้ได้

เรื่องนี้ทำให้เล่อเหยาเหยาแอบดีใจในใจ เพราะอย่างน้อยหลังเธอมาถึงที่นี่ เธอไม่ใช่คนที่ไม่รู้หนังสือ!

…………………………………………………………………..

ตอนที่ 57 หอรื่นรมย์

เสี่ยวมู่จื่อเห็นเล่อเหยาเหยาต้องการเข้าไปในหอรื่นรมย์แห่งนี้ รีบดึงแขนของเล่อเหยาเหยาเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่ความกระดากอายว่า

“เสี่ยวเหยาจื่อ ที่นี่เป็นร้านอาหารใหญ่ ของด้านในต้องแพงมากแน่ เราไปพวกเกี๊ยวน้ำที่ร้านแผงลอยกันดีกว่า”

เสี่ยวมู่จื่อเอ่ยอย่างกระซิบกระซาบ คล้ายกลัวถูกคนได้ยินเข้า

นี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ฐานะของครอบครัวเสี่ยวมู่จื่อยากจน ภายในบ้านยังมีน้องสาวน้องชายอีกหลายคนต้องเลี้ยงดู บิดามารดาที่แบกภาระไม่ไหว จึงขายตัวเขาแลกกับเงินเพื่อเลี้ยงดูเหล่าน้องสาวน้องชาย

แม้ก่อนหน้านี้ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เล่อเหยาเหยาเป็นคนที่หน้าตาและผลการเรียนที่ธรรมดา แต่ฐานะครอบครัวกลับไม่ธรรมดา ครอบครัวเธอเป็นเศรษฐีใหม่มีเงินมีทองกองเป็นภูเขา

ทว่าบิดาเคยบอกว่ากลัวเธอจะเป็นเหมือนลูกข้าราชการ ลูกเศรษฐีที่ไม่เอาไหนพวกนั้น ดังนั้นทุกเดือนจึงให้เธอใช้จ่ายเทียบเท่ากับคนธรรมดา เธอจึงต้องทำงานเล็กน้อยหาเงินระหว่างเรียน

แต่จะพูดอย่างไรเธอก็เป็นคุณหนูที่ร่ำรวย สามารถกินทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ

ดังนั้นเมื่อเห็นเสี่ยวมู่จื่อมีสีหน้ากระดากอายไม่กล้าพูดเสียงดัง ในใจรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา

เพราะถึงอย่างไรเมื่อเธอมาถึงที่นี่เสี่ยวมู่จื่อเป็นคนที่ดีกับเธอที่สุด เธอจึงเห็นเสี่ยวมู่จื่อเป็นเหมือนเพื่อนสนิท

ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเสี่ยวมู่จื่อ!

แม้ตอนนี้สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย แต่อาหารเพียงมื้อเดียวเธอเลี้ยงได้อยู่แล้ว!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงดึงเสี่ยวมู่จื่อเข้ามา ก่อนจะเอ่ยว่า

“กินเกี๊ยวน้ำอะไร ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ออกจากวัง ดังนั้นต้องกินอาหารดีๆ สิ!”

เอ่ยจบ เล่อเหยาเหยาดึงเสี่ยวมู่จื่อที่สีหน้ากระดากอาย เดินเข้าไปในหอรื่นรมย์

จึงเห็นว่าหอรื่นรมย์แห่งนี้ แม้จะไม่ใช่ตั้งอยู่ในเขตที่รุ่งเรืองมากที่สุดของเมืองหลวง ทว่ากิจการกลับคึกคัก ผู้คนเดินขวักไขว่ จนแทบไม่มีที่นั่ง

หลังเล่อเหยาเหยาพาเสี่ยวมู่จื่อเข้ามาในหอรื่นรมย์แล้ว เสี่ยวเอ้อที่ตาแหลมของร้านพลันเข้ามาเชิญพวกเขาเข้าไปด้านใน ก่อนจะเลือกนั่งที่ชั้นสองริมหน้าต่าง

ตำแหน่งที่พวกเล่อเหยาเหยาเลือกนั่งทัศนวิสัยดีอย่างมาก ไม่เพียงสามารถมองเห็นทั่วทุกมุมของห้องโถงใหญ่ที่ชั้นหนึ่ง ยังสามารถมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างได้อย่างชัดเจน

เนื่องจากถุงเงินบนตัวมีเงินไม่มาก ทุกครั้งที่สั่งอาหารเล่อเหยาเหยาจึงสอบถามราคาที่ชัดเจนก่อน

อีกทั้งเธอเพิ่งรู้จากปากของเสี่ยวมู่จื่อว่าเงินสองตำลึงเงิน มีค่าเท่ากับหนึ่งพันอีแปะ

หอรื่นรมย์แห่งนี้ แม้จะตกแต่งอย่างหรูหรา แต่ราคาของรายการอาหารด้านในยังถือว่าพอได้

เพราะกลุ่มลูกค้าคือคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นอาหารด้านในจึงมีให้เลือกหลายระดับ

หลังเล่อเหยาเหยาเลือกอาหารราคาแพงไม่มากมาสองสามจานที่พวกตนชื่นชอบแล้ว จึงลองคำนวณว่าอาหารมื้อนี้ราคาประมาณสองร้อยอีแปะ ถือว่าใช้ได้ทีเดียว ก่อนจะสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อ  จากนั้นเธอกับเสี่ยวมู่จื่อจึงดื่มน้ำชาระหว่างรออาหารขึ้นโต๊ะ และสังเกตบรรยากาศรอบๆ ตัว

จึงเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว ทว่าด้านในโรงเตี้ยมยังแทบไม่มีที่นั่ง  พร้อมพวกเสี่ยวเอ้อที่มีผ้าเช็ดทำความสะอาดพาดคอ ในมือที่กาน้ำชาวิ่งไปมาอย่างรีบร้อนและวุ่นวายอย่างมาก!

เล่อเหยาจึงหันกลับไปมองยังถนนด้านนอกอีกครั้ง

ตอนนี้อยู่ในช่วงเดือนสี่ อากาศจึงไม่ร้อนไม่หนาว เย็นสบายอย่างมาก ดังนั้นคส่วนใหญ่จึงเลือกออกมาเดินเล่นบนถนน

เมื่อทอดสายตาลงไปจะเห็นผู้คนบนถนนเดินเบียดเสียดกัน หัวเราะและร้องตะโกนอย่างสนุกสนาน เกิดเป็นภาพของสังคมที่ดูหลากหลาย

นอกจากนี้เล่อเหยาเหยายังสังเกตเห็นว่าราชวงศ์เทียนหยวนนี้ไม่เคร่งครัดในธรรมเนียมอย่างราชวงศ์ชิง กลับเปิดกว้างคล้ายราชวงศ์ถังเสียมากกว่า

โดยเฉพาะเหล่าสาวงามพวกนั้นที่ถือโอกาสยามอากาศอบอุ่นเล็กน้อย รีบถอดเสื้อคลุมผ้าฝ้ายที่หนาและหนักออก แล้วสวมเพียงชุดกระโปรงอันบางเบาตัวเดียวเดินส่ายสะโพกอยู่บนถนน ให้เหล่าคุณชายบนถนนชำเลืองมอง

…………………………………………………………………..