ตอนที่ 29 อารมณ์ที่ถูกเธอทำให้ว้าวุ่น

เดิมพันเสน่หา

ในวินาทีที่หนานกงเยี่ยปิดประตูลง เหลิ่งรั่วปิงก็ค่อยๆ ลืมตา จากนั้นก็เหยียดตัวลุกขึ้น พร้อมกับกินยาคุมฉุกเฉินไปสองเม็ด 

 

 

อารมณ์ของเธอดูนิ่งมากๆ เธอไม่ได้รู้สึกกลัวฟ้ากลัวดินเลย ไหนๆ ก็ไม่มีความรัก ก็ไม่จำเป็นต้องไปคาดหวังให้ผู้ชายคนนี้เห็นใจเธอ เขาไม่ได้ทำเรื่องโรคจิตอะไร เธอสมควรจะดีใจแล้ว ทีแรกเป็นเด็กเสี่ยก็ไม่ควรมีเกียรติมีศักดิ์ศรีและมีฐานะอะไรอยู่แล้ว มีเด็กเสี่ยมากมายที่ถูกเสี่ยมองว่าเป็นของตุ๊กตาแก้เหงาเท่านั้น ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้ว หนานกงเยี่ยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว 

 

 

นอกจากการถูกข่มเหงในเรื่องศักดิ์ศรีแล้วนั้น เธอกลับไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรที่ตนเองไม่สามารถอดทนได้ เธอคือคนที่เคยผ่านการฝึกฝนอันทรหดมาแล้วถึงปางตายมาแล้ว บาดเจ็บแค่นี้เธอสามารถทนไหวอยู่แล้ว 

 

 

หลังจากที่พักผ่อนไปสักพัก เธอก็ลงจากเตียงไปห้องน้ำ แล้วอาบน้ำล้างตัวให้สะอาด จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาด เธอนั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะเพื่อทำโมเดลของโรงแรมอิมพีเรียลต่อไป ไม่มีอะไรสำคัญเท่าแผนการแก้แค้นของตัวเอง 

 

 

หนานกงเยี่ยที่ลงจากตึก ก็รู้สึกอารมณ์ยังคงแย่เหมือนกัน และไม่ได้ระบายออกไปเลย ทันใดนั้นเขาจึงขับรถไปยังไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ 

 

 

อวี้ไป่หันคนที่รักสนุก น้อยครั้งมากที่หนานกงเยี่ยจะเป็นฝ่ายมาหาเขา ทำให้เขารู้สึกดีใจมากๆ ทันใดนั้นเขาจึงโทรเรียกมู่เฉิงซีมาด้วย ทั้งสามคนก็ได้เหมาห้องวีไอพีหนึ่งห้อง แล้วดื่มเหล้าด้วยกัน 

 

 

หนานกงเยี่ยมาที่นี่ ก็เพื่อที่จะระบายความโกรธที่ลุกโชนเป็นไฟออกมา ดังนั้นเขาไม่ได้พูดคุยอะไรมาก สีหน้าก็ไม่ได้ดูดีเลยสักนิด ทำเพียงแค่ดื่มไวน์แดงหมดไปแก้วแล้วแก้วเล่า 

 

 

มู่เฉิงซีก็เป็นคนที่นิ่งเงียบ ดังนั้นเขาก็ไม่ค่อยชอบพูด และทั้งตัวของเขาก็เต็มไปด้วยความเลือดเย็น มองจากทุกมุมก็เห็นและสัมผัสได้ถึงความเย็นชาของเขา 

 

 

อวี้ไป่หันจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “ไม่ใช่ หนานกง แกไม่ใช่ว่าจะพาฉันมาหาอะไรสนุกๆ ทำหรือไง ทำไมถึงไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว แค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวล่ะ” 

 

 

“อารมณ์ไม่ดี” หนานกงเยี่ยจึงตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉย 

 

 

“อารมณ์ไม่ดี?” อวี้ไป่หันมองหนานกงเยี่ยด้วยสีหน้าที่ตกตลึงมากๆ “แกเป็นคนที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาหนิ กลับบอกว่าตัวเองอารมณ์ไม่ดี เป็นอะไรไปกันแน่” 

 

 

มู่เฉิงซีก็มองหนานกงเยี่ยด้วยความทึ่ง และกำลังรอฟังคำพูดต่อไปจากเขาอยู่ 

 

 

ปกติหนานกงเยี่ย ไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงถึงขั้นนี้เลย ไม่ว่าเขาจะดีใจหรือจะโกรธก็จะไม่แสดงออกมา ดังนั้นคนส่วนมากก็มักจะเดาอารมณ์เขาไม่ได้ แต่อยู่ดีๆ เขาก็พูดออกมาอย่างชัดเจนว่าอารมณ์ไม่ดี ทำให้รู้สึกน่าทึ่งจริงๆ 

 

 

หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วและครุ่นคิดดูสักพัก จากนั้นก็พูดออกมาไม่กี่คำ “พูดยาก” 

 

 

เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะเอ่ยพูดออกมายังไง เขาไม่สามารถอธิบายอารมณ์ของตัวเองได้ และรู้สึกว่าถ้าหากเขาพูดออกมาก็คงจะถูกพวกเขาหัวเราะเยาะเอา ที่ผ่านมาเขาเป็นคนสุขุมเย็นชาและเด็ดขาด แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนจุกจิกคิดเล็กคิดน้อย แม้แต่เขาเองยังรู้สึกนอยด์ตัวเอง 

 

 

ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นคนที่ไปพัวพันกับเรื่องอะไรเลย ในโลกธุรกิจเขาเป็นคนที่เฉียบขาดกับทุกเรื่อง และพูดคำไหนคำนั้น และไม่เคยดึงรั้งผู้หญิงคนไหนไว้ ตอนที่สมควรให้เงินก็ให้ ตอนที่ควรทิ้งก็ทิ้งขว้าง ไม่เหลือแม้แต่เยื่อใย และไม่เกิดความลังเลใจเลยสักนิด ทว่าเหลิ่งรั่วปิงกับทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นใจ เธอร้ายกาจมากจริงๆ 

 

 

“เหอะๆ” อวี้ไป่หันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “จากประสบการณ์หลายปีที่มาผ่านมาของฉัน หนานกงเยี่ยต้องถูกผู้หญิงทำให้จิตใจว้าวุ่นไปแล้วแน่นอน” 

 

 

“…” หนานกงเยี่ยไม่ได้เอ่ยพูดอะไร และนิ่งเงียบไว้ 

 

 

มู่เฉินซีขมวดคิ้วพลางมองหนานกงเยี่ย แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “หนานกง การที่แกต้องเสียสมาธิเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง สำหรับแกแล้วมันคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร 

 

 

“…” หนานกงเยี่ยยังคงไม่พูดไม่จาอะไรออกมา แน่นอนว่าเขารู้เหตุผลนี้อยู่แล้ว 

 

 

“แกลืมกฎของแกไปแล้ว? ตอนนี้แกรู้สึกว้าวุ่นใจ ก็ต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม” มู่เฉินซีพูดขึ้นอย่างใจกล้า “ผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่มีค่าพอที่จะทำให้แกว้าวุ่นใจ ถ้าหากรู้สึกว่าตนเองควบคุมไม่ได้ ก็ตัดขาดโดยการทิ้งขว้างเธอไปซะ หรือไม่ก็ฆ่าเธอไปซะเลย”