ตอนที่ 675 เธอไม่มีทั้งสมองและหลักการอะไรเลย!

 

ในขณะเดียวกัน ฮว่าเหวินเฟิ่งตัดสินใจที่จะเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดต่อสาธารณะด้วยตัวเอง แม้ไป๋ลี่หวาจะไม่ได้ทำอะไรเลย เธอเรียกมันว่า ‘เรื่องที่น่าขันที่สุดในโลก’ และอธิบายความประหลาดใจที่เธอมีต่อคนที่พยายามจะอ้างตัวเป็นคนอื่นในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแบบนี้

 

 

ฮว่าเหวินเฟิ่งติดต่อนักข่าวคนหนึ่งและเริ่มร้องห่มร้องไห้ ก่อนอื่นเธอยอมรับว่าเธอทำผิดและเธอไม่ควรมุ่งร้ายต่อถังหนิงในอดีต จากนั้นเธอก็ถ่ายทอดข้อความสำคัญว่าเธอไม่พอใจ ใครก็ตามที่เรียกเธอว่าคนลวงโลกและกล่าวว่าเธอไม่ใช่แม่ของโม่ถิงรวมถึงอ้างว่าสถานะนี้เป็นของคนอื่น

 

 

“ฉันไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครพยายามเรียกร้องเอาบางสิ่งที่พิสูจน์ได้ง่ายๆ ด้วยการตรวจดีเอ็นเอไปเป็นของตัวเอง ฉันช็อกมาก

 

 

“ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกมาเปิดโปงคนแบบนี้” ผลคือฮว่าเหวินเฟิ่งเริ่มกระจายภาพของไป๋ลี่หวาสู่สาธารณะ

 

 

คนทั่วไปต่างคิดว่าตระกูลโม่มีแต่เรื่องให้ซุบซิบนินทา เพราะถึงอย่างไรถังหนิงก็เป็นเจ้าแม่ด้านการจัดการปัญหา แต่ทันใดนั้น คำถามที่ว่าแม่ของโม่ถิงเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมทำให้ประชาชนพากันคาดหวังจะได้เห็นโชว์ดีๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเพียงแค่นั่งรอดูข้อเท็จจริง

 

 

ในสังคมสมัยใหม่อย่างปัจจุบันนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครอ้างเอาตัวตนของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ด้วยวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีหลายสิ่งที่หาความกระจ่างได้ง่ายเพียงแค่ใช้การตรวจสอบธรรมดา

 

 

ดังนั้นทำไมไป๋ลี่หวาถึงทำเรื่องแบบนี้

 

 

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็น แต่ฮว่าเหวินเฟิ่งตอบด้วยความมั่นใจด้วยใบหน้าไร้ความกังวลและความจริงที่ว่าไม่มีใครสามารถหาจุดด่างพร้อยในดีเอ็นเอของเธอได้

 

 

เธอต้องการฉกฉวยความเป็นเจ้าของบ้านในบ้านของผู้หญิงคนอื่น เธอต้องการยึดเอาสามีของไป๋ลี่หวามาครองและมีความสุขกับทุกสิ่งที่แต่เดิมเป็นของอีกฝ่าย

 

 

ดังนั้นเพื่อพิสูจนความบริสุทธิ์ของตัวเอง ฮว่าเหวินเฟิ่งถึงขนาดจัดแถลงข่าวเพื่อชี้แจงความจริงและแก้ต่างให้ตัวเอง

 

 

เธอมีวาทศิลป์มากจนคุณชายโม่ตกหลุมพรางเธออีกครั้ง หากเธอไม่เคยทำผิดแล้วทำไมเธอถึงต้องพยายามชี้แจ้งตัวเองต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ดังนั้นความสงสัยเมื่อแรกเริ่มของเขาจึงหายไปด้วยการจัดฉากง่ายๆ ของเธอ เขาเลือกที่จะเชื่อฮว่าเหวินเฟิ่ง

 

 

ทว่าไป๋ลี่หวาไม่รู้สึกกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความปลุกปั่นของฮว่าเหวินเฟิ่ง

 

 

ฮว่าเหวินเฟิ่งชั่วร้ายมากพอที่จะใช้มือเธอทำร้ายถังหนิง เธอจะอยู่เงียบๆ แล้วไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ

 

 

ต่อให้โม่ถิงกล่าวโทษเธอในอนาคต เธอก็ไม่สนใจ หากเรื่องเลวร้ายกลายเป็นเลวร้ายที่สุด หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง เธอก็จะหาสถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกและใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดด้วยตัวเธอเองโดยไม่เพิ่มปัญหาอะไรให้โม่ถิงกับถังหนิงอีก

 

 

ฮว่าเหวินเฟิ่งเลือกที่จะจัดการแถลงข่าวอีกครั้ง ทำไมทุกครั้งที่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ฮว่าเหวินเฟิ่งจะเลือกใช้สื่อเป็นเครื่องมือเสมอ ชัดเจนว่าเธอไม่อาจสู้คนในวงการบันเทิงได้ แม้แต่คนที่แทบไม่มีความสำคัญอะไรเลยก็ตาม

 

 

“ป้าไป๋ เข้ามานี่สิ” ถังหนิงรู้แล้วว่าไป๋ลี่หวามีความตั้งใจที่จะเปิดเผยทุกสิ่ง ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงของตัวเองอีก

 

 

ไป๋ลี่หวาคาดเดาสิ่งที่ถังหนิงอยากจะพูดไว้แล้ว ที่จริงเธอเตรียมตัวที่จะถูกปฏิเสธ ทว่า…

 

 

…เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องพักคนไข้ ถังหนิงกลับยิ้มให้เธอเป็นการปลอบโยน “ถิงกับฉันจะช่วยคุณ เราจะช่วยคุณเรียกคืนสิ่งที่เดิมทีเป็นของคุณและช่วยคุณล้างแค้นด้วย”

 

 

ไป๋ลี่หวาอึ้งขณะเหลือบมองโม่ถิงที่กำลังยืนอยู่ด้านข้าง น้ำตาเธอเริ่มไหลรินออกมาขณะเธอโถมตัวใส่ไหล่ของเขาและร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด “เป็นความผิดของแม่เองที่ไม่ได้เรื่อง ทำไม่ได้แม้แต่ปกป้องตัวตนของตัวเอง แล้วพวกลูกต้องมาเจ็บปวดเพราะผลของมัน”

 

 

โม่ถิงไม่พูดอะไรและไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อปลอบโยนอีกฝ่าย เพราะทั้งคู่ถูกแยกจากกันมานานหลายปี ดังนั้นความรู้สึกที่เขามีต่อเธอจึงไม่ได้ลึกซึ้งมากนัก

 

 

กระนั้นเขายังคงโอบแขนรอบตัวไป๋ลี่หวาแทนคำพูดปลอบโยน

 

 

“ลูก… ไม่ได้รังเกียจใบหน้าแม่เหรอ”

 

 

“พูดตามตรง พวกเรารู้เรื่องนี้มานานแล้ว เพราะอย่างนี้เราถึงได้ช่วยซิงเยียนมาตลอด” ถังหนิงอธิบายพลางตบเบาๆ ที่หลังมือของไป๋ลี่หวา

 

 

ไป๋ลี่หวานิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงหัวเราะและร้องไห้พลางพยักหน้า “พวกคุณทั้งสองคนเป็นคนฉลาด ฉันไม่ควรคิดไปเองว่าจะสามารถหลอกพวกคุณได้ แต่ใบหน้าฉัน…”

 

 

“คุณแม่… ถิงกับฉันไม่ใช่คนถือตัว” ถังหนิงตอบอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลนะ ตกลงไหม”

 

 

“พวกคุณก็ไม่ต้องกังวลเหมือนกันนะ ฉันจะต้องเอาทุกอย่างที่เป็นของฉันกลับคืนมา…”

 

 

ทว่าฮว่าเหวินเฟิ่งใช่ว่าจะเป็นคนที่จะจัดการได้ง่ายๆ …

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน เฉินซิงเยียนกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำกลางป่า เมื่อเธอเห็นข่าว เด็กสาวก็เด้งจากเก้าอี้ด้วยความประหลาดใจ มิน่าล่ะคนถึงมองเธอแปลกๆ ตลอดทั้งวัน คนพาลกำลังเล็งเป้าครอบครัวของเธอนี่เอง

 

 

เธอไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่เธอจะไม่มีวันปล่อยให้แม่ของตัวเองถูกกลั่นแกล้ง

 

 

เธอจึงไปขอวันลาจากผู้กำกับ “ผู้กำกับ คุณเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น…”

 

 

“แต่เธอเป็นนางเอกนะ แค่เธอทำพลาดบ่อยก็แย่พอแล้ว ถ้ายังยืนกรานจะขอพักอีก ฉันจะไม่หย่อนกฎให้เธออีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เธอกลับไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี” ผู้กำกับกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

 

 

ในเวลานั้น หลินเซิงกำลังยืนอยู่ไม่ไกล เฉินซิงเยียนจึงปรายสายไปทางเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ หลินเซิงส่ายหน้าและโบกมือไล่เธอ “ทีมงานไม่มานั่งรอเธอหรอกนะ ในเมื่อเธอตัดสินใจจะร่วมทำงานแล้วเธอก็ต้องทำตามกฎ”

 

 

“แต่แม่ฉัน…”

 

 

“อนุญาตให้เธอไป” เสียงหนึ่งพลันดังมาจากด้านหลังและสร้างความประหลาดใจให้ทุกคน “ผมรับประวันว่าเธอจะไปแค่สองวันเท่านั้น เธอจะไม่ทำให้ทุกอย่างล่าช้า”

 

 

ผู้กำกับและหลินเซิงต่างมองไปที่อันจื่อเฮ่า หลินเซิงไม่พูดอะไรอีกขณะที่ผู้กำกับตกอยู่ในที่นั่งลำบาก “จื่อเฮ่า คุณน่าจะรู้ว่า…”

 

 

“ผมจะรับผิดชอบเองถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น” อันจื่อเฮ่าให้ความเชื่อมั่นกับผู้กำกับ “เราขอแค่สองวัน หลังจากเธอกลับมา เธอจะทำงานให้หนักกว่าเดิม”

 

 

“สถานะทางการเงินของคุณตอนนี้กำลังอยู่ในความเสี่ยงสูงไม่ใช่เหรอ”

 

 

“ผู้กำกับ ถ้าเฉินซิงเยียนเกิดเป็นน้องสาวของโม่ถิงจริงๆ ผมคิดว่าคุณควรหาทางเลี่ยงให้ตัวเองเผื่อความเป็นไปได้นี้ด้วยนะ”

 

 

อันจื่อเฮ่าไม่ต้องการให้เฉินซิงเยียนรู้เกี่ยวกับสถานะทางการเงินของเขา เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาไห่รุ่ยมาขู่ผู้กำกับ

 

 

ผู้กำกับพิจารณาอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “คุณพูดเองนะ ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาด คุณจะต้องรับผิดชอบ”

 

 

“จำคำผมไว้ได้เลย ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นพยานได้” พูดจบ อันจื่อเฮ่าก็ส่งสัญญาณให้เฉินซิงเยียนลุกขึ้น “ทำไมยังไม่ไปเปลี่ยนชุดอีกล่ะ”

 

 

เฉินซิงเยียนมองอีกฝ่ายอย่างขอบคุณก่อนจะรีบไปยังห้องแต่งตัว ขณะนั้นเอง หลินเซิงเดินเข้ามาหาอันจื่อเฮ่าและกล่าว “คุณเอาใจเธอมากเกินไปนะ”

 

 

“ผมจะปล่อยให้กฎเป็นเรื่องของที่ปรึกษาที่เข้มงวดอย่างคุณ ผมแค่อยากทำในสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุข”

 

 

เมื่อได้ยินคำตอบของอันจื่อเฮ่า หลินเซิงก็เผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา “ต่อให้เธอเป็นน้องสาวของโม่ถิง เธอก็ไม่ใช่แบบที่ผมชอบหรอก คุณไม่ต้องห่วง”

 

 

“ผมเชื่อคุณ แต่ผมไม่เชื่อเด็กนั่น” อันจื่อเฮ่าตอบอย่างเย็นชา “ถึงยังไงเธอก็ไม่มีสมองและหลักการอะไรทั้งนั้น!”

 

 

หลินเซิงหัวเราะเงียบๆ ไม่พูดอะไรอีก เขารู้ดีว่าเฉินซิงเยียนมีข้อบกพร่องมากมาย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่อาจรังเกียจเธอได้ ที่จริงเขาอดไม่ได้ที่จะปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาวของเขาคนหนึ่ง

 

 

นี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้

 

 

ส่วนอันจื่อเฮ่านั้น หลินเซิงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับเขาเป็นน้องเขย น่าเสียดายที่เด็กนั่นดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว…