ตอนที่ 65 ใครกันแน่ที่อกตัญญู / ตอนที่ 66 ซื้อสาวใช้คนหนึ่ง

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 65 ใครกันแน่ที่อกตัญญู

หลิวซื่อโมโหจนแทบจะเป็นลมล้มพับไป นางอยากจะเข้าไปลงไม้ลงมือ ทว่าในใจก็เป็นกังวล ไม่กล้าบุ่มบ่าม ทำได้เพียงชี้นางและต่อว่า “เจ้าเป็นตัวหายนะที่สมควรตาย ในสายตาของเจ้ายังมีคนที่อาวุโสกว่าอยู่หรือไม่? แม่ของเจ้าสอนให้เจ้าต่อว่าผู้มากอาวุโสกว่าเช่นนี้หรือ?”

“ท่านแม่สอนข้าหลายสิ่งหลายอย่างนัก ย่อมเข้าใจเรื่องศักดิ์อาวุโสอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจ คิดว่าเคารพผู้อาวุโสแล้ว ผู้อาวุโสนั้นจะต้องรักและเอ็นดูอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเคารพผู้อาวุโส ทว่ากลับไม่มีผู้อาวุโสมารักใคร่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องเคารพผู้อาวุโสอีกด้วยเล่า?”

“ก่อนหน้านี้ข้าและท่านแม่ของข้าอยู่ที่สกุลไป๋แห่งนี้ ไม่ต่างกับวัวและม้า งานทั้งในและนอกบ้านล้วนเป็นพวกข้าสองแม่ลูกที่ทำ พวกท่านรู้จักแต่ชี้นิ้วสั่งและพักผ่อนไปวันๆ ถึงเวลากินข้าวก็วิ่งไวยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก ทว่าถึงเวลาทำงาน กลับช้าเสียยิ่งกว่าเต่าคลาน แต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นเช่นนั้น พวกท่านไม่เคยเห็นข้าและท่านแม่เหมือนคนสกุลไป๋ ทั้งต้องกินสิ่งที่พวกท่านเหลือให้ สวมใส่เสื้อผ้าขาดๆ ที่พวกท่านไม่ต้องการ ป่วยไข้ก็ไม่รักษา แม้แต่เรือนพังทลายก็ไม่เคยหาที่ว่างให้พวกข้าสองแม่ลูกอาศัย หากจะพูดว่าอกตัญญู กลับเป็นข้าและแม่ข้าต่างหากที่หลายปีมานี้เลี้ยงดูคนอกตัญญูมาไม่น้อย”

นางพูดรวดเดียว ทุกคำพูดมีเหตุผลและชัดแจ้ง ไม่เร็วไม่ช้า ทำเอาหญิงชราและหลิวซื่อพูดไม่ออกเลยทีเดียว

เด็กสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อข่มโทสะที่ปะทุขึ้นในใจไว้ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “แม่ข้าบาดเจ็บหนัก ต้องพักผ่อนเร็วหน่อย หากพวกท่านไม่มีธุระอะไรแล้ว ก็อย่ารบกวนเลยเจ้าค่ะ ถ้าทำให้อาการป่วยของท่านแม่ข้ากำเริบขึ้นอีก ถึงตอนนั้นหนี้ที่พวกท่านติดค้างอยู่ คงไม่ได้มีเพียงหกตำลึงเงินเท่านั้น”

เมื่อพูดถึงหกตำลึงเงิน หน้าอกของหญิงชราก็เจ็บแปลบขึ้นมาเป็นระลอกๆ นางชี้หน้าต่อว่าไป๋จื่อ “หนี้ที่พวกข้าติดค้าง? หากไม่ใช่เพราะเจ้า จะเกิดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ขึ้นหรือ? นี่เป็นหนี้ที่เจ้าติดค้าง เจ้าจำไว้ให้ดี”

ไป๋จื่อแค่นหัวเราะ “แล้วอย่างไร? ลืมคำที่พวกท่านเพิ่งพูดแล้วหรือ? ใครกันเป็นคนบอกว่า สิ่งของของสกุลไป๋ย่อมต้องแบ่งกันทุกคน? แล้วเป็นอย่างไร? สิ่งของนำเข้ามาในบ้านแล้วต้องแบ่งกัน แต่ออกไปแล้วไม่ต้องแบ่งกันหรือ?”

“นางเด็กน่าตาย เจ้าราวีข้าเรื่องพวกนี้ให้น้อยๆ หน่อยเถอะ หนี้หกตำลึงเงินนี้ อย่างไรเจ้าก็ต้องคืน ไม่คืนก็ต้องคืนเช่นกัน ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไรก็ตาม” หญิงชรากล่าวทิ้งท้ายอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกับหายใจหนัก ก่อนจะดึงหลิวซื่อหันกายเข้าไปในเรือน แล้วปิดประตูเสียงดังปัง ราวกับประตูบานนั้นก็ผิดเช่นเดียวกับเด็กสาว

เมื่อแม่สามีและลูกสะใภ้เข้าประตูไป หลิวซื่อก็รั้งหญิงชราไว้ แล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านรู้สึกหรือไม่ ว่าเหมือนนางเด็กน่าตายผู้นี้จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ฝีปากกล้ายิ่งนัก ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง”

หญิงชรามองนางอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เจ้ายังต้องพูดอีกหรือ? ข้าไม่มีตาหรืออย่างไร? เปลี่ยนแล้วอย่างไรเล่า? ถึงเปลี่ยนไปแล้วก็ยังเป็นเด็กสาวของสกุลไป๋ เรื่องนี้ไม่อาจรอได้อีก พรุ่งนี้เจ้าไปถามที่หมู่บ้านไป๋หยาง ดูว่ามีบ้านใดต้องการแต่งภรรยา รีบไปแล้วกัน ข้าไม่อยากเห็นหน้านางอีกแม้แต่วันเดียว”

หลิวซื่อแอบรู้สึกดีใจ ขอเพียงขายเด็กสาวผู้นี้ได้ ก็จะมีเงินให้ต้าเป่าแต่งงาน ทั้งยังมีเงินค่าเล่าเรียนในปีหน้าของเสี่ยวเฟิง รวมถึงกำจัดเสี้ยนหนามตำตาผู้นี้ไปได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวนัก

ไป๋เสี่ยวเฟิงเขียนการบ้านเสร็จแล้วก็เข้าเรือน เขาได้ยินบทสนทนาของท่านย่าและท่านแม่พอดิบพอดี จึงรีบถาม “ท่านย่า ท่านแม่ พวกท่านจะให้ใครไป ไป๋จื่อหรือ?”

หญิงชราเห็นหลานชาย สีหน้าอ่อนลงสามส่วนในทันที รอยยิ้มผุดขึ้น “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก ย่าจะจัดการเอง เจ้าตั้งใจเรียนหนังสือก็พอแล้ว”

ทว่าไป๋เสี่ยวเฟิงกลับส่ายหน้า “ไม่ได้ๆ พวกท่านไล่ไป๋จื่อไปแล้ว ต่อไปผู้ใดจะคอยรับใช้ข้าฝนหมึก ใครจะไปส่งข้าวและคอยพัดให้ข้าที่โรงเรียน”

“ข้าจะไปเอง ต่อไปเรื่องพวกนี้ข้าจะเป็นคนทำ ตกลงหรือไม่” หญิงชรารีบกล่าว

ทว่าหลายชายกลับส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง “ไม่ได้ๆ ไหนเลยจะให้ท่านย่าทำเรื่องพวกนี้ ที่ข้าต้องการคือสาวใช้ต่างหาก”

……….

ตอนที่ 66 ซื้อสาวใช้คนหนึ่ง

เขากลอกตารอบหนึ่ง แสยะยิ้มพลางกล่าวว่า “พวกท่านจะให้ไป๋จื่อไปก็ได้ จากนั้นค่อยซื้อสาวใช้ที่เชื่อฟังคนหนึ่งมา ให้นางคอยปรนนิบัติข้าโดยเฉพาะ”

คราวนี้ไม่เพียงแต่หญิงชราตะลึงตาค้าง มารดาแท้ๆ ของไป๋เสี่ยวเฟิงก็ตะลึงตาค้างไปด้วย ซื้อสาวใช้มาคอยปรนนิบัติเขาหรือ?

ไป๋เสี่ยวเฟิงไม่มองว่าสกุลไป๋ของพวกเขามีสถานการณ์เป็นอย่างไร ตนเองยังกินข้าวไม่อิ่ม ยังจะซื้อสาวใช้? นี่กำลังล้อเล่นใช่หรือไม่

แต่ถึงอย่างไรตนเองก็เป็นหลานชายหัวแก้วหัวแหวน อนาคตยังอาจได้ทำงานข้าราชการ ทำให้ทั้งตระกูลมีความสุขได้ ย่อมไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาของเขา หลังจากตะลึงไปครู่หนึ่ง หญิงชราก็ปั้นหน้ายิ้มกล่าวว่า “ได้ๆ ล้วนฟังเจ้า ถึงตอนนั้นย่าจะต้องหาสาวใช้ที่เชื่อฟังให้เจ้าคนหนึ่ง ดีหรือไม่”

ครั้งนี้ไป๋เสี่ยวเฟิงถึงจะกลับห้องไปอย่างพออกพอใจ

หลิวซื่อดึงแขนเสื้อของแม่สามีไว้ “ท่านแม่ ท่านจะซื้อสาวใช้ให้เขาจริงๆ หรือเจ้าคะ? บ้านพวกเราเลี้ยงไหวที่ไหนกัน!”

หญิงชราถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “ข้าจะไม่รู้หรือว่าซื้อไม่ไหว? ทำตามใจเขาไปก่อน เรื่องต่อจากนี้ค่อยว่ากันทีหลัง”

ขณะทั้งสองคนกำลังคุยกัน จางซื่อก็ออกมาจากหลังครัว ในมือถือผักใส่เกลือเล็กน้อยและไม่ได้ใส่น้ำมันชามหนึ่ง เดินไปวางไว้บนโต๊ะ

แม่สามีเห็นแล้วก็มุ่นคิ้วในทันที “เมื่อวานบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าให้แบ่งกับข้าวตามจำนวนคนให้ดี หนึ่งคนหนึ่งส่วน”

หลิวซื่อเดินไปถึงหน้าโต๊ะ มองชามผักพลางกล่าวอย่างเฉยชา “เหตุใดน้อยเช่นนี้ เจ้าซ่อนไว้ครึ่งหนึ่งใช่หรือไม่?”

จางซื่อแค่นหัวเราะ “บนโลกนี้มีคนบางจำพวก มักจะชอบใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เรื่องที่ตนเองชอบทำ ก็หาว่าคนอื่นชอบทำด้วยเช่นกัน”

สีหน้าของหลิวซื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

อีกฝ่ายกวาดสายตามองนางครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไม่ปิดบัง “หมายความว่าอย่างไร? เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ?”

“ข้ารู้ดีอะไร? เจ้าจะพูดอะไรต้องมีหลักฐาน อย่าได้พูดจาซี้ซั้ว พูดมั่วใส่ร้ายคนดี” หลิวซื่อร้อนรน

“หากไม่อยากให้ใครรู้ ก็อย่าทำเสียสิ พี่สะใภ้ใหญ่ บางคำพูดข้าไม่อยากพูดเลย ทว่าท่านชอบนำกะละมังใส่มูลที่ตนเองถ่ายทิ้งไว้ มาครอบใส่หัวของผู้อื่น ข้าไม่ใช่จ้าวหลาน ถึงจะได้ปล่อยให้ท่านรังแกและไม่รู้จักตอบโต้”

หญิงชราปวดหัวกับการต่อปากต่อคำของพวกนางสองคนนัก “เอาล่ะ พูดให้มันน้อยๆ หน่อย จะไม่จบสิ้นเลยกระมัง?” ครั้นเห็นลูกสะใภ้ทั้งสองคนไม่พูดจาแล้ว นางจึงชี้กะละมังผักบนโต๊ะ เอ่ยถามว่า “เหตุใดวันนี้ผักจึงน้อยเช่นนี้? จะพอให้ผู้ใดกินกัน”

“ในบ้านไม่มีน้ำมันแล้ว ผักก็เหลือเพียงเท่านี้ ข้าวในถังก็มีไม่มากเช่นกันเจ้าค่ะ” จางซื่อกล่าว

เดิมทีข้าวก็ไม่พออยู่แล้ว หญิงชรากำลังคิดจะให้หลิวซื่อไปขอยืมบ้านต้าหู่จื่อที่อยู่ข้างๆ สักสองโต่ว[1] เมื่อข้าวสาลีออกรวงแล้วค่อยคืนให้พวกเขา ผักป่านี้เดิมทีก็เป็นไป๋จื่อที่ไปขุดมา ความจริงแล้วเมื่อวานก็ควรจะไปขุดผักป่า แต่ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ทำให้เสียเวลาเช่นนี้

หญิงชรากล่าวกับหลิวซื่อ “เจ้าไปบอกนางเด็กน่าตายผู้นั้น ให้พรุ่งนี้นางไปขุดผักป่าแต่เช้า มีมือมีเท้า ยังคิดจะกินข้าวและอาศัยอยู่โดยไม่ทำงานหรืออย่างไร”

ครั้นหลิวซื่อนึกถึงแรงเหมือนสุนัขป่าของไป๋จื่อ นางก็รีบส่ายหน้า “ท่านไปเองเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้นางไม่ฟังคำพูดของข้าแล้ว”

ลูกตาของหญิงชรากลอกไปมา ก่อนจะมองไปยังจางซื่อ อีกฝ่ายรู้ว่าแม่สามีจะพูดอะไร จึงไม่รอให้นางเอ่ยปาก ชิงหมุนกายไปยังห้องครัว ด้วยไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้หาเรื่องเด็กคนนั้นไปแล้ว รสชาติของไม้กระทบตัวนั้น นางไม่อยากลิ้มลอง

แม่สามีจนใจนัก ก่อนจะคิดถึงคำพูดของไป๋จื่อก่อนหน้านี้ จึงกล่าวออกมาตามตรง “พรุ่งนี้ไปปลุกนางแต่เช้า นางเด็กน่าตายนี่จะได้ไม่บ้าคลั่งอีก”

หลิวซื่อย่อมขอให้เป็นเช่นนั้น เด็กสาวไป๋จื่อผู้นี้เปลี่ยนไปมากจริงๆ โดยเฉพาะยามนางตีคน เรียกได้เร็วว่ารวดเร็วดุจสุนัขป่า ตีนางเสียจนไร้เรี่ยวแรงจะตอบโต้

[1] โต่ว (斗) มาตรการชั่ง ตวง วัดของจีนสมัยโบราณ หนึ่งโต่วเท่ากับสิบเซิง (升) หรือหนึ่งในสิบตั้น (石)