ตอนที่ 32 มุ่งหน้าสู่จินอี้

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

ชายแก่บอกว่าสหายคนนั้นชื่อตาโจว เป็นนักพรตพเนจร นักพรตพเนจรก็คือนักพรตที่ไม่มีสำนัก อาศัยพึ่งพาตัวเองในการค้นหาหนทางแห่งการเข้าสู่ทางเต๋า ตาโจวนั้นชำนาญทางด้านการทำนายดูดวง ทั้งสองคนรู้จักกันตอนที่ทำพิธีไล่ผีในครั้งหนึ่ง ตามที่ชายแก่เล่าการไล่ผีในครั้งนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนร่วมมือกันถึงจัดการได้สำเร็จ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หากตาโจวได้รับไหว้วานเรื่องที่ใหญ่หน่อยจะเรียกไป๋อวี้ไปช่วยเสมอ นานวันเข้าทั้งสองคนก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันไปโดยปริยาย

 

 

อวิ๋นเจี่ยวยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเหมือนทั้งสองคนนั้นเหมือนแนวร่วมหมอผีมากกว่า ความสามารถชายแก่ที่น้อยนิดนั้นยังไม่ถูกคนตีตาย ก็คงเป็นเพราะคนบนโลกใบนี้ใจดีเกินไป

 

 

สถานที่ที่พวกเขากำลังไปคือเมืองจินอี้ ต้องใช้เวลาเดินทางจากเขาขุยซานสามวัน เดิมชายแก่คิดจะเดินเท้าไปเพราะเวลามีมากอยู่ ไปกลับอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสักหกเจ็ดวันแล้ว ขอแค่เพียงไม่ต้องเจอบททดสอบรายเดือน อู้ได้หนึ่งวัน

 

 

แต่ตอนนี้ผู้ร่วมเดินทางมีอาจารย์ปู่เพิ่มขึ้นมา ทำลายความคิดของเขาไปในพริบตา ทำให้รู้สึกว่าระยะทางมันช่างแสนไกล คิดในใจว่าไม่แน่ด้านล่างเขาจะมีรถวัวที่กำลังจะไปในเมืองพอดี อาจสามารถติดรถไปด้วยได้

 

 

อาจารย์ปู่กลับปฏิเสธความคิดของเขา พร้อมกับมอบสายตาที่มองคนปัญญาอ่อนไปให้หนึ่งที ยกมือขึ้นสะบัดวาดยันต์กลางอากาศ ทั้งสามคนจากเดิมที่ยืนอยู่หน้าอาราม ทันใดนั้นมาปรากฏตัวอยู่บนถนนเล็กแห่งหนึ่ง มองไปยังสุดทางของถนนเล็กสามารถมองเห็นเงาของประตูเข้าเมืองได้

 

 

“นี่…นี่คือยันต์พันลี้?” ไป๋อวี้ทำสีหน้าตกตะลึง ที่แท้บนโลกนี้ก็มียันต์พันลี้อยู่จริง นี่มันช่างสะดวกอะไรเช่นนี้ “ขอบคุณอาจารย์ปู่”

 

 

อวิ๋นเจี่ยวก็รู้สึกถึงความวิเศษของโลกใบนี้ การเดินทางของโลกใบนี้มันล้ำหน้าขนาดนี้เลยเหรอ

 

 

“ตาโจวอยู่ทางใต้ของเมือง พวกเรารีบเข้าเมืองกันเถอะ” ไป๋อวี้ชี้ไปที่สุดทางของถนน หันหลังเดินมุ่งหน้าไป เดินไปไม่กี่ก้าวพบว่าคนด้านหลังไม่ได้เดินตามมา

 

 

“อาจารย์ปู่?” เป็นอะไรไป?

 

 

“ไม่ไป!” เยี่ยยวนเงยหน้ามองไปยังประตูทางเข้าเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น

 

 

“ทำไมกัน” ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนจะมาเองหรอกเหรอ

 

 

เยี่ยยวนยิ่งขมวดคิ้วหนักเข้าไปใหญ่ มองไปทางศิษย์ซื่อบื้ออย่างเย็นชา ก่อนจะตอบ “คนเยอะไป” หากเจอหญิงสาวอีกจะทำอย่างไร

 

 

“ฮะ?” ไป๋อวี้งง คนเยอะแล้วทำไมกัน ที่นี่เป็นตัวเมืองคนก็ต้องเยอะอยู่แล้ว แต่พอคิดไปคิดมาถึงได้เข้าใจ อาจารย์ปู่เป็นเทพ ถึงแม้ว่าท่านไม่เคยรีบกลับไปบนสวรรค์เลย แต่เทพกับคนธรรมดาย่อมมีความแตกต่าง ไม่อยากให้คนมาเห็นเยอะก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่พวกเขาไม่เข้าเมืองก็ไม่ได้ “แล้วต้องทำยังไง”

 

 

“ข้าไม่สะดวกปรากฏตัว หาของที่มีพลังลมปราณมาให้ข้าเข้าไปอยู่ ถึงจะตามพวกเจ้าเข้าเมืองได้” เยี่ยยวนกล่าว

 

 

“ได้!” ไป๋อวี้พยักหน้ารับทันที ยอมเข้าไปก็พอแล้ว ทันใดนั้นเขาก็หยิบยันต์วิเศษใบหนึ่งออกมาจากด้านหน้า “อาจารย์ปู่ นี่เป็นยันต์วิเศษที่ข้าเตรียมมา เป็นยันต์ที่มีพลังลมปราณเข้มข้นที่สุด หรือไม่ท่านมาอยู่ในนี้ก่อน?”

 

 

เยี่ยยวนเหลือบมองยันต์วิเศษใบนั้น ก่อนที่สีหน้าจะบึ้งตึงลง ทั้งใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความรังเกียจ ใครอยากจะเข้าไปอยู่ในยันต์วิเศษขั้นต่ำเหม็นเน่านี่กัน! ค้อนไป๋อวี้ไปหนึ่งทีก่อนจะหันไปมองอวิ๋นเจี่ยว

 

 

ทันใดนั้นเขากลายร่างเป็นแสงสีขาวลอยไปทางอวิ๋นเจี่ยว และมุดเข้าไป…ในกระบอกไม้ไผ่ที่อยู่ในมือของนาง ใช่แล้วกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำแกงไก่เอาไว้ ก่อนที่จะมีเสียงที่ลอยออกมาพร้อมกลิ่นอะไรบางอย่าง

 

 

“เอิ๊ก ไปได้แล้ว”

 

 

อวิ๋นเจี่ยว “…”

 

 

ไป๋อวี้ “…”

 

 

-_-|||

 

 

ไหนบอกว่าจะเข้าไปอยู่ในของที่มีพลังลมปราณไง กระบอกไม้ไผ่นั้นไม่ใช่เพิ่งตัดมาจากต้นก่อนออกเดินทางเหรอ นี่เป็นสิ่งที่ง่ายต่อการกินน้ำแกงแน่ ต้องใช่แน่ๆ !

 

 

 

 

ชายแก่พาอวิ๋นเจี่ยวเข้าไปในตัวเมือง เดินเลาะตามถนนไปเรื่อยก่อนจะหยุดลงอยู่หน้าบ้านที่ทำจากฟางหลังหนึ่ง “ถึงแล้ว”

 

 

อวิ๋นเจี่ยวมองบ้านที่มีสภาพทรุดโทรมด้านหน้า ดูท่าทางเพื่อนของชายแก่ก็ไม่ได้มีสภาพดีไปกว่ากัน ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองคนนั้นเป็นแนวร่วมหมอผีเป็นแน่

 

 

ไป๋อวี้ยกมือขึ้นเคาะประตู ทันใดนั้นก็มีเสียงของชายคนหนึ่งลอยออกมาจากด้านใน “มาแล้ว! มาแล้ว!” ประตูส่งเสียงดังเอี๊ยดทีหนึ่งก่อนจะถูกเปิดออกจากด้านใน พร้อมกับร่างกำยำของชายคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราปรากฏขึ้น ถึงแม้ชายคนดังกล่าวจะใส่ชุดนักพรตอยู่ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเป็นนักพรตเลยสักนิด

 

 

“สหายโจว ไม่เจอกันเสียนาน สบายดีหรือไม่” ไป๋อวี้ทักทายอย่างยิ้มแย้ม

 

 

“พี่ไป๋!” ชายร่างใหญ่แววตาแวววาวขึ้นมา ก่อนจะมองไป๋อวี้ด้วยสายตาตะลึง “ทำไมท่านมาถึงเร็วเช่นนี้ ข้าคิดว่าท่านต้องอีกสองสามวันถึงจะถึง! ฮ่าๆ ๆ…ดีจริงๆ !” เขาหัวเราะเสียงดัง หนวดเคราบนใบหน้าก็ขยับไปตามการหัวเราะ โบกมือตบไปที่ไป๋อวี้เป็นการทักทาย

 

 

ไป๋อวี้ถูกตบจนแทบกระเด็นออกไป แต่เขาราวกับเคยชินกับการกระทำเช่นนี้ ทั้งสองคนเริ่มถามไถ่สารทุกข์สุขดิบขึ้นมา

 

 

ตาโจวดูท่าทางอายุไม่มากประมาณสี่สิบได้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงเป็นเพื่อนกับชายแก่ได้

 

 

“มาๆ ๆ รีบเข้ามา” ตาโจวเดินหลบไปด้านหนึ่ง กำลังจะลากไป๋อวี้เข้าไป หันหน้าไปถึงได้พบอวิ๋นเจี่ยวที่ยืนอยู่ด้านข้าง ตะลึงไปพักหนึ่ง “หญิงสาวท่านนี้คือ?”

 

 

“นี่เป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักชิงหยาง ชื่ออวิ๋นเจี่ยว” ไป๋อวี้แนะนำ

 

 

ตาโจวกลับตะลึงมากขึ้น ดวงตาเบิกโพลง มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะหันตัวกลับไปตบไป๋อวี้อีกที “ใช้ได้เลยนะ ตาไป๋ เก็บลูกศิษย์ได้คนหนึ่ง ดีเสียจริง!” ก็ที่ที่เขาอยู่มันห่างไกลเช่นนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะหาลูกศิษย์ได้

 

 

“ไม่ นางไม่ใช่ศิษย์ข้า” ไป๋อวี้ปฏิเสธ

 

 

“ฮะ?” ตาโจวเกิดความฉงน “ไม่ใช่ศิษย์เจ้าคืออะไร” ชิงหยางไม่ได้สืบทอดกันรุ่นต่อรุ่นเหรอ

 

 

“เอ่อ…” ไป๋อวี้นิ่งไป มองไปยังอวิ๋นเจี่ยว จริงสิ สรุปแล้วอวิ๋นเจี่ยวเป็นศิษย์รุ่นไหนกัน คำถามนี้เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อน ตอนนั้นเพียงแค่คิดว่าหลอกคนให้เข้าสำนักชิงหยาง แต่ไม่เคยพูดเรื่องการรับศิษย์เลย อีกทั้งต่อมาคนที่ถ่ายทอดวิชาการรักษาก็เป็นอาจารย์ปู่ไม่มีเรื่องของเขาเลย

 

 

แต่ก่อนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้…

 

 

เขานึกถึงตำราที่วางเต็มชั้นวางในอาราม อย่าว่าแต่รับนางเป็นศิษย์เลย ตอนนี้เขาอยากจะเรียกนางว่าอาจารย์เสียด้วยซ้ำ

 

 

ตาโจวกลับไม่รับรู้ถึงความสับสนของไป๋อวี้ เขาเชิญทั้งสองคนเข้าบ้านไป จากนั้นเชิญทั้งสองคนให้นั่งลง ก่อนที่จะอธิบายสถานการณ์

 

 

“ตาไป๋เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้ายังเกรงว่าเจ้าจะมาไม่ทัน” เขารินน้ำชาให้ทั้งสองคน ก่อนจะเล่าถึงสถานการณ์อย่างละเอียด

 

 

ที่แท้ครั้งนี้พิธีขจัดสิ่งชั่วร้ายจะทำขึ้นที่บ้านของเศรษฐีใหญ่ในเมือง…จวนตระกูลเซ่า ท่านเซ่าเป็นพ่อค้าขายเสบียงในตัวเมือง พื้นนาตระกูลเซ่ามีกว่าครึ่งค่อนเมืองจินอี้ ท่านเซ่ามีลูกชายเพียงคนเดียว อีกทั้งยังมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่นตั้งแต่เล็ก นับว่ามีชื่อเสียงอย่างยิ่งทั้งในเมืองจินอี้และเมืองจวินเอี้ย

 

 

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ไปเข้าร่วมชมรมแต่งกลอนกลับมาก็เป็นโรคประหลาดขึ้นมา เชิญหมอทั่วทั้งเมืองมาดูอาการแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังเป็นหนักกว่าเดิม ต่อมาถึงได้รู้ว่าที่แท้ลูกของเขาโดนสิ่งชั่วร้ายรังควานอยู่ ท่านเซ่าจึงประกาศหานักพรตมาขับไล่ผี โดยมีเงินรางวัลเป็นทองเหลืองร้อยตำลึง

 

 

ตาโจวนึกขึ้นได้ว่าไป๋อวี้ชำนาญในการขับไล่ผีจึงได้ส่งจดหมายเรียกเขามา

 

 

ไป๋อวี้ได้ยินว่าเป็นลูกชายที่ล้มป่วยลง พลันนึกไปถึงแม่ลูกตระกูลหลี่และผีแม่ซู่เหนียงขึ้นมา ร่างกายสั่นอย่างอดไม่ไหว คงไม่บังเอิญว่าเป็นผีร้ายมาตามล้างแค้นอีกหรอกมั้ง