เล่มที่ 2 บทที่ 31 หลินจงอวี้ผู้หล่อเหลา

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

เด็กหนุ่มตรงหน้ามีดวงตาสุกสกาวออดอ้อนเหมือนแมว ใบหน้าน่ารักเกินจะพรรณนา ขนคิ้วเรียงตัวสวย ทว่ากลับเจือไว้ซึ่งความน่าสงสาร

    เส้นผมที่เปียกปอนถูกพาดไว้ที่ด้านหลัง ใบหน้าเรียวเล็กเสมือนเพิ่งถูกตบนั้นขาวซีดราวกับหยก

    แม้จะเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แต่เขากลับมีลักษณะหน้าตาหล่อเหลาราวกับปีศาจ เด็กคนนี้เป็นปีศาจตัวจ้อยขนานแท้

    “พี่สาว…จงอวี้น่าเกลียดมากเลยเหรอ?” ดวงตาแมวน้อยคู่นั้นกะพริบปริบๆ หลินจงอวี้เอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง

    พวกพี่สาวที่อาบน้ำให้เขาเหล่านั้นเองก็เป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน ตอนนี้แม้แต่พี่สาวพระชายาเองก็จ้องเขาตาไม่กะพริบ นี่หรือว่าเขาจะมีหน้าตาอัปลักษณ์จนเกินไป?

    “น่าเกลียด? ไม่ ไม่หรอก จงอวี้มานี่ซิ มานั่งข้างพี่” คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กที่บังเอิญรับมาเลี้ยงดูจากข้างถนนจะมีหน้าตางดงามดั่งเทพบุตรเช่นนี้

    ดูท่าแล้วต่อจากนี้ไปตำหนักของท่านอ๋องอวี้จะมีสีสันมากขึ้น!

    หลินจงอวี้เข้ามานั่งข้างหลินเมิ้งหยาอย่างว่าง่าย ก้มหน้าลงด้วยความประหม่า ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวพระชายา

    “จงอวี้ของพวกเราจะต้องกลายเป็นหนุ่มหล่อในอนาคตอย่างแน่นอน แม้แต่ท่านอ๋องยังเทียบไม่ติด” หลินเมิ้งหยาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเส้นผมให้กับเด็กหนุ่ม นางพบว่าตนเองคิดถึงช่วงเวลาสมัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหลือเกิน นางหวนนึกถึงภาพที่ตนเองกำลังดูแลเหล่าน้องชายน้องสาว

    ตอนนั้นทุกเรื่องที่ได้พบเจอล้วนเป็นสิ่งสวยงามและบริสุทธิ์ ไม่เหมือนตอนนี้ นางต้องระวังทุกย่างก้าวจึงจะปกป้องดูแลตนเองได้

    “พี่สาวพระชายา ต่อจากนี้ไปจงอวี้สามารถอาศัยอยู่กับท่านได้จริงหรือ?” ประหนึ่งลูกคนเดียวที่แสนโดดเดี่ยวสายตาที่มองมาเปี่ยมไปด้วยความหวัง แล้วแบบนี้หลินเมิ้งหยาจะพูดว่าไม่ได้อย่างไรกัน

    นางพยักหน้าลง โอบกอดเขาไว้ นี่เป็นเสมือนการระลึกชีวิตในอดีตครั้งสุดท้ายของนาง

    “วางใจเถอะ พี่สาวคนนี้ไม่มีทางทอดทิ้งเจ้า” เหตุเพราะนางเองก็ไม่สามารถละทิ้งความทรงจำในอดีตได้เช่นกัน แม้ว่าวันเวลาจะผันผ่านและหล่อหลอมให้คงเหลือไว้เพียงความโดดเดี่ยวและภาพความทรงจำอันแสนเลือนราง ทว่าในหัวใจของนางยังคงจดจำภาพในอดีตของตนเองได้เป็นอย่างดี

    ภายในห้องอ่านหนังสือ หลงเทียนอวี้นั่งอยู่ทางด้านหลังโต๊ะอ่านหนังสือไม้สีแดงเพื่อรับฟังรายงานจากลูกน้องใต้บังคับบัญชา

    คิดไม่ถึงเลยว่า เขาเพียงล่วงหน้ากลับมาก่อนเท่านั้น แต่ทางด้านหลังกลับเกิดเรื่องราวมากมายขึ้นถึงเพียงนี้ ผู้หญิงคนนี้อยู่อย่างสงบไม่เป็นเลยจริงๆ

    “สุดท้ายพระชายาออกคำสั่ง แต่ไม่รู้ว่าออกคำสั่งกับชิวหมิง จางหวู่ หวังอวี๋และซินอวิ๋นว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาปิดปากเงียบไม่เอ่ยอันใดเกี่ยวกับเรื่องที่โรงน้ำชา แม้ข้าน้อยจะพยายามสืบหาข้อมูลก็มิพบอันใด หากท่านอ๋องอยากทราบเรื่อง ข้าน้อยจะรีบไปนำตัวทั้งสี่คนมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”

    ทว่าหลงเทียนอวี้กลับส่ายหน้า ก่อนจะสั่งให้หลินขุยออกไป

    ภายในห้องอ่านหนังสือจึงเหลือเพียงหลงเทียนอวี้เพียงผู้เดียว ทว่าอยู่ๆ ก็มีเงาดำโผล่ขึ้นมาตรงหน้าเขา

    “เย่ ตรวจสอบมาหรือยังว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?” เย่ที่สวมใส่ชุดสีดำสนิททั้งร่างคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาคือคนที่มักจะเร้นกายอยู่ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน

    ใบหน้ารูปไข่สีขาวซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงิน ไม่มีใครล่วงรู้ถึงการมีตัวตนหรือชื่อที่แท้จริงของเขา

    “ทูลท่านอ๋อง กลุ่มอันธพาลหลิวเย่เป็นคนของไท่จื่อ1ที่เลี้ยงไว้เป็นสุนัขรับใช้ ปกติมักทำเรื่องชั่วช้าเล็กๆ น้อยๆ ยังมิปรากฏว่าเคยทำเรื่องใหญ่หลวงอันใด ฉะนั้นจึงมิรู้ว่าจู่ๆ จึงไปชนเข้ากับรถม้าของพระชายาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

    กลุ่มอันธพาลของไท่จื่อ คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากัน คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับไท่จื่อ

    “ยังมีเรื่องอะไรอีก”

    “เด็กหนุ่มที่พระชายาพากลับมาคนนั้น ข้าน้อยทำการตรวจสอบแล้ว ไม่พบอันตรายใดๆ เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาที่ถูกเก็บมาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

    เมื่อครู่หลินขุยรายงานเขาแล้วว่าหลินเมิ้งหยาเก็บเด็กคนหนึ่งมาจากข้างถนน

    แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงที่แม้แต่ดูแลตัวเองยังทำไม่ได้จะรู้สึกสงสารเด็กแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก

    “จริงสิ ตกลงพระชายาไปทำอะไรที่โรงน้ำชากันแน่ เหตุใดองครักษ์ทั้งสี่จึงมิยอมปริปากเอ่ยอันใดออกมา”

    หลังจากนิ่งเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง เขาเริ่มอธิบายการกระทำของพระชายาด้วยน้ำเสียงแปลกไปเล็กน้อย

    “ข้าน้อยไปตรวจสอบเจ้าสามคนนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ คนหนึ่งกระดูกหักงอผิดรูป เกรงว่าจะกลายเป็นคนพิกลพิการ อีกคนกล้ามเนื้อฉีกขาด ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ส่วนคนสุดท้าย…เกรงว่าจะไม่อาจใช้ชีวิตเช่นมนุษย์ธรรมดาต่อไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

    นัยน์ตาของหลงเทียนอวี้เจือไว้ซึ่งความตกตะลึงขณะมองเย่

    “เจ้ากำลังบอกข้าว่าพระชายาเป็นผู้ทำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?” มองเห็นเย่พยักหน้าลง ก่อนจะเผยท่าทางประหลาดใจ

    นาง…เป็นอิสตรีมิใช่หรือ?

    “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปได้” เย่พยักหน้าลง เพียงพริบตาเดียวร่างของเขาก็หายออกไปจากห้องอ่านหนังสือ

    หลงเทียนอวี้เบือนหน้ามองต้นไผ่ที่กำลังลู่ลมด้านนอกหน้าต่าง สายตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

    หลินเมิ้งหยา…ตกลงเจ้าเป็นคนเช่นไรกันแน่?

    หากพูดว่านางเป็นคนโหดเหี้ยม แต่นางกลับสงสารเด็กน้อยแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก

    หากพูดว่านางเป็นคนจิตใจอ่อนโยน แต่คนที่ทำเรื่องเช่นนั้นได้ มิใช่คนที่มีอุปนิสัยใจคอเหมือนหญิงสาวทั่วไป

    หากพูดว่านางเป็นคนที่มีจิตใจล้ำลึกเกินหยั่ง แต่ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์คู่นั้นกลับจ้องมองเขาโดยมิคิดหลบซ่อน

    ตกลง…หลินเมิ้งหยาเป็นคนเช่นไรกันแน่?

    “ทูลท่านอ๋อง ด้านนอกมีคนนำตราประทับของพระชายามาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอกห้องอ่านหนังสือ เสียงข้าทาสผู้หนึ่งร้องขัดความคิดของเขา

    “เข้ามาได้”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    ไม่รู้ว่านางไปก่อเรื่องอันใดไว้อีก?

    “คุณหนูเจ้าคะ หรูเยว่นอนกับคุณหนูได้มั้ยเจ้าคะ?” ภายในตำหนักชิงหลาน หรูเยว่ส่งเสียงออดอ้อนคุณหนูของตนเอง

    หากอ้างอิงจากกฎระเบียบของตำหนักแห่งนี้ นางเป็นเพียงสาวรับใช้ระดับสอง เงินเดือนนั้นไม่นับ เพียงแค่หากนางต้องไปนอนอยู่ที่ห้องของสาวรับใช้ นางรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก

    หลินเมิ้งหยาไม่อาจช่วยนางได้ แต่…

    ทุกคืนนางจะต้องเขย่าเตียงส่งเสียงร้องกับท่านอ๋องอวี้ หากหรูเยว่รู้เรื่องนี้เข้าแล้วปล่อยข่าวลือออกไป มันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากมิใช่หรือ?

    “เอาล่ะ เอาไว้ข้าค่อยให้เจ้ามานอนด้วยวันหลัง อดทนหน่อยแล้วกัน” ท่าทางออดอ้อนของนางคล้ายกับซูชิงเพื่อนเพียงคนเดียวของนางไม่มีผิด

    หลินจงอวี้ยกเก้าอี้ขึ้นมานั่งข้างกายของหลินเมิ้งหยา ก่อนจะหัวเราะพี่สาวพระชายากับหรูเยว่

    “ท่านอ๋องอวี้เสด็จ…” อยูๆ เสียงร้องก็ดังขึ้น เสียงแหบแห้งของขันทีทำเอาคนทั้งห้องตื่นตะลึง

    มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่ลุกยืนขึ้นด้วยท่าทางสงบนิ่ง ก็ไม่มีอะไรนี่นา นางได้เจอกับเขาทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนอย่างครั้งแรก

    “ถวายคำนับท่านอ๋อง” ทุกคนในห้องถวายคำนับ มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่ก้มหัวเอียงตัวเท่านั้น คนในยุคสมัยโบราณใช้ชีวิตยุ่งยากจนเกินไป ขยับนิดขยับหน่อยก็ต้องถวายคำนับ แม้จะอยู่ในบ้านของตัวเองก็ตาม

    “ตามสบาย ต่อจากนี้ไปไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย หลินเมิ้งหยา เจ้ามาดูนี่สิว่ามันคืออะไร?” คิ้วของหลงเทียนอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น เพียงได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าอารมณ์ของเขาไม่ดีเท่าที่ควร

    หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปมอง ของสิ่งนั้นคือจดหมายแปะโป้งที่นางได้ทำเอาไว้

    น่าเสียดาย นางไม่ได้แสดงท่าทีสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย ทว่าหลงเทียนอวี้กลับอยากแหวกสมองของนางออกดูเหลือเกิน จะได้รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่!

    “เจ้าอธิบายมาให้ข้าฟังประเดี๋ยวนี้ ตกลงว่าจดหมายแปะโป้งนี่คืออะไรกัน? ข้าหาได้รู้ไม่ว่าข้าที่เป็นอ๋องอวี้ไม่มีแม้แต่เงินสักเศษสตางค์แดงเดียว!”

    หลงเทียนอวี้แทบกระอักเลือดตาย เมื่อครู่เจ้าของร้านว่านเหย้าเก๋อขอเข้าเฝ้าพร้อมกับใบหน้าที่มีน้ำหูน้ำตาไหลไม่ขาดสาย อีกทั้งยังวิงวอนร้องขอคิดเงินจากพระตำหนักแห่งนี้

    ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายกำลังหาเหาใส่หัว จนกระทั่งเจ้าของร้านว่านเหย้าเก๋อหยิบตราประทับประจำตัวของพระชายาออกมา เขาจึงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

    สวรรค์รู้ดีว่าตอนนั้นเขาคิดอยากใช้มีดแทงผู้หญิงที่สร้างความอับอายขายหน้าให้กับเขาคนนี้มากเพียงไหน!

    “ก็ไม่มีอะไรต้องอธิบายนี่เพคะ หม่อมฉันต้องการยาเพื่อนำมารักษาตนเอง หม่อมฉันไม่มีเงินติดตัว ดังนั้นจึงเขียนจดหมายแปะโป้ง จากนั้นใช้ของที่เป็นสัญลักษณ์ของตนเองเพื่อวางมัดจำเอาไว้” หลินเมิ้งหยาโบกไม้โบกมือ ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา โดยที่ไม่รู้สึกอารมณ์เสียเลยแม้แต่น้อย

    “เจ้า…” มือหนาอยากจะเข้าไปบีบคอยาวระหงสีขาวใจจะขาด ทว่าหลงเทียนอวี้กลับระงับความโกรธของตนเองเอาไว้ เขาโกรธจนหัวเราะออกมา ก่อนจะนำจดหมายแปะโป้งเข้าไปกดไว้ที่หน้านาง

    “ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าจึงลงนามเป็นชื่อข้า?” ไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้น แต่นางกลับเขียนชื่อเต็มของเขาลงไป หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปแล้วละก็ เขามิกลายเป็นตัวตลกในสายตาผู้อื่นอย่างนั้นหรือ?

    “อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง!” หลินเมิ้งหยาหยิบจดหมายแปะโป้งขึ้นมา ก่อนจะส่งสายตาใสซื่อไร้เดียงสากลับไป

    “แต่ถ้าหากหม่อมฉันเขียนชื่อของตัวเองลงไป เถ้าแก่ร้านไม่รู้นี่นาว่าหม่อมฉันเป็นใคร! ฉะนั้นหม่อมฉันจึงไตร่ตรองดู การเอาสิ่งของไปมัดจำไว้รังแต่จะเกิดความยุ่งยาก ดังนั้นหม่อมฉันจึงนำแหวนหยกไปมัดจำเถ้าแก่ร้านเอาไว้ก่อนเพคะ”

    ดวงตาใสซื่อกะพริบขึ้นลงปริบๆ เหตุเพราะนางทำทุกอย่างไปอย่างมีเหตุมีผล ดังนั้นนางจึงบอกเล่าออกมาด้วยความมั่นใจ

    จู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็รู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ขวางหูขวางตาเขาเสียเหลือเกิน

    หลงเทียนอวี้อารมณ์พลุ่งพล่าน เกือบจะถูกไฟแห่งโทสะเผาไหม้พยายามควบคุมตนเอง

    หากคนอื่นรู้ว่าเขาถูกพระชายาของตนเองทำให้โมโหจนสติหลุดแล้วละก็ เกรงว่าเรื่องนี้จะทำให้ตัวเขาเองต้องขายหน้า

    “น้าจิ่นเยว่ หากเข้าใจแล้วจงไปที่จงกงเพื่อเบิกเงินของพระชายาออกมา” กรมวังมอบเงินทองเอาไว้ให้หลินเมิ้งหยาอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว เพียงแค่ยังไม่ถึงวันเบิกเท่านั้น ดังนั้นนางจึงยังไม่ได้รับเงิน

    แต่ใครจะรู้เล่าว่านางจะไปติดหนี้คนอื่น! แถมใช้ชื่อเขาอีกด้วย!

    “แต่ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันต้องการยาทั้งหมด เงินจำนวนนั้น…” ได้คืบเอาศอก ริมฝีปากหยักยิ้มซุกซนขณะจ้องมองใบหน้าแข็งทื่อดั่งเหล็กกล้าของท่านอ๋อง

    “เงินของตำแหน่งพระชายาได้มากถึงสองเท่า เบิกได้สามหมื่นสองพันตำลึง เพียงพอแล้วสำหรับพระชายา” เสียงของหลงเทียนอวี้ลอดผ่านไรฟันออกมา

    ริมฝีปากของหลินเมิ้งหยาหยักโค้งเป็นวงกว้าง นางเกือบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

    สวรรค์โปรด เงินสมัยนี้ล้วนเป็นทองและเงินแท้ มิใช่เพียงกระดาษที่มีค่าเงินน้อยลงทุกทีเพราะอัตราเงินเฟ้อ

    ต่อจากนี้ไปนางจะเป็นมหาเศรษฐี!

    เมื่อได้เห็นใบหน้าที่เผยให้เห็นรอยยิ้มน่าหยิกของนาง หลงเทียนอวี้รู้สึกราวกับว่าตนเองตกหลุมพรางเข้าเสียแล้ว

    ตั้งแต่แปะโป้งซื้อยา ทิ้งตราประทับเอาไว้ สุดท้ายสั่งให้เจ้าของร้านมาที่นี่ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะวางแผนทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว

    เขาเริ่มไม่สบอารมณ์ หากไม่มีเงิน มาขอเขาก็ได้นี่ เหตุใดต้องสร้างเรื่องใหญ่โตเช่นนี้

    เขาลุกขึ้น กลับออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง เขาเข้าใจแล้วว่าทางเดียวที่จะไม่ถูกนางทำให้โมโหจนตายคือการออกห่างจากนางให้ได้มากที่สุด!

    “ท่านอ๋องไม่อยู่ต่ออีกหน่อยหรือเพคะ?” หลินเมิ้งหยาที่กำลังตกอยู่ในภวังค์รีบพาบ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้องออกมาส่งท่านอ๋องด้วยท่าทางดีอกดีใจ

    นางได้เห็นเพียงฝีเท้าที่ก้าวเร็วขึ้นกว่าเดิมของหลงเทียนอวี้ ใบหน้ายับยู่ยี่กว่าเดิมหลายเท่าตัว!

*********************

1 ไท่จื่อคือองค์ชายรัชทายาท