บทที่ 32 ไส้ติ่งเล็กๆ แต่ต้องใช้จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

วันนี้หลังจากส่งเวรเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าพยาบาลเถียนเซียงหลานก็พูดขึ้นว่า “ใกล้สิ้นเดือนแล้วนะคะ ใกล้ถึงเวลาประเมินผลงานในเดือนนี้ของแผนกฉุกเฉินแล้ว ช่วงนี้ทุกคนเร่งเก็บค่าแอดมิทของผู้ป่วยด้วยนะคะ ตอนนี้มีคนไข้หลายคนแอดมิทแล้วแต่ยังติดหนี้ไม่ได้จ่ายเงิน ถ้าเป็นแบบนี้เป้าหมายของแผนกเราคงไม่สำเร็จ คงไม่อยากถูกผู้อำนวยการตำนิอีกนะคะ?

อีกอย่าง…คุณหมอที่เคารพ พวกคุณใช้เครื่องมือประหยัดกันหน่อยเถอะค่ะ ของพวกนั้นเป็นเงินทั้งนั้น แล้วก็หน้ากากอนามัยอย่าใช้วันละอันได้ไหมคะ ใช้วันละอันแบบนี้ที่บ้านทำเหมืองแร่กันหรือคะ? แล้วแผ่นแปะผิวพวกนั้น ถ้าใช้ไม่หมดก็อย่าโยนทิ้งสิคะ เทแอลกอฮอล์เข้าไปใหม่ก็ใช้ได้อีก! …นั่นมันเงินทั้งนั้น”

“สุดท้ายเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายของแผนกฉุกเฉิน ต่อไปนี้จะต้องบันทึกหนึ่งหมายเลขต่อหนึ่งผู้ป่วย อย่าบันทึกหนึ่งหมายเลขต่อผู้ป่วยหลายคน ตอนนี้โรงพยาบาลมีนโยบายออกบัตรผู้ป่วยหนึ่งใบต่อผู้ป่วยหนึ่งคนแล้ว แล้วยังมีพวกชุดเย็บแผล ชุดทำแผลอีก ให้จดจำนวนใช้งานไว้ให้ดี นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลการกุศลนะคะ ทุกท่าน…ฉันก็ไม่อยากพูดให้ละเอียดว่าใคร แต่ทุกคนคงรู้ดี…”

อืม หัวหน้าพยาบาลพูดออกมารวดเดียวเหมือนเคย ดั่งคำที่ว่าถ้าไม่เป็นแม่บ้านก็ไม่รู้ว่าเครื่องครัวมีราคาเท่าไหร่จริงๆ

ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลใหญ่ของแผนก เป็นดั่งผู้ดูแลทรัพย์สินของครอบครัว เถียนเซียงหลานก็มีหน้าที่รับผิดชอบหนักหนาเหมือนกัน

อย่าคิดแค่ว่าแผนกฉุกเฉินเป็นแผนกที่ใหญ่ที่สุดในโรงพยาบาล ความจริง…ยังเป็นแผนกที่จนที่สุดในโรงพยาบาลด้วย

ระบบการเข้าเวรของแผนกฉุกเฉินค่อนข้างมีลักษณะพิเศษ แตกต่างกันไปตามแต่ละโรงพยาบาล

การเข้าเวรตอนกลางวันค่อนข้างยุ่งยาก ต้องเขียนประวัติผู้ป่วย ตรวจห้อง จัดการผู้ป่วย เปลี่ยนยาทำแผล ซึ่งเป็นงานที่หมอศัลยกรรมคนหนึ่งทำจนคุ้นเคย ก็เหมือนการตื่นนอนขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน ถ้าวันหนึ่งไม่จับมีดจับผ้าก๊อซก็จะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง

หลังจากหวังเชียนกลับมาจากการแต่งงาน การท่องเที่ยวในช่วงเวลาฮันนีมูนทำให้ชายหนุ่มวัยคึกคะนองผอมลงไปหลายจิน[1]

เฉินชางทอดถอนใจ ดูท่าทางการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์เป็นงานที่กินแรงจริงๆ

เฉินปิ่งเซิงมองไปยังเฉินชางแล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้ผมมีผ่าตัดไส้ติ่งสองเคส หมออันมีหนึ่งเคส ผมคุยกับเขาไว้แล้วว่าจะให้คุณไปทำ คุณก็พยายามเข้าล่ะ”

เฉินชางดวงตาแวววาว พูดยิ้มๆ ว่า “หัวหน้าสุดที่รัก! ขอบคุณมากครับ”

สำหรับศัลยแพทย์คนหนึ่ง การมีเคสผ่าตัดนับเป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขอย่างหนึ่ง

มีศัลยแพทย์หลายคนที่หลังจากเข้าโรงพยาบาลมาแล้วสิบวันครึ่งเดือนก็ยังไม่มีผ่าตัดสักเคส นานไปก็จะยิ่งซับซ้อน ดังนั้นโอกาสจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เฉินปิ่งเซิงให้โอกาสเฉินชาง ถึงกับ “ยืม” เคสผ่าตัดของอันเยี่ยนจวินมาให้ด้วย

เฉินปิ่งเซิงกลอกตาใส่ “ประจบประแจงให้มันน้อยหน่อยเถอะ ฝึกฝนไปให้ดี ใช้เวลานี้ทำการผ่าตัดไส้ติ่งให้ดี พอถึงเวลาพวกเขามาตรวจสอบ คุณก็ผ่าตัดไส้ติ่งไปซะ รับประกันว่าไม่มีปัญหาแน่นอน!”

เฉินชางพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้ม “ผ่าตัดไส้ติ่งก็เอามาเป็นผลงานได้เหรอครับ?”

เฉินปิ่งเซิงพูดเสียงเย็น “คุณคิดว่าผ่าตัดไส้ติ่งมันง่ายหรือไง?”

เฉินชางถามด้วยความแปลกใจ “ยากเหรอครับ?”

เฉินปิ่งเซิงอดส่ายหน้าไม่ได้ “การผ่าตัดไส้ติ่งอย่างเดียวไม่ซับซ้อน ในส่วนนี้เป็นเรื่องจริง แต่เมื่อรวมกับอาการต่างๆ นานาของผู้ป่วยแต่ละคนรวมไปถึงสภาพของอวัยวะภายในที่บางครั้งก็ไม่อาจเข้าใจได้ คุณคิดว่าจะทำได้ถึงขั้นไหนล่ะครับ?”

“ผู้ป่วยในโรงพยาบาลอันดับสองของพวกเราส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยธรรมดา ตอนที่ผมไปฝึกงานที่โรงพยาบาลอันดับหกของเซี่ยงไฮ้ ผมเห็นผู้ป่วยที่มาผ่าตัดไส้ติ่งเคสยากๆ หลายสิบเคสเลยนะครับ”

“การผ่าตัดไส้ติ่งธรรมดาเหมาะสำหรับการใช้ผ่าตัดแยกไส้ติ่งอักเสบออกจากไส้ติ่งที่ส่วนโคนปกติ แต่หากบริเวณโคนเกิดอาการพองตัวหรือเกิดรูจะทำให้เป็นอันตรายต่อไส้ติ่ง ถ้าใช้การเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาแยกออกจากกันไม่ได้ คุณจะทำยังไง?”

คำถามที่ถาโถมมาต่อเนื่องทำให้เฉินชางมึนงง

เนื่องจากเขาไม่เคยใคร่ครวญถึงปัญหาพวกนี้มาก่อน

เฉินปิ่งเซิงถอนใจ “ปัญหาทางการแพทย์ที่จะเกิดขึ้นมีมากมาย คุณอย่าคลายความระมัดระวังเด็ดขาด ไม่งั้นศัลยแพทย์อย่างพวกเราจะต่างจากคนฆ่าหมูตรงไหน? จุดประสงค์ของคนฆ่าหมูก็คือฆ่าหมู ลงมีดครั้งเดียวไม่ตายก็ลงมีดใหม่อีกครั้ง แต่พวกเราไม่เหมือนกัน สิ่งที่พวกเราทำคือการช่วยคน”

“ทำไมในการเรียนแพทย์ถึงให้พวกคุณเรียนปริญญาตรีห้าปีและปริญญาโทสามปี เท่านั้นยังไม่พอ หลังจบแล้วยังต้องฝึกงานอีก นั่นเป็นเพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าผู้ป่วยจะมีอาการอย่างไรกันแน่!”

เฉินชางชะงักไป…

จะมีอาการยังไงหรือ?

เฉินปิ่งเซิงถอนใจ “อาการป่วยก็เหมือนกับมนุษย์ มนุษย์คนหนึ่งเป็นแบบหนึ่ง จะเอาเนื้อหาในหนังสือเรียนของพวกคุณมาบอกว่าไส้ติ่งเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ว่าอาการป่วยใด จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพร่างกายของผู้ป่วยที่แตกต่างกัน”

“ก็เหมือนกับหวัด บางคนเป็นหวัดก็เป็นหนักจนทนไม่ไหว บางคนเป็นหวัดแล้วไม่กินยาก็หายใช่หรือเปล่า? ร่างกายคนเราแตกต่างกันไป ดังนั้นอาการป่วยหนึ่งๆ ก็มีลักษณะแตกต่างกันไปเหมือนกัน”

“ที่ผมพูดกับคุณมากขนาดนี้ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แค่อยากให้คุณตั้งใจศึกษาไปให้ดี พยายามพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดไปซะ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นหรอก ขอแค่วันนี้คุณผ่าตัดไส้ติ่งได้ดีผมก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว!”

เฉินชางอดถามขึ้นไม่ได้ “หัวหน้าครับ แล้วการผ่าตัดไส้ติ่งนี่ต้องเป็นยังไงถึงจะนับว่าดี? ผมว่าการผ่าตัดไส้ติ่งของคุณกับหัวหน้าหลี่ของพวกเราก็ต่างกันไม่มากนะครับ? หัวหน้าหลี่ยังทำเร็วกว่าคุณด้วยซ้ำ”

เฉินปิ่งเซิงอดยิ้มไม่ได้ มองไปยังเฉินชางแล้วพูดขึ้นว่า “คุณคิดว่าหมอทั่วไปกับหมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังแตกต่างกันตรงไหน?”

เฉินชางกล่าวตอบ “ระดับ? เทคนิค? ความละเอียด? หรือว่า…”

เฉินปิ่งเซิงกล่าวขัดขึ้นมา “คุณรู้ประโยชน์ของถุงลมในระบบความปลอดภัยของรถยนต์หรือเปล่า?”

เฉินชางเข้าใจกระจ่างขึ้นมาทันที!

เฉินปิ่งเซิงพูดต่อ “ประโยชน์ของถุงลมไม่ได้ทำให้รถดูสวยขึ้น และไม่ได้ทำให้รถวิ่งเร็วขึ้น แต่ตอนที่คุณเจออุบัติเหตุ ประโยชน์ของถุงลมถึงจะแสดงออกมาได้”

“โดยพื้นฐานแล้วความแตกต่างระหว่างหมอฝีมือดีกับหมอธรรมดามีไม่มาก มีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อย แต่คุณมองไม่ออก ถึงอย่างนั้นในตอนที่เกิดสถานการณ์พิเศษขึ้นมาจริงๆ ความแตกต่างระหว่างคุณกับหมอมือดีจะแสดงออกมาชัดเจน หัวหน้าหลี่ก็เป็นแบบนั้น!”

“ที่ผมต้องการบอกคุณก็คือ ภายภาคหน้า หลายๆ ครั้งก็ต้องคิดให้มาก พิจารณาให้มาก อ่านหนังสือให้มาก ถึงอย่างไรศัลยแพทย์ก็ต้องแพทย์ธรรมดาก่อนจะมาเป็นศัลยแพทย์ เข้าใจหรือเปล่าครับ? ตอนนี้การผ่าตัดของคุณเพิ่งจะเริ่มต้น ถ้าแค่การผ่าตัดไส้ติ่งยังไม่เข้าใจก็แย่แล้ว ตอนนี้คุณเห็นการผ่าตัดธรรมดาน้อยมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการผ่าตัดผ่านการส่องกล้อง คุณต้องรีบพัฒนาตัวเองตามมา”

เฉินชางพยักหน้าพลางแย้มยิ้ม “ได้ครับหัวหน้า!”

ช่วงสองปีที่ผ่านมา งานของเฉินชางล้วนเป็นงานพื้นฐานทางการแพทย์จำพวกเย็บแผล ทำแผล ปั๊มหัวใจ แต่เรื่องการผ่าตัดยังเจอน้อยมาก

ตอนนี้เรียกได้ว่าเฉินปิ่งเซิงเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ให้เฉินชางจริงๆ

…………….

[1] จิน เป็นหน่วยชั่งของจีน โดย 1 จิน ประมาณ 0.5 กิโลกรัม