ตอนที่ 72-1 แม่เลี้ยงแท้ง คุณหนูเปิดร้าน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ฝ่ามือไป๋เสวี่ยฮุ่ยแดงไปหมด ทั้งเหนียวทั้งเยิ้ม ทีแรกนางคิดว่าเป็นน้ำฝน ต่อมายังนึกว่าบาดถูกอะไร แต่พอได้ยินอาเถาร้อง ถึงตระหนักได้ในทันที!

 

 

หลังจากที่นางเข้าใจแล้วว่า โลหิตเหล่านี้คืออะไร สีหน้านาง นอกจากขาวไร้เลือดฝาด ภายใต้สายฝนอันหนาวเย็นของฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ยังปรากฏสีเขียวซีดให้เห็น ขณะกำลังดูให้แน่ใจว่าก้อนเลือดที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างนี้ค่อยๆ ไหลออกจากร่างกายนางจริง ใบหน้านางก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวด จนหลั่งน้ำตาไม่ออก นั่งอยู่บนพื้นชานเรือนท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ตีอกชกหัว ส่ายศีรษะไปมาอย่างโง่งม หัวใจเหมือนถูกกรีดด้วยคมมีด 

 

 

“ไม่ เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…สวรรค์กำลังเล่นตลกกับข้า…เป็นไปไม่ได้!”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งมีลูกมาหลายคน ย่อมมีประสบการณ์ มองดูก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จึงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่นาน

 

 

พอเห็นนายไม่พูดไม่จา บ่าวและสาวใช้ทั้งหลายก็ไม่รู้ว่าควรลากฮูหยินไปห้องบูชาบรรพชนต่อหรือไม่ หรือควรพยุงฮูหยินให้เข้าไปหลบฝนด้านในดี ทุกคนต่างไม่กล้าขยับชั่วขณะ ปล่อยให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยนั่งตากฝน และร้องไห้พลางพูดกับตัวเอง อยู่บนชานเรือนคนเดียว

 

 

พอฝนตก อวิ๋นหว่านชิ่นก็ถูกชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์พยุงเข้าไปยืนใต้ชายคา ตอนนี้พอเห็นสภาพไป๋เสวี่ยฮุ่ย อวิ๋นหว่านชิ่นก็สะทกสะท้อนใจ

 

 

ชาติก่อน แม้นางไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ แต่เมื่อได้แต่งเป็นภรรยาผู้อื่น ก็เคยหวังที่จะให้กำเนิดบุตรกับบ้านสามี ดังนั้นจึงเข้าใจในสามัญสำนึกและอาการอยากตั้งครรภ์ของหญิงสาวอยู่พอสมควร ต่อมายังเคยเห็นอนุของมู่หรงไท่ตั้งครรภ์ จนถูกฮว่าซั่นทำร้ายจนแท้ง ในระยะประชิดอีก

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตั้งครรภ์?

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ชาติก่อนตอนที่ตนแต่งเข้าจวนโหวได้ไม่นาน แม่เลี้ยงค่อยตั้งครรภ์ แล้วคลอดลูกชายในเวลาต่อมา แต่ตอนนี้สถานการณ์และลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ยุ่งเหยิงไปหมด อย่างการตั้งครรภ์ของไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็มาก่อนเวลา เพียงแต่ชาติที่แล้ว คุณชายรองสกุลอวิ๋นคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ผิวขาว อ้วนจ้ำม้ำ หนักราว 7.8 จิน (3.9 กิโลกรัม, 1 จิน = 500 กรัม) ทำให้ชายวัยกลางคนอย่างอวิ๋นเสวียนฉั่งดีใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตของน้องชายนางก็แย่ลงอย่างรวดเร็ว…คิดไม่ถึงว่าชาตินี้ ครรภ์นี้จะมาก่อน ทว่าต้องประสบกับความเสี่ยงเช่นนี้

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูสภาพของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ที่คล้ายไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ใบหน้ามีแต่ความเจ็บปวดชนิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เกือบบ้าก็ว่าได้!

 

 

ตั้งแต่ให้กำเนิดอวิ๋นหว่านเฟย ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็ไม่ได้ตั้งครรภ์อีกเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว ซึ่งนางรอคอยการมา

 

 

ของลูกชายจนแทบบ้า แอบกินอาหารเสริมช่วยเจริญพันธุ์ไม่รู้มากน้อยเท่าไหร่ เสียเงินไปไม่น้อย แต่ตอนนี้กลับ

 

 

ตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว ถ้าต้องแท้งอย่างมึนงงเช่นนี้ มิต้องเจ็บลึกจนถึงขั้วหัวใจหรอกหรือ

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกำปลายแขนเสื้อแน่นขณะจ้องมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย หรือนี่คือกฎแห่งกรรม ชาติที่แล้ว เพราะเด็กคนนี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยถึงกับทำร้ายน้องชายนางให้เป็นคนไร้บ้าน จนตายทั้งเป็น สุดท้ายยังยึดมรดกสกุลอวิ๋น รวมทั้งสมบัติทั้งหมดของมารดาตนไว้ได้ ทว่าชาตินี้ เด็กคนนี้ กระทั่งโอกาสเกิดก็ยังไม่มี!

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์กุมมือคุณหนูใหญ่ไว้ตลอด ด้วยรู้สึกว่านางเยือกเย็นมาก โดยเฉพาะตอนเปิดโปงไป๋เสวี่ยฮุ่ย นางทำได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ตอนนี้ กลับนั่งตัวสั่นน้อยๆ ตัวเย็นอยู่บ้าง จึงอดไม่ได้ที่จะกุมมือให้กำลังใจ

 

 

สาเหตุการตกเลือดของไป๋ฮูหยิน กว่าครึ่งเป็นเพราะวันนี้นางถูกแฉจนโกรธจัด แม้คุณหนูใหญ่ยังสงบนิ่งอยู่ได้ แต่นางอายุยังน้อย ย่อมรู้สึกผิดบาปในใจ เมี่ยวเอ๋อร์จึงขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงเบาที่ข้างหูนาง

 

 

“คุณหนูใหญ่ นี่เป็นกรรมทันตาเห็นของฮูหยิน นางคิดร้ายต่อคุณชาย สวรรค์จึงเอาลูกของนางคืน”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มน้อยๆ รู้สึกว่าตนอ่อนแออยู่บ้าง จึงกุมมือเมี่ยวเอ๋อร์ตอบ และรู้สึกว่าแม้มือของเมี่ยวเอ๋อร์หยาบกระด้างและหนา แต่ก็อบอุ่นและทำให้ตนสบายใจว่า มีที่พึ่งพาไปอีกครึ่งชีวิต จึงพูดเสียงเรียบ

 

 

“เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าเห็นใจนางหรือ ข้าไม่กลัวหรอก ที่ใครจะว่าข้า ว่าใจหิน เจ้ารู้ไหม ตอนนี้ข้าดีใจมาก ถอนหายใจอย่างโล่งอก เด็กคนนี้จะเกิดมาไม่ได้…ต่อให้เจ้าว่าข้า ว่าโหดร้าย ข้าก็ต้องพูดความจริงจากใจออกมา”

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์น้ำตาคลอหน่วย คุณหนูใหญ่อายุไม่มาก ทว่าตั้งแต่ใกล้ชิดนางมาไม่กี่วัน ตนกลับดูออกว่า แม้ต่อหน้าคนส่วนใหญ่ นางดูนิ่ง เย็นชา ไม่แยแสสนใจ ไม่สุข ไม่ทุกข์ แทบเข้มงวดกับตัวเองให้มีวินัยแบบผู้ใหญ่ โดยไม่ปล่อยให้ตัวเองหย่อนยานหละหลวมแม้แต่น้อย บางครั้งตอนอยู่คนเดียว พอเห็นแววตาคุณหนูใหญ่ว่างเปล่าและเฉยชา นางก็ตกใจอยู่เหมือนกัน นี่ไม่ใช่แววตาของเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน แต่เป็นแววตาของคนที่เต็มไปด้วยเรื่องในใจ

 

 

ทว่า…เมี่ยวเอ๋อร์รู้ดีว่า แท้จริงแล้ว คุณหนูใหญ่มีจิตใจอ่อนโยน ใสสะอาด เช่นเดียวกับดอกไม้สวยๆ ที่มีกลิ่นหอม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด รอบๆ กลีบดอกไม้ที่นุ่มนิ่มอ่อนโยน มักคล้ายมีเกราะครอบอยู่หนึ่งชั้น ป้องกันไม่ให้ใครได้กลิ่นหอมของนาง อาจเป็นเพราะนางสูญเสียมารดาก่อนวัยอันควร…อีกอย่าง คืนนี้ ในที่สุดคุณหนูใหญ่ก็สามารถปิดประตูน้ำได้สำเร็จชั่วคราว เป็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าที่หายากจริงๆ…ซึ่งนี่ทำให้เมี่ยวเอ๋อร์ค่อนข้างปลื้มใจ แต่ก็ปวดใจมากๆ ด้วย ถ้าถามว่าตนอยากได้อะไร ก็ต้องบอกว่า ตนได้แต่หวังว่า ในวันข้างหน้า น้องสาวต่างมารดาคนนี้จะได้พบกับบุรุษที่สามารถทำให้นางปลดเกราะป้องกันหัวใจลง บุรุษที่เข้าใจและอ่านความคิดของนางออก

 

 

ท่ามกลางความคิดอันหลากหลายของกลุ่มคน กลับเป็นถงฮูหยินที่มีปฏิกิริยาตอบสนองไวสุด แม้กำลังโกรธและเกลียดไป๋เสวี่ยฮุ่ย จนอยากจะสับนางให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น แต่พอเห็นนางเลือดไหลไม่หยุด ก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

สตรีนางนี้แม้น่ารังเกียจ แต่ชิ้นเนื้อในท้องนาง อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลอวิ๋น

 

 

ถงฮูหยินจึงขมวดคิ้ว พลางตวาดเสียงดังใต้ชายคา

 

 

“ยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบไปพยุงนางเข้ามาอีก อย่างอื่นค่อยว่ากัน!”

 

 

“ท่านแม่…ไม่ลากไปห้องบูชาบรรพชนแล้วหรือ” อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งได้สติ

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไป๋เสวี่ยฮุ่ย ถ้านางได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของท่านพ่อ จะเจ็บปวดรวดร้าวขนาดไหน!

 

 

ซึ่งไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็คล้ายได้ยิน จึงกำหมัดยันพื้น ห่อตัว แล้วครางอย่างเจ็บปวดอยู่ในลำคอ

 

 

“สภาพแบบนี้ ยังจะเอาตัวไปไว้ที่ห้องบูชาบรรพชนอีกรึ จับเจ้าเฉียวมัดไว้ แล้วนำตัวไปที่ห้องบูชาบรรพชนก่อน” ค่อยชี้ไปที่ไป๋เสวี่ยฮุ่ย “ให้คนพยุงนางกลับห้อง แล้วไปตามหมอมา!”

 

 

ถงฮูหยินสั่งเสียงเข้ม ด้วยหวังว่ายังจะรักษาชีวิตของหลานไว้ได้ ส่วนตัวแม่ ค่อยว่ากันทีหลัง

 

 

พอพ่อบ้านได้ยิน ก็รีบบอกให้คนพยุงฮูหยินเข้าไปยังห้องด้านใน แล้วส่งคนออกจากจวน ไปตามหมอทันที

 

 

อากาศไม่ดี ลมฝนแรงขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าหลั่งน้ำตาอย่างโศกาอาดูรพร้อมๆ กับเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบ ฝนตกจนฟ้าดินเปลี่ยนสี สถานการณ์ชุลมุนวุ่นวาย

 

 

หวงน้าสี่ได้ในสิ่งที่ต้องการ การก่อเรื่องของนางในคืนนี้ นอกจากไม่ได้ตั้งใจเปิดแผลเรื่องน้องสะใภ้คิดร้ายทายาทสืบสกุลแล้ว ยังได้เห็นนางตกเลือดกับตาอีก จากลักษณะของนาง น่าจะไม่รู้ว่าตนเองตั้งท้องอยู่ ขณะเหลือบมองคราบโลหิตที่ถูกน้ำฝนชะล้างจนไหลเป็นทางบนพื้นหินของชานเรือน ก็คิดว่า เห็นที เด็กคนนี้ น่าจะยากรักษาเอาไว้แล้ว

 

 

ตอนนี้ ไม่ว่าความแค้นความชิงชังอะไร ตนก็ได้ล้างจนหมดสิ้น หวงน้าสี่จึงพยุงหญิงชรา และเดินนำเด็กทั้งสองกลับเรือนตะวันตกอย่างพึงพอใจ

 

 

ความจริงหญิงชราอยากอยู่ต่อ เพื่อดูว่าเด็กในท้องของไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังอยู่หรือไม่ แต่พอหวงน้าสี่เตือนว่า ฝนตกกะทันหันเช่นนี้ อากาศจะเย็นลงทันที เกรงว่าถ้าโดนลมเย็นนานไป ข้อเข่าจะเจ็บอีก ถงฮูหยินจึงยอมเดินกลับเรือนตะวันตกกับสะใภ้ใหญ่แต่โดยดี

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นให้ชูซย่าอยู่ก่อน เพื่อสืบดูสถานการณ์ต่อ ก่อนเดินกลับเรือนฝูหยิงกับเมี่ยวเอ๋อร์

 

 

พอถึงยามสอง ชูซย่าก็ถือร่ม ฝ่าฝนกลับมา

 

 

ท่านหมอมาถึงจวนกลางดึก เพื่อตรวจดูอาการไป๋เสวี่ยฮุ่ย ชูซย่าอยู่ตรงระเบียง เห็นอาเถากับมอมอและสาวใช้สองสามคนของเรือนหลัก ยกน้ำร้อนเข้าไปกะละมังแล้วกะละมังเล่า จากนั้นก็ยกน้ำที่เลอะโลหิตออกมาสาดทิ้งกะละมังแล้วกะละมังเล่า…สุดท้าย มอมอคนหนึ่งก็ยกเตาถ่านใบเล็กมาตั้งไว้ตรงระเบียงแล้วนำพัดใบตาลมาพัดเร่งไฟ ต้มน้ำร้อนกันตรงนั้นเสียเลย จะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา

 

 

ชูซย่าเป็นสาวโสด ไม่เคยออกเรือน ไหนเลยจะเคยเห็นเหตุสตรีตกเลือดมาก่อน อีกทั้งยังได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนดังมาจากด้านในเป็นระยะ จึงตกตะลึงพรึงเพริด

 

 

เสียงนี้ เป็นเสียงของฮูหยินชัดๆ แต่คล้ายไม่เหมือน อาจเพราะเจ็บปวดและเจ็บใจในตัวเองมากจนถึงขีดสุด เสียงจึงแตกและเพี้ยนไปบ้าง

 

 

ท้ายที่สุด ในห้องก็มีมอมอนำกรรไกรอะไรหลายอันออกมา แช่ไว้ในน้ำร้อน บอกว่าท่านหมอต้องการฆ่าเชื้อโรค

 

 

ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ท่านหมอจึงเดินเหงื่อแตกออกจากห้อง แล้วค่อยเดินออกจากบ้านสกุลอวิ๋น