ตอนที่ 72-2 แม่เลี้ยงแท้ง คุณหนูเปิดร้าน

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

รอจนสาวใช้ที่รับใช้อยู่ด้านในนางหนึ่งก้าวออกมา ชูซย่าก็รีบลากนางไปสอบถามที่มุมระเบียง

 

 

สาวใช้ยังไม่ทันล้างมือ ฝ่ามือจึงมีโลหิตเลอะเป็นจุดๆ พลางพูดอย่างหวาดกลัว

 

 

“น่ากลัวมาก เกิดมาข้าก็ไม่เคยเห็นผู้หญิงเลือดออกมากขนาดนี้มาก่อน ท่านหมอตรวจดูแล้ว ยืนยันว่าตั้งครรภ์แน่นอน ตัวอ่อนสามเดือนแล้ว อาจเป็นเพราะหมู่นี้ทำงานหนักเกินจากการเตรียมของออกเรือนให้คุณหนูสาม แล้ววันนี้ยังทะเลาะกับฮูหยินพี่สะใภ้ก่อน จากนั้นก็โมโหโทโสอีก จึงรักษาเด็กไว้ไม่อยู่ ไหลออกมา”

 

 

เลือดออกเป็นกะละมังขนาดนี้ รักษาไม่อยู่แน่นอน ชูซย่ามองผ่านบานหน้าต่างเข้าไป ก่อนพูดเสียงต่ำ

 

 

“แล้วฮูหยินล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“จะเป็นอย่างไรได้ ขนาดร้องไห้ก็ยังไม่มีแรงเลย หายใจพะงาบๆ อยู่บนเตียง ไม่รู้ว่าสลบหรือนอน หลับตานิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน” สาวใช้ว่า

 

 

ขณะจะถามอีกสองคำ ก็เห็นร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก้าวออกจากห้อง เป็นอวิ๋นเสวียนฉั่ง

 

 

ชูซย่าพูดมากต่อไม่ได้ จึงถอยไปอยู่อีกด้าน เห็นเพียงม่อไคไหลที่ยืนเฝ้าหน้าประตูตั้งแต่แรกก้าวเข้าหา

 

 

“นายท่าน นี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านเหนื่อยมาทั้งคืน ควรพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าไปขานชื่อ ท่านจะพักที่เรือนหลัก หรือเรือนของอนุฟาง…”

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งหันมองเขา พลางขมวดคิ้ว ตนยุ่งมาทั้งคืน อ่อนล้าทั้งกายและใจ รู้สึกว่าสองสามวันนี้ไม่อยากพบหน้าสตรีอีก จึงสะบัดแขนเสื้อ

 

 

“เรือนนี้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง โชยไปทั่ว ดมจนสะอิดสะเอียนไปหมด ไหนเลยจะพักได้ ไคไหล เจ้าให้คนไปปัดกวาดห้องหนังสือที่เรือนน้อยทางปีกตะวันออกเฉียงเหนือให้หน่อย คืนนี้ข้าจะนอนที่นั่น”

 

 

ม่อไคไหลขานรับติดต่อกัน ก่อนกางร่มให้นายท่าน เดินไปจากเรือนหลัก

 

 

ชูซย่าจึงไม่ร่ำไรอีก รีบกลับเรือนฝูหยิงไปรายงานคุณหนู

 

 

พอฟังชูซย่าสาธยายจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ประเมินสถานการณ์ ก่อนถาม

 

 

“ตอนนี้นางยังคงพักอยู่ในเรือนหลัก? แล้วนางมีปฏิกิริยาเช่นไร ท่านพ่อปลอบนางอย่างไร”

 

 

การแท้งลูกครั้งนี้ สำหรับไป๋เสวี่ยฮุ่ย ใช่ว่าจะแย่ไปเสียทั้งหมด เดิมทีนางควรถูกลงโทษด้วยการทิ้งให้อยู่ในห้องบูชาบรรพชน เมื่อทำเรื่องน่าอดสูขนาดนี้ หลังรับโทษ ก็ต้องถูกหย่าร้าง น้องสาวที่อยู่ในวังของนาง ก็คงไม่มีอะไรจะพูด

 

 

ทว่า เพราะแท้งลูก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงถูกหามกลับห้อง ซึ่งสำหรับนางแล้ว เป็นโอกาสหนึ่งที่จะได้รับการลดโทษเป็นสถานเบา

 

 

ชูซย่าตอบ “เจ้าค่ะ ฮูหยินเลือดออกไม่หยุด ตอนนี้ยังพักอยู่ในเรือนหลัก ก่อนไปบ่าวแอบแง้มหน้าต่าง ฟังเสียงดู ได้ยินนางร้องคร่ำครวญซ้ำไปซ้ำมา สลับกับด่าไม่หยุด คล้ายด่าคุณหนูเจ้าค่ะ นายท่านก็รังเกียจว่าห้องสกปรก จึงไปนอนที่ห้องหนังสือ บ่าวเห็นสภาพแล้ว ระยะนี้แม้ฮูหยินยังไม่ถูกลงโทษ แต่นายท่านก็ไม่มีทาง

 

 

สนใจนางอีก คุณหนูวางใจได้”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบอยู่เนิ่นนาน

 

 

เด็กในท้องคนนี้ อาจเป็นลูกชายคนที่สองของจวนรองเจ้ากรม ถ้าตอนนี้ไม่อยู่แล้ว จะมีผลอย่างไรในอนาคต ต่อไปไป๋เสวี่ยฮุ่ยจะมีลูกได้อีกหรือเปล่า

 

 

การแท้งในครั้งนี้ เป็นเพราะนางกลับชาติมาเกิดใหม่หรือเปล่า เรื่องมากมายเปลี่ยนแปลงและถูกแทรกด้วยหนึ่งเหตุสุดวิสัย คุณชายรองสกุลอวิ๋นจึงยังไม่ถือกำเนิด แล้วต่อไปจะถือกำเนิดหรือไม่

 

 

ถ้าเป็นเช่นนี้…

 

 

ก็ยังประมาทไม่ได้

 

 

เกิดใหม่ครั้งหนึ่ง เปลี่ยนแปลงเรื่องราวส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกันแล้ว อนาคตกลับยิ่งมีเรื่องที่คาดเดาไม่ได้อีกมากมาย แต่ไม่เป็นไร ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน ไม่ว่าจะมาวิธีไหน นางก็รับมือได้หมด ชาตินี้นางต้องปกป้องคนข้างกายไม่ให้ถูกทำร้ายให้จงได้

 

 

ยังมี…

 

 

ลูก นางลูบท้องน้อยที่แบนราบตามจิตใต้สำนึก พอเห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยเลือดออก จริงๆ แล้วใจนางก็เหมือนถูกขึงตึง เรื่องบางอย่าง นางอดไม่ได้ที่จะคิดมาก ตอนเห็นว่าที่เท้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ยมีเลือดไหลลงมากองมากมาย พร้อมกับชิ้นเนื้อเล็กๆ อารมณ์นางก็พลุ่งพล่าน

 

 

ชาติก่อน พอรู้ว่าตนเองถูกไป๋เสวี่ยฮุ่ยวางยาจนร่างกายไม่สามารถเจริญพันธุ์ได้อีก นางก็ทำการสืบดูว่ายาพิษชนิดนี้คือยาอะไร และพบว่ามันคือยารักษาโรคเรื้อรังที่ก่อให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ชื่อ “อวี้ฟู่จื่อ” ถ้าบวกเข้ากับสมุนไพรในปริมาณที่เหมาะสม จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แถมยังใช้รักษาโรค ช่วยชีวิตคนได้อีก แต่ถ้าใช้โดดๆ ในปริมาณที่มาก ก็จะออกฤทธิ์อัตโนมัติในมดลูกของผู้หญิง ทำให้เยื่อบุมดลูกเป็นพิษ หรือพูดได้ว่า ต่อให้ตั้งครรภ์ เด็กก็จะไม่สามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษได้ พอเกิดการปฏิสนธิ ตัวอ่อนที่ฝังอยู่ในมดลูก ก็จะถูกพิษฆ่าตาย กลายเป็นก้อนเลือดสกปรก ที่ค่อยๆ ไหลออกมาโดยอัตโนมัติ

 

 

หลังแต่งงาน ตอนนางกับมู่หรงไท่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้น นางเคยเลือดออกครั้งหนึ่ง กะปริบกะปรอย ขาดๆ หายๆ ติดต่อกันสามสี่วัน แต่เพราะนางมีรอบเดือนไม่แน่ไม่นอนมาโดยตลอด เร็วบ้างช้าบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าเป็นรอบเดือน

 

 

ตอนที่รู้ว่าอวี้ฟู่จื่อทำให้คนตั้งครรภ์ไม่ได้อย่างไรนั้น นางก็รู้สึกตกใจ นึกขึ้นได้ว่า ครั้งนั้นที่เลือดออกแปลกๆ อาจเป็นเพราะแท้ง เพียงแต่ตัวอ่อนยังเล็กมาก ไม่ถึงเดือนดี จึงเลือดออกไม่มาก ปวดท้องก็ไม่มาก จึงรับรู้ไม่ได้ถึงความรู้สึกของร่างกายแม่ ขณะก้อนพิษไหลออก…

 

 

แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของอวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนั้น โดยที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม

 

 

ทว่ามีความเป็นไปได้ถึงแปดเก้าส่วน

 

 

ถ้าเป็นจริง ก็พูดได้ว่า เมื่อชาติที่แล้ว ในร่างกายนาง จริงๆ แล้ว เคยมีชีวิตเล็กๆ ชีวิตหนึ่งถือกำเนิดขึ้น

 

 

เหตุการณ์ในคืนนี้ จึงกระตุ้นอารมณ์นาง ให้คิดถึงเรื่องนี้

 

 

น้ำอุ่นๆ คลออยู่ในดวงตาอวิ๋นหว่านชิ่น ขนตางอนยาวเหมือนถูกเมฆหมอกปกคลุม บดบังทัศนวิสัยในการมอง มือเรียวบางลูบไล้เบาๆ ที่ท้องน้อย ลูกแม่ ชาตินี้ถ้าไม่ได้พบกับคนที่รักแม่ด้วยใจจริง แม่ก็ยังคงให้เจ้าเกิดใหม่ในโลกนี้ไม่ได้ แต่ถ้าโชคดี แม่ได้พบกับพ่อที่ดี เพื่อเจ้าแล้ว แม่ต้องไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้แม้แต่ปลายเล็บอย่างแน่นอน

 

 

เมื่อหวนระลึกถึง ก็เหมือนเปิดประตูน้ำออก ยากที่จะปิดลง

 

 

ย้อนกลับไปตอนอายุสิบสี่ ชาติที่แล้วดุจดังหน้าปกหนังสือ…พอนึกถึง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังคงรู้สึกหนาวเหน็บอย่างอดไม่ได้ ตอนนั้น ก่อนวันแต่งงาน นางกินของหวานบำรุงร่างกายที่แม่เลี้ยงยกเข้ามาให้จนหมดเกลี้ยง ที่แท้ก็เป็นการป้อนพิษให้ตัวเอง ทุกคำที่กินเข้าไป ตอนน้ำหวานที่หอมหวานและลื่นคอไหลไปตามลำคอนั้น มดลูก ส่วนที่ผู้หญิงถนอมที่สุดได้ถูกยาพิษรุกรานและทำลายไปทีละน้อยๆ…

 

 

ชีวิตสั้นๆ ที่เกิดมาไม่ถึงยี่สิบปี นางไม่มีสิทธิ์ได้ยินเสียงใสๆ ที่เรียกตนว่า “แม่” และไม่มีทางที่จะมีเลือดเนื้อเชื้อไขที่เชื่อมโยงกับชีพจรของตนได้ตลอดกาล ได้แต่จ้องมองอนุและนางบำเรอแต่ละคนของสามีท้องโต จากนั้นก็ให้กำเนิดทายาทของสามีแทนตนอย่างมีความสุข

 

 

ความเจ็บปวดเช่นนี้ สำหรับผู้หญิงแล้ว ยังเจ็บปวดกว่าโดนแส้โบยตีทุกวันร้อยเท่า

 

 

บาดแผลทางกาย ยังมีวันรักษาหาย หรือต่อให้ไม่หาย ก็แค่มีแผลเป็น แต่ไม่เจ็บแล้ว

 

 

ทว่าบาดแผลทางใจกับจิตวิญญาณที่ถูกทำลายล่ะ?

 

 

…ตอนนี้ ไม่รู้ว่าแม่เลี้ยงจะมีความเจ็บปวดเช่นนี้หรือไม่?!

 

 

ชูซย่ากับเมี่ยวเอ๋อร์สบตากัน ท่าทางของคุณหนูใหญ่ในคืนนี้แปลกไปมาก พอเห็นฮูหยินตกเลือด ก็นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ดูเศร้าๆ อยู่บ้าง ตอนนี้พอรู้ข่าวคราวของฮูหยิน ก็นิ่งเงียบอยู่ครึ่งค่อนวัน

 

 

หรือพอเห็นฮูหยินได้พักต่อที่เรือนหลัก ก็กลัวว่านางจะไม่ถูกลงโทษ?

 

 

ชูซย่าจึงปลอบโยน

 

 

“คุณหนูเจ้าคะ วางใจได้ แม้ฮูหยินไม่ได้ถูกนำตัวไปที่ห้องบูชาบรรพชนเพราะแท้งลูก แต่ก็เป็นแค่ชั่วคราว ถ้านางรักษาเด็กไว้ได้นี่สิ อาจได้รับการยกโทษให้ แต่ตอนนี้เด็กไม่อยู่แล้ว เบี้ยต่อรองที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวไม่มีแล้ว ผู้อาวุโสต้องไม่ญาติดีกับนางแน่ และท่าทางของนายท่านที่บ่าวเห็น ก็ฟังผู้อาวุโสในทุกๆ เรื่อง ยิ่งพอรู้ว่าคุณชายเกือบถูกฮูหยินทำร้าย ก็ต้องรู้สึกเกลียดนางสุดๆ ตอนนี้แม้แต่เรือนหลัก ก็ยังไม่อยากอยู่ ยอมไปนอนที่ห้องหนังสือแทน และที่ไม่ลากฮูหยินออกมา ก็เพราะนางเพิ่งตกเลือด ถ้าตายไป เกรงว่าผู้คนอาจนำไปนินทาได้ รอให้ฮูหยินหายจากอาการตกเลือด ย่อมไม่มีทางได้รับจุดจบที่ดี!”

 

 

แววตาของอวิ๋นหว่านชิ่นบ่งบอกว่าสติกลับคืนมาแล้ว พลางยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง ใครจะให้จุดจบแก่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอย่างไร ตนไม่สนใจ อย่างไรตนก็ไม่มีทางให้จุดจบที่ดีกับนางแน่ จึงว่า

 

 

“ชูซย่า สองสามวันนี้ เจ้ายังต้องจับตามองความเคลื่อนไหวที่เรือนหลักต่อ”