ไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้น

แววตาที่ลุงใหญ่มองอวี๋กานกานฉายประกายความดุดันและแหลมคม “มองออกไม่จริงๆ กลอุบายของหนูร้ายกาจเสียยิ่งกว่าอาจารย์ของหนูอีก”

 

 

“ลุงใหญ่คะ ลุงเป็นพี่ชายแท้ๆ ของอาจารย์หนู เป็นบุตรชายในไส้ของคุณปู่ หนูเคารพลุงค่ะ” หลังจากที่กล่าวประโยคนี้จบ อวี๋กานกานลุกขึ้นและเดินจากไปทันที

 

 

ภายในห้องโถงของสำนักงานทนายความ เสียงแหลมปรี๊ดของเหอหว่านซินดังสนั่น “อวี๋กานกาน หยุดเดี๋ยวนี้!”

 

 

อวี๋กานกานหันกลับไปเห็นเหอหว่านซินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

 

 

“อวี๋กานกาน ตระกูลเหอของพวกเรามีบุญคุณต่อแก่มากมายล้นฟ้า แต่แกกลับกินบนเรือนขี้บนหลังคา พลิกลิ้นไม่รู้จักบุญคุณ ระวังแกจะไม่ได้ตายดี ตายไปแล้วตกนรกขุมที่สิบแปด” เหอหว่านซินด่ากราดด้วยความโมโห โทสะระเบิดพุ่งทะยานขึ้นฟ้า

 

 

อวี๋กานกานกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ระหว่างนี้ที่อาจารย์ฉันยังไม่กลับมา ฉันไม่อยากจะเสวนาอะไรกับพวกคุณอีกต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตามทุกเรื่องที่ฉันทำ ฉันได้ถามใจตัวเองแล้วว่าฉันไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องละอายใจแก่ตนเอง แค่อาจารย์ฉันเข้าใจก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับพวกคุณให้มากความ”

 

 

เหอหว่านซินกระทืบเท้าเร่าๆ ด่ากราดด้วยความโกรธ “อวี๋กานกาน ให้มันน้อยๆ หน่อยแกอย่ามาทำท่าทางสะอิดสะเอียนเหมือนไม่อยากหาผลประโยชน์อะไรจากตระกูลเหอของฉัน แต่ความจริงกลับยึดเอาคลินิกของตระกูลเหอตามใจชอบ แกมันนังเนรคุณ เลี้ยงไม่เชื่อง ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะ…” ด้านข้างมีรูปปั้นหยกแกะสลัก มือขวาของเหอหว่านซินหยิบรูปปั้นยกขึ้นสูง จะขว้างไปทางอวี๋กานกาน

 

 

อวี๋กานกานไม่ขยับเขยื้อน เพียงแค่เตือนเหอหว่านซินด้วยเสียงเย็นเยียบ “พี่คะ ครั้งที่แล้วตอนที่ฉันมากับอาจารย์ ฉันเห็นว่ารูปปั้นแกะสลักนี้สวยดีจึงถามอาจารย์ อาจารย์บอกว่ารูปปั้นแกะสลักนี้เป็นงานฝีมือของศิลปินอวี่จิ่งหลง มีมูลค่าหลายแสนหยวนหรือมากกว่านั้น”

 

 

ไม่กี่วันก่อนลุงใหญ่จ่ายค่าอาหารเสียไปหลายแสนหยวน แม้เธอจะรู้ว่าลุงใหญ่ทำธุรกิจพอมีเงินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดใช้เงินเป็นใบไม้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีความคิดที่จะหุบคลินิก

 

 

เมื่อได้ยินราคา เหอหว่านซินไม่กล้าลงมือขว้าง สีหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวเขียว นั้นเรียกว่าขมขื่น

 

 

อวี๋กานกานยิ้มและหมุนตัวเดินออกไป เหอหว่านซินยังคงถือหยกแกะสลักไว้อย่างมั่นคง เธอขบกรามกรอด “อวี๋กานกาน แกมันร้ายจริงๆ ! รอฉันก่อนเถอะ!”

 

 

อวี๋กานกานนึกว่าปฏิเสธการเปิดพินัยกรรมฉบับเสริมไปแล้ว เรื่องก็คงจบแต่เพียงเท่านี้ คาดไม่ถึงเลยว่านี่ไม่ใช่จุดจบ แต่ทั้งหมดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น

 

 

ค่ำวันนี้อวี๋กานกานออกจากคลินิกกลับคอนโด วันนี้คนไข้เยอะเป็นพิเศษยุ่งจนอยู่ถึงดึกดื่น เธอเดินเลี้ยวเข้าซอยเพื่อเดินกลับทางลัด ในซอยคดเคี้ยวแต่ไม่แคบ เพียงแต่ค่อนข้างมืด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นทางที่ใช้กลับบ้านเป็นประจำซึ่งเดินจนคุ้นชินแล้ว เธอจึงไม่กลัว เดินไปเรื่อยๆ ตามทางกลับคอนโด

 

 

ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าด้านหลังเหมือนมีคนท่าทางลับๆ ล่อๆ เดินตามมา ความรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้อัดแน่นอยู่ในหัวใจ สีหน้าตึงเครียด เธอหยุดฝีเท้าหันไปตะโกน “ใครน่ะ”

 

 

ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นมีผู้ชายสองคนเดินออกมาจากทางด้านหลัง พวกมันทั้งคู่สวมหน้ากาก

 

 

อวี๋กานกานหน้าถอดสี ถอยหลังสองก้าวตามสัญชาตญาณ จากนั้นหมุนตัวอย่างรวดเร็วแล้วออกวิ่งทันที เนื่องจากรีบเกินไปทำให้เธอข้อเท้าพลิก ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมา แต่ไม่มีเวลามาให้สนใจแล้ว เธอวิ่งตรงไปด้านหน้าต่อ แต่วิ่งยังไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็เห็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากทางด้านหน้า พวกเขาสวมหน้ากากเหมือนกับพวกผู้ชายด้านหลัง มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน

 

 

อวี๋กานกานพยายามข่มความกลัวในใจ คลี่ยิ้มที่ดูสุขุมเยือกเย็น “ขอโทษนะคะพวกพี่ๆ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ถ้าคุยกันได้ พวกเราลองมาคุยกันดีๆ ก่อนไหม”