ตอนที่ 105 ไม่ต้องกลัว ผมอยู่นี่แล้ว

 

 

ในบรรดาชายฉกรรจ์สวมหน้ากากทั้งสี่คน มีคนหนึ่งถือมืดสั้น น่าจะเป็นลูกพี่ของสามคนนี้ เขามองอวี๋กานกานแล้วพูด “ถ้าคุณหนูอวี๋ยอมให้ความร่วมมือ พวกเราย่อมไม่ทำให้คุณหนูอวี๋ต้องลำบาก” เขาผายมือเชิญชวน “เชิญครับ คุณหนูอวี๋”

 

 

“ไปไหนเหรอคะ แล้วไปทำอะไร พวกพี่ชายน่าจะแย้มๆ บอกฉันสักหน่อย?” นึกไม่ถึงว่าจะรู้ชื่อแซ่ของเธอ งั้นใครกันที่เป็นคนจ้างพวกนี้มา

 

 

“แค่คุณหนูอวี๋ยอมไปกับพวกเราโดยดี พอถึงแล้วเดี๋ยวก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเอง” ชายคนนั้นพูดพลางควงมีดสั้นเล่น

 

 

ภายในความมืดมีดสั้นส่องแสงประกายวูบวาบเย็นเยียบไปถึงกระดูก มือทั้งสองของอวี๋กานกานกำหมัดแน่น แม้ว่าภายนอกจะยังดูปกติ แต่หัวใจกลับเต้นโครมคราม ก้นบึ้งของหัวใจปรากฏความกลัวที่ไม่สามารถควบคุมไว้ได้

 

 

เธอจะไม่ไปกับพวกมันและจะไปกับพวกมันไม่ได้โดยเด็ดขาด “พี่ชายทุกท่าน วิธีหาเงินมีหลากหลายวิธี มีวิธีหนึ่งเรียกว่าเอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อหาเงินกับอีกวิธีคือนอนอยู่เฉยๆ ก็ได้เงิน ไม่ว่าพวกเขาจะให้เงินพวกพี่ชายเท่าไร ฉันยินดีจ่ายสองเท่าให้พี่ชายทุกคน ฉันเชื่อว่าเรื่องดีๆ อย่างนอนอยู่เฉยๆ ก็ได้เงิน ขนมปังหล่นจากฟ้า[1]แท้ๆ พวกพี่ชายน่าจะไม่ปฏิเสธ”

 

 

แต่ละพยางค์แต่ละประโยคอวี๋กานกานกล่าวอย่างช้าๆ ต้องการที่จะถ่วงเวลาเพื่อหาทางหนีทีไล่

 

 

ผู้ชายที่ถือมีดสั้นปรายตามองอวี๋กานกานด้วยสายตาเย็นเยือก “คุณหนูอวี๋เนี่ยคารมคมคายดีจริงๆ อีกนิดเดียวพวกเราเกือบจะเปลี่ยนใจแล้ว แต่พวกเราเป็นพวกรักษาสัจจะ” เขาพูดพร้อมกับโบกมือสั้นเชิงสั่งให้ลงมือ “เลิกคุยไร้สาระได้แล้ว เอาตัวเธอไป”

 

 

ผู้ชายหนึ่งในนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่ง อวี๋กานกานแทบจะไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าในผ้าเช็ดหน้านั้นต้องโปะสารจำพวกอีเทอร์ที่ออกฤทธิ์ทำให้หมดสติ

 

 

อวี๋กานกานตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก จู่ๆ สมองของเธอก็ปรากฏภาพใบหน้าเย็นชาของคนคนหนึ่ง เขาดึงตัวเธอมาปกป้องไว้ในอ้อมอก ราวกับกำลังจะแสดงให้เห็นว่าเขาจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายเธอได้

 

 

แต่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน

 

 

“ฟังจือหัน…” อวี๋กานกานเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจู่ๆ ตัวเองได้ตะโกนออกมา

 

 

ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ชะงักไปครู่หนึ่ง อวี๋กานกานเห็นโอกาสจึงรีบหนี ปรากฏว่าเพียงเอี้ยวตัวก็ล้มลงไปหมอบกับพื้นทันที

 

 

ทันใดนั้นเอง แสงไฟแยงตาสว่างวาบขึ้น ซอยที่มืดมิดพลันสว่างไสวขึ้นทันที ทุกคนล้วนหรี่ตาลงตามปฏิกิริยาโต้ตอบของร่างกาย เมื่อปรับสายตาได้แล้ว เห็นเพียงแค่รถจี๊ปสีดำคันหนึ่ง เบรกดังเอี๊ยดหยุดอยู่ตรงด้านข้างของพวกเขา

 

 

ประตูรถเปิดออก มีผู้ชายสองคนลงมาจากรถ เพราะว่ายืนอยู่ในจุดกำเนิดแสง ทำให้มองหน้าหน้าตาของพวกเขาได้ไม่ชัดเจน รู้เพียงแค่สวมสูท รูปร่างสูงใหญ่กำยำ

 

 

ในตอนที่ชายฉกรรจ์สวมหน้ากากทั้งสี่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว หนึ่งในชายหนุ่มที่ลงจากรถพุ่งเข้าไปถีบชายสวมหน้ากากที่ถือมืดสั้นทันที

 

 

ชายสวมหน้ากากถูกเตะลอยไปนอนบนถังขยะที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะกลิ้งตกลงมาบนพื้น เลือดไหลออกมาจากมุมปากและหน้าผาก มีดสั้นหล่นอยู่บนพื้น

 

 

ชายหนุ่มอีกคนที่ลงมาจากรถจี๊ปพูดแซว “คุณชายฟัง นายลงไม้ลงมือแรงเกินไปหรือเปล่า อย่าทำให้สาวน้อยแสนสวยตกใจสิ”

 

 

ชายคนนั้นไม่ได้ให้ความสนใจในสิ่งที่เขาพูด ทำเพียงเตะมีดสั้นให้ตกลงไปยังคูน้ำข้างๆ จากนั้นเดินไปหาอวี๋กานกาน

 

 

อวี๋กานกานมองชายหนุ่มที่เดินมาทางเธอ ใบหน้าหล่อเหลายังคงเย็นชาไร้อุณหภูมิไม่เปลี่ยน นัยน์ตาราวกับว่ามีน้ำค้างแข็ง เต็มไปด้วยความอันตราย

 

 

ฟังจือหัน

 

 

จู่ๆ เขาก็โผล่มาจริงๆ ด้วย อวี๋กานกานรู้สึกค่อนข้างเหลือเชื่อ หัวใจเต้นผิดไปหลายจังหวะอย่างแปลกประหลาด มองเขาโดยไม่ละสายตา

 

 

ฟังจือหันก้าวยาวๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ในตอนที่สติของเธอยังไม่กลับคืนมา เขากอดเธอเอาไว้ในอ้อมอก ทั้งยังยื่นมือมาปิดตาเธอ “ผมอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัว”  

 

 

 

 

——

 

 

[1] ขนมปังหล่นจากฟ้า หมายถึง ลาภลอย 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 106 ผมกำลังต่อสู้ พวกคุณกลับสวีทหวาน

 

 

อวี๋กานกาน “…”

 

 

เธอเป็นเแค่หญิงสาวธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง จู่ๆ ก็ถูกชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่หลายคนล้อมจะให้ไม่กลัวได้อย่างไร ถึงแม้สีหน้าจะดูปกติสักแค่ไหน แต่ก็มีความกลัวอยู่ในใจ

 

 

เพียงแต่ว่าทำไมถึงต้องปิดตาเธอด้วย

 

 

มีน้ำเสียงทะเล้นดังขึ้นจากทางด้านหู “สวัสดีสาวน้อยแสนสวย ผมชื่อลู่เสวี่ยเฉิน” ตามด้วยเสียงเตะต่อย อวี๋กานกานสงสัยใคร่รู้ อยากจะดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พอเธอเอื้อมมือขึ้นมาก็ถูกฟังจือหันดันกลับลงไป “อย่ามอง”

 

 

อวี๋กานกาน “…”

 

 

ที่จริงเธอก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่ว่าไม่กล้าดูคนชกต่อยกัน

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินกำลังรับมือหนึ่งต่อสาม ชั่วแวบหนึ่งเขาเหลือบมามองฟังจือหัน ตะลึงตาค้างไปในทันที เขาสะบัดปอยผมบริเวณหน้าผาก ใบหน้างดงามบูดบึ้ง บ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “โอ้โห ให้คุณชายอย่างฉันมาต่อยตีแทนนาย ส่วนตัวเองไปจีบสาว แถมยังมาสวีทหวานต่อหน้าฉันอีก?”

 

 

ชายสวมหน้ากากสองคนตะเกียกตะกายขึ้นจากพื้น พุ่งเข้าใส่ลู่เสวี่ยเฉินพร้อมๆ กัน

 

 

ลู่เสวี่ยเฉินถอยหลังสองก้าว เอียงตัวปล่อยหมัดใส่ลำตัวของชายสวมหน้ากาก จากนั้นพุ่งเข้าไปจับแขนของชายสวมหน้ากากอีกคนหมุนตัวแล้วทุ่ม จากนั้นเหยียบลงบนแผ่นหลังอย่างโหดเ**้ยม เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของชายสวมหน้ากาก

 

 

ชายสวมหน้ากากที่เดิมทีถือมืดสั้น ก็ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วเช่นกัน เขาจ้องฟังจือหันด้วยสายตาโหดเ**้ยม ตะโกนเสียงดังลั่น พุ่งเข้าใส่ฟังจือหันและอวี๋กานกานทันที

 

 

ฟังจือหันยังคงกอดอวี๋กานกานแน่นไม่ยอมปล่อย มือปิดตาของเธอไว้ ดวงตาเย็นชาของเขาหรี่ลงอย่างอาฆาตมาดร้าย ภายในนัยน์ตาสีดำขลับเคลือบไว้ด้วยไอสังหาร

 

 

ทันใดนั้นเขาโอบอวี๋กานกานแล้วเอี้ยวตัว จากนั้นตวัดขาเตะไซด์คิก

 

 

ชายสวมหน้ากากที่ก่อนหน้านี้ถือมีดสั้น ครั้งนี้ถูกเตะกระเด็นชนเข้ากับกำแพงอย่างจัง ในตอนที่ล้มลงหัวกระแทกพื้น เขาร้องโหยหวนด้วยความจำปวด “โอ๊ย!”

 

 

อวี๋กานกานถูกปิดตาไว้ตลอด มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง เธอรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเสียงไซเรนดังขึ้น ฟังจือหันถึงจะปล่อยมือ

 

 

เธอเห็นชายสวมหน้ากากทั้งสี่คน ทั้งหมดถูกซ้อมนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ไม่กระดิกกระเดี้ยตัวแม้แต่น้อย บนร่างกายมีบาดแผล ดูแล้วน่าจะเจ็บค่อนข้างหนัก ส่งเสียงโอดครวญอยู่ในลำคอ

 

 

ผู้ชายที่ชื่อลู่เสวี่ยเฉินนั้นหน้าตาสะอาดหมดจด งดงามเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะรูปร่างที่สูงใหญ่กำยำ สวมสูทของผู้ชาย คนอื่นต้องเข้าใจผิดนึกว่าเขาเป็นสาวสวยคนหนึ่งแน่ๆ

 

 

ทว่ารอยยิ้มและแววตาล้วนอัดแน่นไปด้วยไอชั่วร้าย “กลางค่ำกลางคืนผู้ชายตัวใหญ่เบ้อเริ่มสี่คนล้อมสาวน้อยแสนสวยคนเดียว สุมหัวก่อเรื่อง ทำร้ายผู้อื่น ไม่สั่งสอนให้หนักเกรงว่าพวกแกจะไม่หลาบจำ” เขาเหยียบลงไปที่หลังของชายสวมหน้ากากคนหนึ่งอย่างอำมหิต จากนั้นเล่นโทรศัพท์ด้วยท่าทีเฉื่อยชาเอ้อระเหยลอยชายไม่รักษามาด

 

 

ตำรวจหลายคนเดินลงมาจากรถ หัวหน้าตำรวจรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน แววตาแฝงไว้ด้วยความดุดัน เขาคือคุณตำรวจหมีจั่งอี้ที่มาคลี่คลายเหตุวุ่นวายที่คลินิกในวันนั้น

 

 

อวี๋กานกานอยากจะเดินเข้าไปถามให้ชัดเจนว่าเป็นใครกันแน่ที่สั่งให้พวกเขามาจับตัวเธอ ผลปรากฏว่าเพียงแค่ก้าวเท้าออกไป ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ขาก็แล่นขึ้นมาทันที เธอหลุดปากร้อง “ซี๊ด” ออกมาเบาๆ

 

 

ฟังจือหันถาม “คุณเป็นอะไร”

 

 

“ไม่ทันระวังขาก็เลยพลิกน่ะ…” อวี๋กานกานพูดจบปุ๊บ บริเวณเอวรู้สึกถึงแรงรัดแน่นตามด้วยเท้าที่ลอยเหนือขึ้นจากพื้น เธอยังไม่ทันได้ร้องโวยวาย ทั้งตัวก็ถูกฟังจือหันอุ้มลอยขึ้น

 

 

ร่างกายที่ลอยอยู่บนอากาศให้ความรู้ที่ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง อวี๋กานกานจับบ่าของฟังจือหันตามสัญชาตญาณ “นายทำอะไร ฉันแค่ขาพลิกนิดหน่อยยังพอเดินไหว รีบปล่อยฉันลงเร็วเข้า”

 

 

คนตั้งมากมายมองมา น่าอายจะตาย