ตอนที่ 26 ชายหญิงไม่ควรชิดกันเช่นนี้ [รีไรท์]

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 26 ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันแบบนี้

แต่ถ้าหากไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นก็จะไม่มีหยางหยางและหน่วนหน่วนถือกำเนิดขึ้นมา

เด็กพวกนี้เธอรักมาก แต่เธอไม่ชอบพ่อของพวกเขา ดังนั้นต่อให้โลกนี้จะขัดแย้งอะไรยังไงก็ตาม ไม่มีทางทำให้คนต้องมาทั้งรักทั้งเกลียดหรอก

จิ่งเป่ยเฉินเผยแววตาที่ดูยุ่งเหยิงออกมา เขายกมือขึ้นพลางขมวดคิ้วและจดจ้องไปที่ตัวของเธอโดยตรง

อันโหรวปัดป้องด้วยมือ “ประธานจิ่ง ระยะห่างของพวกเรานั้นใกล้เกินไปแล้ว ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันแบบนี้”

จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่ดวงตาคู่นั้นของเธอ แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะไม่คล้าย แต่รูปลักษณ์นั้นกลับไม่ใช่ อีกทั้งการแสดงและวาจาคำพูดล้วนแล้วแต่ใกล้เคียงมาก….

หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาก็ไม่ได้พูดอะไร อันโหรวรู้สึกว่าการแสดงออกของเธอนั้นแข็งทื่อเกินไป

“ประธานจิ่ง ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวออกไปก่อนนะคะ ข้อมูลตอนนี้ก็อยู่ในมือคุณแล้ว ต่อให้คุณจะมองว่าฉันนั้นเย่อหยิ่งหรืออะไรก็ตาม แต่ว่าฉันนั้นคิดดีแล้ว พวกเราไม่ควรคุยเรื่องความรักใคร่ในบริษัท”

เมื่อพูดจบเธอก็รีบก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่สนใจที่จะฟังเขาพูด ก่อนจะเดินออกไปตรงหน้าประตู

เมื่อมือแตะลูกบิดประตู เธอก็ได้ยินประโยคหนึ่งดังขึ้นมา

“ทำไมถึงได้เรียนฝึกเสียงกับนักร้องด้วย เสียงของเธอแต่เดิมไม่น่าจะแหบนี่? เธอคงต้องอธิบายให้เข้าใจถึงจุดนี้หน่อยแล้ว”

เธอยังไม่ได้หันไปมองก็ถูกจับผิดจนได้

คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่การฝึกเสียงก็ถูกตรวจสอบ ทุกการกระทำของการฝึกฝนกับนักร้องผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงก็ถูกตรวจสอบ

“เหรอคะ ประธานจิ่งไม่ได้เชื่อว่าเสียงของฉันแหบแต่แรกแล้วสินะ” อันโหรวยังคงใช้เสียงแหบ ๆ พูดต่อ

เมื่อเห็นดวงตาที่แน่วแน่ของเขา เธอก็หัวเราะออกมาทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แหลมคมและเอ่ยด้วยน้ำเสียงของผู้หญิงปกติ “ปิดบังคุณไม่ได้จริง ๆ ด้วย”

น้ำเสียงที่มีเสน่ห์ช่างทำให้ผู้ชายต่างหลงใหล เพียงแต่ว่าเสียงนี้ไม่ใช่เสียงที่แท้จริงของเธอ

เธอเรียนรู้วิธีดัดเสียงนอกจากเสียงแหบมาด้วย

เมื่อได้ยินเสียงนี้ จิ่งเป่ยเฉินก็รู้สึกเหมือนสมองเริ่มหนักอึ้ง

อันโหรวยังใช้เสียงที่มีเสน่ห์ต่อไป “ถ้าหากทำงานในบริษัทจิ่ง คุณคิดว่าเสียงนี้จำเป็นต่อฉันด้วยเหรอคะ?”

จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่เธอ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ออกไปซะ”

เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก และกลับไปใช้น้ำเสียงที่แหบ “หวังว่าประธานจิ่งจะไม่ตรวจสอบฉันอีกนะคะ”

หลังจากพูดจบเธอก็เดินออกจากห้องทำงานของเขาไปทันที

จิ่งเป่ยเฉินพลิกเอกสารไปมา กระทั่งสายตาของเขานั้นไปสะดุดกับจุดหนึ่งเข้า

นั่นก็คือพ่อของลูกเธอนั้นมันถูกเขียนแค่สองคำ

ภายในบริษัทจิ่ง แผนกวางแผน

หัวหน้ากลุ่มวางแผน A คือฉิวซี เธอแต่งหน้าด้วยเปลือกตาที่ลงอายแชโดว์สีม่วงเอาไว้ ตอนนี้เธอกำลังจับจ้องมาที่อันโหรว

ผู้หญิงคนนี้นับว่าดูไม่เลว ไม่เพียงแต่จะเข้ามาในแผนกวางแผน แต่ทั้งบริษัทต่างก็รับรู้ชื่อเสียงของเธอเกือบทั้งหมด ได้ยินมาว่าเธอเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมาก เข้ามาเป็น TE ด้วยตัวเอง

ผู้ที่จะเป็น TE ให้บริษัทนั้นต้องร้ายกาจ เพราะนอกจากธุรกรรมของธุรกิจที่ทับซ้อนกับผลประโยชน์ของบริษัทจิ่งแล้ว ก็มักจะต้องต่อสู้กับการแข่งขันต่าง ๆ ของบริษัทอื่น ๆ เรียกได้ว่าต้องตายกันเป็นข้าง

ถ้าหากผู้หญิงชราคนนี้มีความสามารถกล้าที่จะมายังแผนกวางแผนแล้วละก็ ประธานจิ่งที่แต่งตั้งคนนี้ให้เป็น TE เขามองเห็นถึงจุดเด่นอะไรกันนะ?

เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่เธอนั้นจะกลายเป็นสายลับทางด้านการค้า เมื่อคิดถึงข้อนี้เธอจึงจ้องมองอันโหรวด้วยสายตาที่แตกต่างออกไปทันที

อันโหรวเมื่อเห็นเธอมองมาแบบนั้น เธอจึงยื่นมือออกไปพลางยิ้มและเอ่ยออกไปว่า “ดิฉันชื่ออันอีหาน มีความสุขมากจริง ๆ ค่ะที่ได้เข้ามายังแผนกวางแผนของบริษัทจิ่ง”

ด้วยความสุภาพและศักดิ์ศรีของหัวหน้าแผนกอย่างฉิวซี เธอจึงยื่นมือออกมาและเขย่าไปเบา ๆ “ตั้งแต่ที่มาที่นี่ก็นับว่าเป็นกำลังให้กับบริษัทจิ่งแล้ว อยู่ที่นี่เธอต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมานะ”

“ยินดีเลยค่ะหัวหน้าทีม ขอบคุณที่เตือนนะคะ”

“ฉันไม่สนหรอกนะว่าก่อนหน้านี้สถานะของเธอคืออะไร เมื่อเข้ามาที่นี่ก็นับว่าเป็นคนใหม่ ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มจากจุดเริ่มต้น ตอนนี้เธอไปชงกาแฟให้ฉันที และก็ให้สมาชิกในกลุ่มวางแผน A ทุกคนด้วย ทั้งกาแฟและกาแฟบด ส่วนเครื่องชงกาแฟและเมล็ดกาแฟอยู่ข้างตู้เย็นนั่น”

ในขณะนั้นเองก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงดังขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นานเท่าไรนักก็ปรากฏร่างของผู้หญิงที่สวมชุดสีเหลืองกำลังเดินเข้ามา

รองเท้าส้นสูงสีฟ้าลายน้ำตาลแดงสูงกว่าสิบเซนติเมตร สามารถได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากไกล ๆ ทั้งรูปแบบการเดินและบุคลิกที่ดูแน่วแน่และเข้มแข็งนั้นนับว่าน่าหวาดหวั่นจริง ๆ

**จริง ๆ แล้วอันโหรวสมัครตำแหน่งผู้อำนวยการ แต่ตอนนี้ถูกย้ายให้มาอยู่ที่ทีม A (ไม่ใช่ตำแหน่งผู้อำนวยการนะ ถ้าตามหลักแล้วก็ต้องเริ่มจากหนึ่งก่อนนั่นแหละครับ**