ภาคที่ 3 บทที่ 12 สสารจุลภาค

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 12 สสารจุลภาค

“ผ้าเท่อลั่วเค่อ ท่านเคยเห็นเจ้านี่มาก่อนหรือไม่ ?” ซูเฉินถามขึ้น ตอนนี้เขากลับมาที่ห้องทดลองในคฤหาสน์แล้ว

ผ้าเท่อลั่วเค่อตรวจดูก้อนโลหะก่องร้องเสียงตะลึง “พวกนี้คืออักขระค่ายกลที่ซับซ้อนมาก มันมีกลิ่นอายที่ข้าคุ้นเคยนัก แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่าง”

“ท่านจะบอกว่ามันคือสิ่งประดิษฐ์โบราณหรือ ?”

“ไม่ ! ข้ามั่นใจว่าไม่ใช่” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ “ยุคนี้มีสิ่งประดิษฐ์มากมายที่ยุคอาณาจักรอาร์คาน่าไม่เคยมี”

เทียบกับซูเฉินแล้ว ผ้าเท่อลั่วเค่อรู้จักสิ่งประดิษฐ์สมัยอาณาจักรอาร์คาน่าเยอะกว่ามาก หลังจากกลับมาที่โลกปกติได้ 1 ปีเต็ม เขาก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์และการพัฒนาในโลกปัจจุบันได้แล้ว

ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “นี่คือผลจากการรวมทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยและวิชาโบราณอาร์คาน่าเข้าด้วยกัน”

“อ้อ พบบัณฑิตอีกคนเข้าแล้ว” ซูเฉินหัวเราะ

เขาไม่มีทางเชื่อว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่เชี่ยวชาญเรื่องทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยและวิชาโบราณอาร์คาน่าหรอก

“แต่มันไม่เหมือนกันทักษะต้นกำเนิดที่พวกเจ้าใช้กัน ข้ายังไม่อาจค้นหาต้นตอมันได้ชั่วขณะ…… ตอนนี้ข้ามีความรู้เกี่ยวกับโลกนี้น้อยเกินไป หากข้ามีร่างก็อาจสามารถ……”

“พอเถอะ ผ้าเท่อลั่วเค่อ อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ยังไม่อาจคืนร่างให้ท่านได้ แต่หากท่านให้ความร่วมมือดี ต่อไปข้าอาจลองคิดเรื่องช่วยท่านหาร่างได้” ซูเฉินชี้ก้อนโลหะ “นอกจากต้นตอมันแล้ว ท่านสัมผัสอะไรจากก้อนโลหะได้อีก ?”

“มันมีพลังชีวิตที่ทรงพลังมากแผ่ออกมา !” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ

“พลังชีวิตที่ทรงพลัง ? ท่านมั่นใจหรือ ?”

“มั่นใจอย่างยิ่ง ก็ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้นี่”

ซูเฉินพยักหน้า “ก็ฟังดูมีเหตุผล ก้อนโลหะนี้ปล่อยสสารจุลภาคออกมาไม่หยุด ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุของเรื่อง ‘ปีศาจส่งเด็ก’ ทั้งหมดนี่”

“สสารจุลภาค ? เจ้ามั่นใจหรือ ?” ครั้งนี้เป็นผ้าเท่อลั่วเค่อที่ตะลึงไป

เมื่อเห็นซูเฉินพยักหน้ามั่นใจ ผ้าเท่อลั่วเค่อพลันตื่นเต้นขึ้นมา “การควบคุมจุลภาค ! ต้องเป็นการควบคุมจุลภาคแน่ ! มีคนทำสำเร็จจริง ๆ!”

“ท่านจะบอกว่ามีคนสร้างสสารนี่ขึ้นมาหรือ ?” ซูเฉินเองก็ตกใจไป

“ข้าไม่อาจมั่นใจได้เต็มร้อย หากข้ามีร่างจริงก็คงมีวิธีทดสอบ แต่ตอนนี้ข้าทำไม่ได้ แต่หากมันถูกสร้างขึ้นจริงก็จะมีผลมหาศาล การควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในระดับจุลภาคสามารถนำไปใช้ได้หลายอย่าง มีอนาคตไม่สิ้นสุด !” ผ้าเท่อลั่วเค่อตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

เขาตะโกนใส่ซูเฉิน “เจ้าคิดดูสิ ! โดยขั้นพื้นฐานแล้ว ทุกสิ่งอย่างประกอบขึ้นจากอนุภาคขนาดเล็ก พลังต้นกำเนิดก็เช่นกัน หากเจ้าสามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในระดับนี้ได้ ก็สามารถสร้างชีวิตขึ้นได้ ! สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ขึ้นมาได้ทั้งหมด ! สร้างทุกอย่างขึ้นมาได้เลย ! กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้พลังต้นกำเนิดก็ยังได้ ! อาจนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นสู่ทุกสิ่งอย่างก็ว่าได้ !”

ยิ่งพูด ผ้าเท่อลั่วเค่อก็ยิ่งเอ่ยอะไรไม่รู้ความ

ซูเฉินยังคงตั้งอยู่บนเหตุผล “ท่านคิดไปไกลเกินแล้ว ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดส่วนมากเพียงมองมันว่าเป็นสสารจุลภาคหนึ่งที่มีพลังชีวิตอยู่มาก และก้อนโลหะก็เป็นตัวกักเก็บมัน อีกอย่าง ตอนนี้เราก็ยังไม่อาจควบคุมมันได้ด้วยซ้ำ ท่านพูดไปถึงขั้นสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาแล้วหรือ ?”

“นั่นก็เพราะเจ้ายังมีพลังจิตไม่มากพอ !”

“ว่าอะไรนะ ?” ชายหนุ่มตะลึงไป

“แล้วเจ้าคิดว่าจะใช้อะไรควบคุมสสารจุลภาคเหล่านี้กัน ? ไม่ได้ใช่พลังต้นกำเนิดหรอก ด้วยพลังต้นกำเนิดอยู่ในระดับมหภาค แม้จะอยู่ในรูปของรูปแบบพลังต้นกำเนิดหรือยันต์พลังต้นกำเนิดก็ยังนับว่าควบคุมในระดับมหภาคอยู่ดี แต่พลังจิตนั้นแตกต่าง อย่าคิดว่ามันใช้เพียงสร้างภาพมายาเพื่อโจมตีจิตอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียวนะ พลังจิตก็สามารถสร้างสสารที่จับต้องออกมาได้เช่นกัน แต่มันจะอยู่ในระดับจุลภาคก็เท่านั้น”

“ควบคุมโดยใช้พลังงานจิตหรือ ?” ซูเฉินตะลึง

“ถูกต้อง เจ้าคิดว่าข้าสามารถทำการทดลองเปลี่ยนแปลงสิ่งมีชีวิตได้สำเร็จได้อย่างไรกันเล่า ? ใช้นิ้วเขียนความทรงจำลงในสมองมารดาที่ตั้งครรภ์หรือ ? เปล่าเลย ใช้พลังงานจิตต่างหาก ! ยิ่งพลังงานจิตเจ้าแกร่งมากเท่าไร เจ้าก็ยิ่งสามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในระดับจุลภาคได้ดีมากขึ้นเท่านั้น !”

“หากข้าอยากควบคุมสสารจุลภาคเหล่านี้ ต้องทำอย่างไรบ้าง ?”

“เพิ่มพลังจิตของเจ้าเสีย จากนั้นก็จะสามารถรวมพลังจิตแล้วควบคุมมันได้…… หรือง่าย ๆ ก็คือ มอบสิ่งที่จับต้องได้ให้พลังจิต”

“มอบสิ่งที่จับต้องได้ให้พลังจิตเพื่อที่จะสามารถเอื้อมถึงโลกระดับจุลภาคได้งั้นหรือ ?” ซูเฉินพึมพำกับตนเอง คล้ายกับจะเข้าใจ

เขาถามขึ้น “หากจะฝึกจากตอนนี้ หนทางอีกยาวไกลแค่ไหนหรือ ?”

“ไกลนัก มนุษย์ใฝ่บ่มเพาะเพียงร่างกาย ดังนั้นร่างกายของพวกเจ้าจึงแกร่งกว่าพวกข้า แต่วิญญาณนั้นหยาบกระด้างเกินไป พลังจิตก็อ่อนแอกว่าพวกข้านัก เผ่ามนุษย์มีความเข้าใจเกี่ยวกับเผ่าอาร์คาน่าน้อยนัก จึงมองวิชาโบราณอาร์คาน่าว่าเหมือนกับเผ่าอาร์คาน่า แต่มันไม่ใช่เช่นนั้นเลย จริง ๆ แล้วตระกูลชั้นสูงเผ่าอาร์คาน่ามุ่งพัฒนาพลังจิตต่างหาก มีแต่เผ่าอาร์คาน่าชั้นต่ำเท่านั้นที่มุ่งพัฒนาวิชาอาร์คาน่า”

“เป็นเช่นนี้เอง” ซูเฉินเข้าใจ “ข้าขอเดาว่าที่เข้าใจผิดเช่นนี้เป็นเพราะในตอนนั้น มนุษย์ยังเป็นทาส พวกทาสไม่อาจมีโอกาสได้พบเห็นชนชั้นสูงเผ่าอาร์คาน่ากระมัง ดังนั้นจึงเข้าใจได้เพียงในระดับหนึ่งเท่านั้น”

“ก็อาจจะ” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ “สมมุติว่าเจ้าต้องใช้พลังจิต 100 หน่วยเพื่อให้สามารถเอื้อมถึงโลกระดับจุลภาค ตอนนี้เจ้าก็คงมีพลังจิตอยู่ที่ประมาณ 50 หน่วย เจ้าจึงไม่อาจยุ่งกับโลกนั้นได้”

“ก็ต่างกันไม่มาก” ซูเฉินเอ่ย

“เป็นเพราะเจ้าไม่รู้ต่างหาก กระทั่งคนธรรมดายังมีพลังจิตอยู่ราว 10 หน่วย การบ่มเพาะพลังช่วยเพิ่มพลังจิตขึ้นได้บ้าง ด่านก่อเกิดลมปราณเพิ่มอีก 10 หน่วย ด่านกลั่นโลหิตก็เพิ่มอีก 10 หน่วย อย่างเจ้าก็นับว่าเพิ่มมา 20 หน่วยแล้ว ดังนั้นเจ้าเพิ่งจะบ่มเพาะพลังจิตมาเองได้ราว 10 กว่าหน่วยเท่านั้น หากจะให้ถึง 100 หน่วย อาจจะต้องรอจนกว่าจะทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณ แต่ถึงพลังจิตมี 100 หน่วยแล้ว เจ้าก็ยังไม่อาจควบคุมมันได้”

“เพราะอะไร ?”

“เพราะเจ้าไม่อาจมองเห็นมัน แต่ถ้าสามารถมองเห็นสสารจุลภาคเหล่านั้นได้ ก็จะสามารถจับต้องและควบคุมมันได้ และหากเจ้าคิดใช้ทักษะต้นกำเนิดทำให้มองเห็นพวกมันก็เปล่าประโยชน์ เพราะจะเห็นเพียงผิวเผิน ทำให้เกิดการคลาดเคลื่อนได้ มันอาจทำได้เพียงให้เจ้ารับรู้ถึงการมีอยู่ ทว่าไม่อาจทำให้มองเห็นสสารจุลภาคอย่างชัดเจนได้ เพราะทักษะต้นกำเนิดต่าง ๆ นั้นนับว่ายังอยู่ในระดับมหภาค”

“ท่านจะบอกว่าข้าสามารถใช้พลังจิตควบคุมมันได้ก็ต่อเมื่อข้าเห็นมันงั้นหรือ ?” ซูเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

“ถูกต้อง แต่มนุษย์ไม่มีความสามารถเช่นนั้น”

ซูเฉินเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย “แสดงว่าเผ่าอาร์คาน่าทำได้หรือ ?”

“แน่นอน !” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบอย่างหยิ่งผยอง “พวกเราคือเผ่าอาร์คาน่า สามารถมองโลกระดับจุลภาคได้อย่างชัดเจน ! เจ้าคิดว่าความรุ่งเรืองนับหมื่นปีของเผ่าอาร์คาน่ามาจากสิ่งใดกัน ? เป็นเพราะพวกเรามีนัยน์ตา 2 คู่อย่างไรเล่า คู่หนึ่งมองโลกระดับมหภาค อีกคู่ใช้มองโลกระดับจุลภาค”

ซูเฉินรู้สึกใจหล่นวูบ “ท่านจะบอกว่า…… มันไม่ใช่เพียงตำนานหรือ ? เผ่าอาร์คาน่าสามารถมองเห็นได้ถึงระดับจุลภาคเลยหรือ ?”

“มีเพียนชนชั้นสูงเผ่าอาร์คาน่าที่มีฐานะสูงส่งที่สุดจึงจะปลุกความสามารถจากสายเลือดนั้นขึ้นมาได้ !” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบเสียงผยอง “สำหรับเผ่าอาร์คาน่าที่มีเลือดต้นกำเนิด ใต้หล้านี้ประกอบไปด้วยองค์ประกอบพื้นฐานมากมายนับไม่ถ้วน รวมถึงพลังต้นกำเนิดด้วย หากเจ้ามีดวงตาที่สามารถมองเห็นโลกระดับจุลภาคได้ เจ้าจะสามารถเห็นกระทั่งการรวมตัวและการสลายไปของพลังต้นกำเนิด ซึ่งหากสังหารสิ่งมีชีวิตที่มีพลังต้นกำเนิด เจ้าก็จะสามารถดูดซับพลังต้นกำเนิดทั้งหมดที่กระจายออกมาจากร่างมันได้ ทำให้การบ่มเพาะพลังของเจ้ารวดเร็วยิ่งกว่าเดิม !”