ภาคที่ 3 บทที่ 13 ฝึกฝนพลังจิต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 13 ฝึกฝนพลังจิต

ซูเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่อนความตกใจของตนเองลง

ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “เช่นนั้นหรือ ? น่าเสียดาย จะมีใครรู้ได้ว่าตอนนี้ยังเหลือเผ่าอาร์คาน่าที่มีเลือดต้นกำเนิดในกายอยู่บ้างหรือไม่ หากหาพบแล้วควักเอาเนตรมองพลังต้นกำเนิดออกมาใช้เองได้ก็คงดีไม่น้อย”

เป็นเพราะอารมณ์ยังไม่กลับมาเป็นปกติ ซูเฉินจึงเผลอทำพลาดไปเล็กน้อย เรียกดวงตามองเห็นโลกจุลภาคเหล่านั้นเป็นเนตรมองพลังต้นกำเนิดของเขาเองด้วยความเคยชิน

ผ้าเท่อลั่วเค่อไม่ทันสังเกต จึงได้แต่ส่ายหัว “ข้าไม่คิดว่าจะมีเผ่าอาร์คาน่าที่มีเลือดต้นกำเนิดหลงเหลืออยู่แล้วกระมัง คนที่มีชื่อหน่อยก็ล้มหายตายจากไปหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในใต้หล้าไปแล้ว เจ้าลองคิดดู เครื่องมือสกัดสายเลือด อารามพลังต้นกำเนิด เครื่องมือกลายวิญญาณ แกนพลังงานแห่งซาร์ค ต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ เป็นมันสมองจากปรมาจารย์อาร์คาน่าทั้งหลายที่ในกายมีสายเลือดต้นกำเนิดหมุนเวียน หากยังเหลืออยู่สักคน เขาก็คงเปลี่ยนโลกไปแล้วกระมัง !”

“เปลี่ยนโลก……” ซูเฉินพึมพำกับตนเอง เผยสีหน้าประหลาดออกมา “ใช่ ข้าก็คิดเช่นนั้น”

จากนั้นหันมองผ้าเท่อลั่วเค่อ “ลองตั้งสมมุติฐานกันสักหน่อย หากยังมีเผ่าอาร์คาน่าสายเลือดต้นกำเนิดหลงเหลืออยู่จริง ท่านคิดว่าข้าจะสามารถควักลูกตาเขาออกมาแล้วปลูกถ่ายให้ตัวเองได้หรือไม่ ?”

“ย่อมไม่ได้” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ “อวัยวะเป็นสิ่งที่ซับซ้อนนัก ใช้วิธีหยาบช้าเรียบง่ายเช่นนั้นจะสำเร็จได้อย่างไร ? หากเจ้าตัดแขนคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าเนื้อจะประสานกันได้หรือไม่เล่า ?”

“ย่อมไม่ได้ เว้นเสียแต่อีกฝ่ายมีทักษะต้นกำเนิดที่สามารถเชื่อมอวัยวะได้”

“ถูกต้อง นัยน์ตานั้นซับซ้อนกว่ามาก เจ้าไปเอาความคิดเรื่องควักตาเผ่าอาร์คาน่าที่มีเลือดต้นกำเนิดในตัวเพื่อให้คนเองเห็นโลกระดับจุลภาคมาจากที่ใดกัน ? ช่างเป็นความคิดที่โง่เง่านัก เจ้าไม่ใช่คนโง่นี่” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยตอบ สีหน้างุนงงอยู่เล็กน้อย

“บางครั้งทำตัวโง่เง่าหน่อยก็ไม่เสียหาย” ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉย

เขาไม่เอ่ยอะไรอีก ทำเพียงก้มหน้าตรวจสอบก้อนโลหะอีกครั้งเท่านั้น

ทันใดนั้นก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้

ตอนนี้เขายังมีพลังจิตไม่มากพอก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าเขามีโอสถปลุกวิญญาณอยู่มากมายหรอกหรือ ?

โอสถปลุกวิญญาณใช้กระตุ้นและฟื้นฟูพลังจิตของผู้ใช้โดยเฉพาะ โดยทำหน้าที่คล้ายเกราะป้องกันจิต อีกทั้งในกระบวนการกระตุ้นนั้นก็จะสามารถเพิ่มพลังจิตให้ผู้ใช้ได้อีกด้วย

แต่เพราะเป็นยาที่มีราคาสูงเกินไป ขวดหนึ่งราคานับหมื่น ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทดลองใช้เองมาก่อน ด้วยการทดลองต่าง ๆ ของเขาต้องใช้ต้นทุนเป็นจำนวนมาก

แต่ในเมื่อตอนนี้เขาขาดพลังจิต ดังนั้นจึงนึกถึงมันขึ้นมา

โชคดีที่อารามนิรันดร์เพิ่งจะปรับข้อตกลง ลดจำนวนโอสถปลุกวิญญาณลงบ้าง ดังนั้นชายหนุ่มจึงมีโอกาสเล็ก ๆ ได้ทดลอง

ส่วน ‘โอกาสเล็ก ๆ’ ก็เป็นประโยชน์กับตัวเขาเองมาก สามารถใช้เพื่อทำให้จิตแข็งแกร่งขึ้นได้

คิดได้ดังนี้ ซูเฉินก็เริ่มปรุงโอสถปลุกวิญญาณเพิ่มทันที

หลังจากปรุงโอสถปลุกวิญญาณมาเกือบพันขวด ชายหนุ่มก็แทบจะหลับตาปรุงมันได้แล้ว

ไม่นาน โอสถปลุกวิญญาณก็ปรุงสำเร็จเสร็จสิ้น

ซูเฉินแหงนหน้ากระดกยาลงคอไป

โอสถปลุกวิญญาณสามารถฟื้นฟูพลังจิต ปกป้องจิตใจ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพลังจิตถาวรให้ผู้ใช้ได้ และยังมีผลดีอื่น ๆ อีกมาก ทว่าที่ซูเฉินใช้มันเพื่อหวังเพิ่มพลังจิตเพียงอย่างเดียวนับว่าสิ้นเปลืองนัก

เมื่อโอสถปลุกวิญญาณเริ่มออกฤทธิ์ พลังจิตของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นจริง ๆ

แต่แน่นอนว่าที่เพิ่มขึ้นมากเช่นนี้เป็นเพียงผลชั่วคราว เมื่อฤทธิ์ยาคลายลง พลังส่วนมากก็จะหายไป หลงเหลือไว้เพียงนิดเท่านั้น

แต่ซูเฉินไม่ใส่ใจ เขาเพียงต้องการผลชั่วคราวเช่นนี้นี่ล่ะ

ซูเฉินทดลองดู พบว่าแม้พลังจิตจะเพิ่มขึ้นแล้ว แต่ก็ยังอยู่ห่างไกลจากการที่สามารถมอบรูปร่างจับต้องได้ให้มันมากนัก ดังนั้นเขาจึงกินยาพลังจิตเพิ่มเข้าไปอีก 2 ขวด

เขาดื่มโอสถปลุกวิญญาณเข้าไปทั้งหมด 3 ขวดด้วยกัน นับว่าทุ่มหินพลังต้นกำเนิดนับแสนเพื่อความสุขเพียงชั่วครู่ หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างไร

ยามเขาดูดซับพลังจากตัวยา ชายหนุ่มก็ได้ดึงให้มันซึมซาบเข้าสู่จิตใจและเสริมความแกร่งให้พลังจิต ทำให้จิตใจกระจ่างมากขึ้น การมองเห็นเองก็ดูจะชัดเจนมากขึ้นด้วย

“เพิ่มพลังจิตให้ผลเช่นนี้ด้วยหรือนี่” ซูเฉินพึมพำออกมา

เขาสัมผัสได้ว่าความสามารถในการนึกคิดและการมองเห็นของเขาเพิ่มสูงขึ้นมาก

ไม่แปลกที่ปรมาจารย์อาร์คาน่าต่างก็เป็นผู้สรรสร้างที่ยิ่งใหญ่ สติปัญญาและความเข้าใจลึกซึ้งของพวกเขาในธรรมชาติรอบกายไม่ได้มาจากนัยน์ตาที่มอลเห็นในระดับจุลภาคเท่านั้น แต่เกิดจากพลังจิตที่กล้าแข็งด้วย

หลังจากดื่มโอสถปลุกวิญญาณไป 3 ขวด ซูเฉินก็พยายามยืดพลังจิตตนออกอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาสัมผัสได้ว่าจิตของเขาก่อร่างเป็นคล้ายเส้นเอ็นแล้วยืดขยายออกไปในอากาศ

ชายหนุ่มควบคุมเส้นสายพลังจิตนั่น ค่อย ๆ บังคับให้มันไหลเข้าไปด้านในก้อนโลหะ ราวกับสายตาเขาสามารถมองซอกซอนเข้าไปด้านในได้ เขาสามารถเห็นว่าด้านในก้อนโลหะเป็นพื้นที่หนึ่งที่กักเก็บเอาแสงสีดำนั่นไว้อยู่จนแน่นขนัด แต่อาจเพราะก้อนโลหะเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา จุดแสงดำเหล่านั้นจึงลอยหายไปกว่าครึ่ง

แม้เขาจะไม่รู้ว่าจุดแสงดำเหล่านั้นคืออะไร ซูเฉินก็ยังรู้โดยสัญชาตญาณว่าเขาต้องทำการเก็บมันไว้โดยเร็ว

เขาดึงจิตตนกลับมา ก่อนจะขึ้นไปยืนเหนือก้อนโลหะ พยายามตะล่อมพวกจุดแสงสีดำให้กลับไปยังกล่องโลหะเสีย

แต่จุดแสงเหล่านี้ร้ายนัก แม้เส้นสายพลังจิตของซูเฉินจะแตะต้องมันได้ แต่ก็ยังไม่อาจควบคุมมันได้ดั่งใจนึก ใช้เวลานานกว่าจะดึงจุดแสงดำแต่ละจุดกลับเข้าก้อนโลหะได้

เมื่อทำสำเร็จทั้งหมด ซูเฉินก็พลันรู้สึกว่าสายตาพร่ามัวไป

เขารู้ดีว่าเป็นเช่นนี้เพราะเขาฝืนใช้พลังจิตมากเกินไป

หลังจากดื่มโอสถปลุกวิญญาณเข้าไปอีกขวดหนึ่ง ซูเฉินก็เดินออกจากห้องไป

ด้วยจุดแสงดำที่ล่องลอยอยู่เหนือบ่อน้ำพวกนั้นก็ต้องถูกเก็บกลับไปเช่นกัน

ชายหนุ่มบังคับพวกมันทั้งหมดให้กลับเข้าไปในก้อนโลหะ ดื่มโอสถปลุกวิญญาณต่างน้ำ จากนั้นก็ปล่อยมันไว้แล้วเดินกลับห้อง

เขาปลุกผ้าเท่อลั่วเค่อขึ้นมาอีกครั้ง อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นแล้วก็แหกปากตะโกนเสียงดังทันควัน “เหตุใดพลังจิตจึงเพิ่มสูงขึ้นปุบปับเช่นนี้ ?”

“อ้อ ข้าดื่มโอสถปลุกวิญญาณไป 2-3 ขวด” ซูเฉินตอบ

“เจ้าพยายามควบคุมสสารจุลภาคหรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อคาดเดาการกระทำซูเฉินได้ในทันที จากนั้นก็หัวเราะ “ดูท่าเจ้าจะไม่ฟังคำข้า เป็นอย่างไร ? ล้มเหลวหรือไม่ ?”

ซูเฉินยักไหล่ “ข้าไม่เสียอะไรอยู่แล้ว อย่างน้อยพลังจิตของข้าก็เพิ่มมากขึ้น”

“นั่นก็ถูก มีพลังจิตเพิ่มมากขึ้นนั้นมีประโยชน์นัก อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องกลัวพลังตีกลับยามใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาอีกแล้ว”

ซูเฉินเข้าใจเรื่องนี้ดี การตีกลับของจิตนั้นจะซัดการโจมตีกลับมาที่จิตใจโดยตรง แต่หากคนผู้นั้นมีจิตแข็งแกร่งมากพอก็จะสามารถป้องกันไม่ทำให้จิตถูกพลังจนบาดเจ็บได้

วิชาสรรพสิ่งลวงตาเป็นวิชาควบคุมจิตที่ทรงพลังมาก แต่ซูเฉินจะใช้มันยามจำเป็นเท่านั้น เพราะหากใช้ไม่สำเร็จก็จะถูกวิชาตีกลับ แต่ในตอนนี้ที่พลังจิตของเขาเพิ่มสูงขึ้น อำนาจของการตีกลับย่อมลดน้อยลงไปด้วย

ด้วยโอสถปลุกวิญญาณนั้นมีราคาสูงมาก และชายหนุ่มไม่รู้ว่าต้องใช้พลังจิตระดับไหนจึงจะสามารถปกป้องจิตตนจากการที่วิชาตีกลับได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่เคยลองดื่มมันเพื่อทดสอบมาก่อน แต่ใช้เวลามุ่งค้นคว้าวิชาสรรพสิ่งลวงตาเพื่อทำให้มันไม่มีการตีกลับของวิชาเสียมากกว่า

ทว่าตอนนี้ความคิดซูเฉินเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ถูกต้องแล้ว” ซูเฉินเอ่ย “แต่สุดท้ายก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานฤทธิ์ยาก็จะจางลง ผ้าเท่อลั่วเค่อ มีวิธีหรือวิชาใดที่สามารถพัฒนาได้ทั้งพลังจิตที่ของข้าและความสามารถในการควบคุมมันได้บ้างหรือไม่ ?”

แม้ซูเฉินจะเคยฝึกพลังจิตมาก่อน แต่ก็นับว่าเป็นเพียงผลพลอยได้จากการฝึกวิชาสรรพสิ่งลวงตาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นหลายปีผ่านมาก็คงไม่เพิ่มขึ้นมาน้อยเท่านี้

แต่ในตอนนี้เขาต้องการวิชาที่สามารถเพิ่มพลังจิตได้อย่างแท้จริง

“อยากได้วิชาที่ทำให้เพิ่มพลังจิตงั้นหรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์แล้วจะต้องการมีพลังจิตสูงส่งไปเพื่ออะไรกัน ?”

“ข้าเป็นมนุษย์ที่ทำการค้นคว้าทดลอง ยิ่งมีพลังจิตสูงยิ่งทำงานหลายอย่างได้ดียิ่งขึ้น ทำให้การทดลองต่าง ๆ ของข้าได้ผลดียิ่งขึ้น” ซูเฉินตอบ