บทที่ 14 เคล็ดวิชาจิตแท้
ผ้าเท่อลั่วเค่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถาม “แล้วเจ้าอยากเรียนประเภทไหนเล่า ? ข้าขอเตือนเจ้าก่อนว่าการพัฒนาเป็นไปได้หลายทางมาก แต่เมื่อเลือกแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้อีก อาทิเช่น วิชาจิตบางวิชาก็ทำให้เจ้าเหมาะสมกับการโจมตีจิต หรือวิชาอื่น ๆ ก็ทำให้เหมาะกับการสลายวิญญาณ ทำให้เจ้าสามารถแยกวิญญาณตนเองออกเป็นหลายส่วนได้ โดยแต่ละส่วนก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเจ้าอยู่”
“ส่วนวิชาจิตอื่น ๆ ก็อาจทำให้เก่งกาจด้านการรวมพลังงานจิตและพลังต้นกำเนิดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างวิชาอาร์คาน่าอันทรงพลังขึ้นมา กระทั่งสร้างคาถาเวทมนตร์ออกมาได้ หรือบางวิชาจิตทำให้เจ้าสามารถสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติในใต้หล้าได้ ได้รับพลังลึกล้ำจากมัน บ้างวิชาจิตก็ทำให้สามารถเชื่อมสวรรค์พิถพเพื่อมองดูอนาคต คล้ายกับการพยากรณ์……”
“ท่านทำได้ทั้งหมดนั่นเลยหรือ ?” ซูเฉินถาม
“ย่อมไม่ได้สิ” ผ้าเท่อลั่วเค่อหัวเราะ “ข้าไม่ใช่ปรมาจารย์อาร์คาน่าที่เก่งกาจด้านการต่อสู้ แต่เป็นนักวิจัยต่างหาก ข้ารู้เพียงวิชาเสริมจิตเพียงชนิดเดียว เรียกว่าเคล็ดวิชาจิตแท้ มันทำให้ข้าสามารถวิเคราะห์และคำนวณสิ่งต่าง ๆ ได้ในระดับสูง ทำให้ข้าสามารถคิดเห็นได้กระจ่างแม้ยามทำการทดลองซับซ้อน เช่นนั้นแล้วข้าจะได้ไม่ทำอะไรหลงทิศหลงทาง”
ซูเฉินตาเป็นประกาย “ตรงกับสิ่งที่ข้าต้องการพอดีเลย”
ผ้าเท่อลั่วเค่อหัวเราะอีก “ข้าว่าแล้ว เพราะอย่างไรเราก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าการค้นคว้าความลับของธรรมชาติและใต้หล้า ยามเมื่อเราคุมกฎแห่งธรรมชาติได้ ก็สามารถควบคุมทุกอย่างได้ ! ในเมื่อเจ้าสนใจอยากเรียนนะเจ้าหนู ข้าก็จะสอนเจ้าให้ !”
พูดจบแล้วก็ใช้นิ้วชี้ไปทางซูเฉิน ก่อนชายหนุ่มจะปลดเกราะป้องกันจิตวิญญาณลง ปล่อยให้ความทรงจำทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามา
ลูกตาเขาขยับไปมาภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทไม่หยุด
ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ ๆ จึงลืมตาขึ้น “นี่น่ะหรือเคล็ดวิชาจิตแท้ ? ข้าเข้าใจแล้ว เป็นวิชาจิตที่โดดเด่นเสียจริง”
“เป็นวิชาจิตที่ปรมาจารย์อาร์คาน่ามากฝีมือส่วนมากชอบใช้กันนัก” ผ้าเท่อลั่วเค่อเน้นย้ำ
วันต่อ ๆ มา ซูเฉินยังคงอยู่ภายในคฤหาสน์ซู และหากไม่ทำการทดลองก็ทำการบ่มเพาะพลัง
วันนี้ ซูเฉินกำลังทำการบ่มเพาะพลังอยู่ในห้องฝึกวิชา
หากมองดูเผิน ๆ ก็ดูเหมือนเขาเพียงนั่งสมาธิอย่างเงียบเชียบเท่านั้น
แต่หากเพ่งมองให้ดี หรือใช้ทักษะต้นกำเนิดที่สามารถเสริมการมองเห็นได้แล้ว จะเห็นว่ามีเส้นสายบาง ๆ ผุดออกมาจากร่างซูเฉิน พวกมันเลื้อยไหลเริงระบำอยู่ในอากาศราวกับหนวดนับพัน
เส้นบาง ๆ เหล่านี้ผสานรวมกันเป็นเกราะกำบังอันเป็นเอกลักษณ์รอบกาย ส่งผลให้แม้ฝุ่นสักละอองก็ไม่อาจลอยมาเข้าใกล้
ร่างของซูเฉินจึงกลายเป็นสถานที่ที่แม้แต่ฝุ่นละอองเล็กจิ๋วก็ไม่อาจตกกระทบ
อาจเพราะคิดว่าฝึกฝนเท่านี้ยังไม่มากพอ ซูเฉินจึงคว้าแป้งกำหนึ่งจากถุงที่อยู่ไม่ไกลก่อนซัดมันไปในอากาศ
แป้งเหล่านั้นโรยตัวลงมากระทบกับเส้นพลังจิต สุดท้ายแป้งส่วนมากก็ถูกเกราะป้องกันไว้ได้
แต่ก็ยังมีแป้งส่วนน้อยที่หลุดรอดเข้ามา โปรยลงบนไหล่และร่างกายซูเฉิน
คราบแป้งสีขาวปรากฏขึ้นบนร่างซูเฉิน
เมื่อเหล่าแป้งโปรยลงมาจนหมด เส้นพลังจิตก็หายไป ชายหนุ่มถอนหายใจยาวออกมา คว้าโอสถปลุกวิญญาณขวดหนึ่งมาดื่มรวดเดียวหมด พลังงานจิตที่ถูกใช้ไปฟื้นกลับคืนมาในทันที
แม้จะฝึกเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ หากแต่ซูเฉินก็ใช้พลังงานจิตไปไม่น้อย
ทว่าด้วยวิชาที่ผ้าเท่อลั่วเค่อสอนเขานั้นไม่ธรรมดา ภายในเวลาไม่กี่วัน ความสามารถในการคุมจิตของซูเฉินก็เพิ่มสูงขึ้นมาก
นั่นย่อมเป็นเพราะซูเฉินได้โอสถปลุกวิญญาณมาเสริมด้วยอีกแรง
โอสถปลุกวิญญาณเหล่านี้ ควบรวมกับเคล็ดวิชาจิตแท้ที่ผ้าเท่อลั่วเค่อสอนให้ ส่งผลให้ซูเฉินควบคุมพลังจิตได้ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ผ้าเท่อลั่วเค่อยังสอนวิธีที่ใช้ประเมินพลังจิตให้เขา เมื่อเขาลองใช้ประเมินพลังตนในตอนนี้ ก็พบว่าจากเดิมที่มีอยู่ 50 หน่วย ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 100 หน่วยแล้ว
“ในที่สุดก็ถึง 100 หน่วยเสียที” ซูเฉินถอนใจ
เป็นการพัฒนาที่เห็นได้เด่นชัดไม่น้อย
ในการฝึกฝนทั้งหมดนี้ 30 หน่วยมาจากการดื่มโอสถปลุกวิญญาณ ช่วยเพิ่มพลังจิตถาวรให้ ส่วนอีก 20 หน่วยเป็นผลจากการใช้ยาต่าง ๆ เพื่อฟื้นพลังและการฝึกฝนเคล็ดวิชาจิตแท้
แต่การเพิ่มพลังจิตอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็ใช้เงินมหาศาลเช่นกัน
นอกจากยา 4 ขวดที่ซูเฉินดื่มไปเมื่อวันแรกแล้ว ซูเฉินดื่มโอสถปลุกวิญญาณเข้าไปอีก 1 ขวด หรือก็คือตอนนี้เขาใช้หินพลังต้นกำเนิดไปทั้งหมด 5 แสนก้อนภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
“แม้จะเห็นผลชัดเจน แต่ก็ไม่ยั่งยืน ทำได้ไม่บ่อยนัก” ซูเฉินถอนหายใจเศร้า
เคราะห์ดีที่เขาเพียงต้องการเพิ่มพลังจิตให้ถึง 100 หน่วยเท่านั้น เพื่อจะได้สามารถสัมผัสถึงโลกระดับจุลภาค
ส่วนก้าวต่อไป เขาก็จะค่อยเป็นค่อยไป ช้า ๆ แต่มั่นใจทุกย่างก้าวจะดีกว่า
กระทั่งซูเฉินยังไม่อาจถลุงเงินไปมากมายเช่นนี้ได้ตลอด
เป็นตอนนั้นเองที่เสียงหลี่ชู่ดังออกมาจากด้านนอก “นายน้อย”
“มีอะไร ?”
“กรมพลังต้นกำเนิดส่งคำมาว่าเจ้ากรมหลิ่วกลับมาแล้ว เชิญท่านให้ไปพบขอรับ”
“เข้าใจแล้ว ข้าเตรียมตัวเสร็จแล้วจะออกไป”
——————————
ครึ่งชั่วยามต่อมา ซูเฉินก็มาถึงกรมพลังต้นกำเนิด
เบื้องหน้าเขาคือบุรุษหนวดยาวคนหนึ่ง เขาคือหลิ่วอู๋หยา เจ้ากรมพลังต้นกำเนิด
เจ้ากรมหลิ่วไม่ได้กลับมาแล้วเรียกพบซูเฉินทันทีโดยไร้เหตุ
หลังจากแนะนำตัวกันแล้ว หลิ่วอู๋หยาจึงกล่าวว่า “ใช่แล้ว ผู้จัดการความรู้ซู เจ้าเป็นคนนำตัวซุนเม่ากับอวี๋เฉิงสุ่ยมาเมื่อหลายวันก่อนใช่หรือไม่ ?”
ก็ใช่น่ะสิ
ซูเฉินคิดไว้แล้วว่าต้องเกี่ยวพันถึงเรื่องนี้ เขาตอบว่า “ถูกต้อง สองคนนี้ประมือกันกลางตลาด ทำร้ายผู้บริสุทธิ์รอบข้างไปมาก หญิงชราคนหนึ่งถูกพวกเขาสังหารด้วยซ้ำ ข้าเป็นผู้จัดการความรู้กรมพลังต้นกำเนิดจึงไม่อาจนิ่งเฉย”
หลิ่วอู๋หยาหัวเราะแห้งก่อนส่ายหน้า “เจ้านี่เลือดร้อนจริง ๆ เพิ่งจะเข้ากรมพลังต้นกำเนิดมาได้ไม่เท่าไรก็นำปัญหาไม่เล็กไม่ใหญ่มาให้ข้าแล้ว”
แม้จะบอกว่าเป็นปัญหา แต่สีหน้าเขาบ่งบอกว่ามันไม่ระคายใจเขาแม้แต่น้อย
ซูเฉินเข้าใจทันที “ตระกูลเหลียนกับตระกูลหลงมาหาท่านหรือ ?”
“ถูกต้อง พวกเขามาหาข้า อยากให้ข้าตัดสินวันปล่อยตัวคน” หลิ่วอู๋หยาจิบชาอึกหนึ่งสีหน้าสงบ “เจ้าบอกข้าว่านี่เป็นปัญหาหรือไม่ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “ตระกูลสายเลือดชั้นสูงมีอำนาจมาต่อรองกับทางการตั้งแต่เมื่อไรกัน ?”
“พวกเขามีอิทธิพลมาก” หลิ่วอู๋หยาเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่ว่าจะมีอิทธิพลมากเท่าไร ก็คงไม่บุกโจมตีกรมของทางการหรอกกระมัง ?
“พวกเขาอาจไม่กล้าทำกับกรม แต่กับคนล่ะไม่แน่ หากเจ้าล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินเข้า ยามเดินตามถนนหนทางก็ระวังให้ดี โดยเฉพาะตอนค่ำมืด”
“กลางคืนมืดนัก ตอบได้ยากว่าใครจะเดินชนกำแพง”
หลิ่วอู๋หยาได้ยินแล้วก็หัวเราะ “คนหนุ่มช่างมีความกล้าและกระตือรือร้นจริง ! ศิษย์จากสถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่ธรรมดาเลย !”
“ตราบเท่าที่ท่านเจ้ากรมไม่ตำหนิที่ข้าหุนหัน ข้า ซูเฉิน ก็รู้สึกโชคดีมากแล้ว”
“แน่นอนว่าข้าไม่โทษเจ้า เป็นอย่างเจ้าว่า กรมพลังต้นกำเนิดรับผิดชอบการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด แต่เจ้ารู้ดีว่าสถานการณ์ที่นี่เป็นอย่างไร เรามีคนฝีมือดีน้อย จัดการคนอ่อนแอได้ แต่หากเจอศัตรูแกร่งเข้าก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ สิบตระกูลชั้นสูงมีคนฝีมือดีอยู่มาก อีกทั้งไม่ใช่คนที่กรมพลังต้นกำเนิดเล็ก ๆ ของข้าจะสามารถเป็นปฏิปักษ์ด้วยได้ ดังนั้นข้าจึงเข้าใจในสิ่งที่เจ้าทำ แต่ข้าก็หวังให้เจ้าเข้าใจในสิ่งที่ข้าทำด้วยเช่นกัน”
“เข้าใจในสิ่งที่ท่านเจ้ากรมทำ ?” ซูเฉินถามขึ้น
หลิ่วอู๋หยาถอนหายใจก่อนวางถ้วยชาลง “ในเมื่อเราพบหน้ากันแล้ว ผู้จัดการความรู้ซู เจ้าไปเถอะ เดินทางกลับก็…… ระมัดระวังตนด้วย”