ตอนที่ 32 การกลับมาอย่างมีเกียรติ

ปฏิญญาค่าแค้น

เพราะว่าเยี่ยเคอเอ๋อร์และหลินหลันกำลังจะต้องแยกจากกันในเร็วๆ นี้ จึงรู้สึกเศร้าหมอง ไร้ซึ่งกะจิตกะใจที่จะคอยหาเรื่องหลินหลัน ทำเพียงแต่มองบนใส่เมื่อพบเจอหลินหลันก็เท่านั้น หลินหลันเองก็ขี้เกียจจะเก็บเอามาเป็นอารมณ์ ด้วยในใจรู้ดีว่า ที่แห่งนี้มิใช่สนามรบของนาง อย่างเยี่ยเคอเอ๋อร์คนชนิดนี้ไม่คณามือด้วยซ้ำนางจึงทำเป็นมองข้ามไป 

 

 

เหล่าฟู่เหรินเยี่ยได้ลองใช้วิธีการรมควันไปแล้วสองสามครั้ง ผนวกกับการนวดที่แม่โจวเรียนรู้มาจากหลินหลัน อาการปวดข้อก็บรรเทาลงไปมากได้จริงๆ มุมมองที่เหล่าฟู่เหรินเยี่ยมีต่อหลินหลันจึงเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าแม่นางผู้นี้จะมิได้มีดีแค่ฝีปาก แต่ยังมีความสามารถแท้จริงอยู่บ้าง 

 

 

ดังนั้นเหมือนว่า ชีวิตของหลินหลันในจวนเยี่ยจึงผ่านไปอย่างค่อนข้างราบรื่น กังวลก็แต่ว่าจะก่อนออกเดินทาง เสื้อผ้าสวยงามทั้งสิบหกชุดนั่นจะสามารถตัดเย็บได้เสร็จก่อนหรือไม่ 

 

 

ไม่นานนัก วันออกเดินทางได้กำหนดเป็นที่เรียบร้อย เดือนสี่วันที่สิบเอ็ด เป็นวันมงคลซึ่งเหมาะสำหรับการออกเดินทาง ก็คือวันมะรืนนี้นี่เอง 

 

 

เมื่อกำหนดวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลินหลันกลับรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา พอจะต้องไปจากที่แห่งนี้เป็นเวลาสามปี ต้องห่างจากคนที่คุ้นเคยสนิทชิดเชื้อ มุ่งไปยังเส้นทางเบื้องหน้าที่แสนคลุมเครือ หรือแม้กระทั่งเผชิญกับอันตรายอีกหลายสิ่งอย่างซึ่งมิอาจรู้ได้ในอนาคตข้างหน้า ในใจจึงเป็นกังวล ตลอดทั้งคืนไม่อาจนอนหลับสนิทได้ 

 

 

รุ่งเช้า ท้องฟ้าโปร่งใส หยินหลิ่วปลุกหลินหลันให้ตื่นขึ้น 

 

 

“เส้าเหยียให้แม่นางรีบตื่นนอนเจ้า” 

 

 

ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นหลี่หมิงอวินให้นางตื่นนอน หลินหลันจึงกอดผ้าห่มอย่างไม่เต็มจะลุกขึ้น ด้วยความที่ง่วงจริงๆ เอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน “ตื่นไปทำอะไรหรือ วันนี้ก็ไม่ได้เรียนมารยาทแล้ว” 

 

 

“เห็นเอ่ยว่าจะกลับหมู่บ้านเจี้ยนซีเป็นเพื่อนแม่นางเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันตาสว่างด้วยความตกตะลึง จริงสิ! พรุ่งนี้ก็ต้องออกเดินทางแล้ว ยังไงก็ต้องกลับไปเยี่ยมเกอแล้วก็เหล่ามิตรสหายที่หมู่บ้านเจี้ยนซี 

 

 

ลุกลี้ลุกลนสวมใส่เสื้อผ้าและล้างหน้าบ้วนปากจนสะอาดสะอ้าน อวี้หลงถือมื้อเช้าเข้ามา หลินหลันหยิบเพียงเค้กข้าวสองชิ้นเท่านั้น กัดเข้าไปเพียงไม่กี่คำแล้วเอ่ยถามหยินหลิ่ว “เส้าเหยียล่ะ?” 

 

 

หยินหลิ่วเห็นท่าทางรีบร้อนของนาง จึงตอบกลับปนรอยยิ้ม “แม่นางไม่ต้องรีบร้อนเจ้าค่ะ เส้าเหยียบอกไว้ว่านั่งรถม้าไป ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

เค้กข้าวซึ่งเต็มไปอยู่นี่ปากของหลินหลัน จึงทำให้พูดออกมาอย่างคลุมเครือ “ไปแต่เช้าเย็นดี” ขณะพูดก็เตรียมตัวออกไป 

 

 

“แม่นาง…” อวี้หลงเรียกนางเอาไว้ 

 

 

“อะไรหรือ” 

 

 

อวี้หลงหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสะอาดขึ้นมา ก่อนจะชี้นิ้วไปยังมุมปาก “แม่นางตรงนี้มีอะไรเปื้อนติดอยู่เจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันเขินเล็กน้อย รับเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปาก แล้วถามอวี้หลงทั้งใบหน้าแดงกล่ำ “แบบนี้เรียบร้อยหรือยัง” 

 

 

อวี้หลงมองนางอย่างสำรวจโดยละเอียดอีกรอบ แล้วจึงเผยรอยยิ้มออกมา “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

ชาวบ้านของหมู่บ้านเจี้ยนซีดูเหมือนว่าจะได้รับข่าวคราวมาก่อนหน้าแล้ว จึงล้วนรอต้อนรับอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน 

 

 

หลินหลันมองเห็นหมู่คนท่วมท้น มองดูนัยน์ตาอันแสนลึกซึ้งและจริงใจของเหล่าชาวบ้านมิตรสหาย ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความดีอกดีใจ หลินหลันจึงรู้สึกกดดันเป็นอีกเท่าตัว การกลับมาของนางในครั้งนี้ถือว่าเป็นเกียรติของชาวบ้าน การเป็นเกียรติถือว่าเป็นเรื่องดี ทว่า ดูเหมือนผู้ที่กลับมาอย่างมีเกียรติควรทำประโยชน์ให้แก่หมู่บ้าน มิเช่นนั้นจะมีค่าต่อการต้อนรับของทุกคนได้อย่างไรกัน น่าเสียดาย การกลับมาของนางครั้งนี้ไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย หลินหลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย หากรู้แต่แรก จะซื้อลูกกวาดมาซักถุงก็ยังดี ไม่มีกำลังซื้อของชิ้นใหญ่ๆ สามารถซื้อของชิ้นเล็กๆ ได้ก็ยังดี! น่าเสียดายที่มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว 

 

 

หลินหลันอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษหลี่หมิงอวิน พูดด้วยน้ำเสียงบางเบา “เป็นเพราะเจ้า บอกกันกระชั้นชิดขนาดนี้ หากรู้แต่แรกก็จะซื้อของขวัญมาสักนิดสักหน่อย ตอนนี้ เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าแบบไหนไปพบพวกเขา” 

 

 

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มจางๆ แล้วหันไปพูดกับข้ารับใช้ที่ติดตามมา “เหวินซาน นำสิ่งของที่อยู่ในรถม้าหยิบออกมา” 

 

 

หลินหลันตกตะลึง ในรถม้ามีสิ่งของอะไรด้วยเช่นนั้นหรือ นางซึ่งนั่งมาตลอดทางโดยไม่รู้เลยว่าด้านในมีสิ่งของอะไรแอบซ่อนอยู่ 

 

 

ข้ารับใช้ที่มีนามว่าเหวินซานเอ่ยขานรับแล้วขึ้นไปบนรถม้า ทันใดนั้นก็ออกมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ 

 

 

“ในนั้นมีอะไรอยู่หรือ” หลินหลันถามด้วยความประหลาดใจ 

 

 

หลี่หมิงอวินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบาเพียงสองคำ “สี่ถัง [1] ” 

 

 

หลินหลันดีอกดีใจยิ่งนัก ทว่าปากกลับพูดออกไปอย่างจิกกัด “ขี้เหนียวจริงๆ” 

 

 

หลี่หมิงอวินก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของนาง แสดงท่าคาราวะไปยังหัวหน้าหมู่บ้านและหลินเฟิง และกล่าวทักทายอย่างมีมารยาท “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน พี่ใหญ่” 

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านที่ดูสงบนิ่งมาโดยตลอด พยักหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย หลินเฟิงเห็นน้องสาวของตนสวมชุดผ้าแพรและยืนอยู่กับหนุ่มรูปงามอย่างหลี่ซิ่วฉาย ในใจปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าผลิบานดั่งดอกไม้หนึ่งดอก 

 

 

“เหม่ยฟู [2] เหม่ยจื่อ ข้าเอาแต่รอคอยที่จะได้พบพวกเจ้า” 

 

 

หลินหลันสั่งการหยินหลิ่ว “หมู่บ้านเจี้ยนซีนี้มีทั้งหมดสามสิบสองครัวเรือน เจ้านับทีสิว่าจะแบ่งอย่างไร” 

 

 

ซานเหวินที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น “เส้าฟูเหริน [3] เส้าเหยียได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ ในนี้มีสี่ถังทั้งหมดสามสิบสองชุด ทุกถุงยังบรรจุหมวกคลุมศีรษะสีเงินสองใบ ครอบครัวท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ครอบครัวท่านป้าจินและครอบครัวของเส้าฟูเหริน เส้าเหยียยังได้เตรียมของขวัญแยกต่างหากเอาไว้แล้ว รอแจกจ่ายของขวัญเล็กน้อยเหล่านี้เรียบร้อย แล้วค่อยนำของขวัญพิเศษส่งมอบไปยังที่บ้านเส้าฟู่เหริน โดยให้เส้าฟูเหรินนำไปส่งให้พวกเขาด้วยตนเองขอรับ” 

 

 

ครั้งนี้เกินความคาดหมายของหลินหลันไปจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่หมิงอวินได้เตรียมพร้อมไปแต่ต้นแล้ว อีกทั้งยังคิดอย่างรอบคอบเช่นนี้ แต่ที่น่าเกลียดก็คือ พ่อหนุ่มนี่ไม่ยอมปริปากบอกนางเลยสักนิด รู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลยที่ถูกปิดบังเอาไว้ 

 

 

บ่นอยู่ในใจไปชั่วขณะ หลินหลันก็มองไปยังข้ารับใช้ติดตามผู้ที่มีนามว่าเหวินซาน เห็นว่าชายหนุ่มคนนี้ตัวสูงและตัวเบ้อเริ่ม แขนขากำยำ มีดวงตาที่สดใส เห็นได้ชัดว่าฉลาดและมีไหวพริบ พูดจาก็เป็นระบบระเบียบมาก 

 

 

“ก็ได้! เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าด้วย” หลินหลันพยักหน้าเป็นการอนุมัติ 

 

 

เหวินซานพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรกระทำขอรับ” 

 

 

“หลินหลัน ไปได้แล้ว” หลี่หมิงอวินเรียกนางอย่างนุ่มนวล 

 

 

“เหม่ยจื่อ กลับบ้านกัน! พี่สะใภ้เจ้าตื่นแต่เช้ามาต้มไข่แดง [4] และยังทำเค้กชา [5] เอาไว้ด้วย” หลินเฟิงเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มเบิกบาน 

 

 

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน เกอ” หลินหลันก้าวมาข้างหน้าทักทายอย่างดีใจ ต้องการจับมืผู้เป็นพี่ชายเอาไว้ ทว่าหลี่หมิงอวินกลับก้าวแทรกเข้ามาและหยุดอยู่ตรงกลาง จับมือหลินหลันเอาไว้ เผยรอยยิ้มสดใส และน้ำเสียงที่อ่อนโยนเสมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “ไปเถอะ!” 

 

 

หลินหลันแอบจ้องมองไปยังหลี่หมิงอวิน ผู้ชายคนนี้กำลังทำการแสดงอีกแล้ว พอมีผู้ชมเขาก็ใส่บทบาทเสียเต็มที่ 

 

 

หลินเฟิงเห็นสองมือที่จับกันไว้แน่น แอบมองดูพฤติกรรมด้วยรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้เขามีความกังวลมากมายเกี่ยวกับน้องสาวของเขาที่แต่งงานกับหลี่ซิ่วฉาย ตอนนี้ดูเหมือนว่าหลี่ซิ่วฉายเป็นคนหนึ่งที่เชื่อถือได้ อีกทั้งยังใส่ใจน้องสาวเป็นอย่างดี เขาเองจึงรู้สึกไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว 

 

 

กลุ่มคนพากันไปยังบ้านของหลินหลันทางทิศตะวันออกสุดของหมู่บ้าน หลี่หมิงอวินพูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านและพี่ชายคนโต ขณะที่หลินหลันถูกรายล้อมไปด้วยสาวน้อยสาวใหญ่ของหมู่บ้าน 

 

 

“อัยโยว! หลินหลัน ชุดผ้าไหมที่เจ้าสวมใส่อยู่นี้สวยชะมัด แถมยังให้สัมผัสที่ลื่นๆ ดีด้วย” เอ้อร์นิวกำลังรู้สึกอิจฉา ยื่นมือออกไปลูบเสื้อผ้าของหลินหลันโดยผ่านอากาศ ด้วยเพราะเกรงว่ามือของตนเองจะเปื้อนแล้วทำให้เสื้อผ้าชุดใหม่ของหลินหลันเลอะเถอะเอาได้ 

 

 

“หลินหลันอ่า เจ้าช่างโชคดีจริงๆ ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีเสียขนาดนี้” 

 

 

“จริงด้วย จริงด้วย ข้ามองออกตั้งนานแล้วว่าหลี่ซิ่วฉายต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป เพียงแต่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะดีงามเสียยิ่งกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้เสียอีก” 

 

 

“ท่านป้าเฉิน ท่านดูออกตั้งนานแล้วยังจะมีประโยชน์อะไรหรือ น่าเสียดายที่ไม่ได้เกิดมารูปงดงามเหมือนหลินหลัน” มีคนเอ่ยขึ้นอย่างติดตลก 

 

 

ป้าจินก็ร่วมเล่นด้วย ทำเป็นถอนหายใจอย่างความเสียใจและเสียดาย “ข้าเดิมทียังอยากให้หลินหลันมาเป็นสะใภ้บ้านข้า ไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกคนสกุลต่างถิ่นมาลักพาตัวไปเสียแล้ว” 

 

 

“ท่านป้าจิน ดูท่านช่วงนี้ผอมลง เจ็บปวดหัวใจใช่หรือไม่น่ะ” ทุกคนเริ่มพากันหยอกเหย้าป้าจิน 

 

 

ป้าจินก็ไม่ได้โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ยังให้ความร่วมมือตอบกลับไป “ใช่น่ะสิ ข้าเจ็บปวดหัวใจจนนอนไม่หลับไปหลายคืน” 

 

 

ชาวบ้านต่างพากันหัวเราะเฮฮา 

 

 

หลินหลันฟังฟังทุกคนพูดคุยและพากันหัวเราะ รู้สึกได้ถึงความจริงใจ ชื่นชอบความเรียบง่ายเหล่านี้ของชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

เหยาจินฮวาถือไข่ไก่แดงมาให้ทุกคนได้กินกัน เมื่อได้ยินสิ่งที่ทุกคนพูดคุยกันอย่างครึกครื้น จึงยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “นี่ถึงเรียกได้ว่าการแต่งงานที่โชคชะตากำหนดไว้ หลินหลันของบ้านข้าทันทีที่มองก็รู้ว่าเป็นคนมีวาสนา” 

 

 

ป้าจินรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับเหยาจินฮวานัก จึงเอ่ยจิกกัดขึ้น “การแต่งงานที่โชคชะตากำหนดไว้นี้ก็เกือบจะถูกใครบางคนทำให้เสียเรื่องไปแล้ว” 

 

 

เหยาจินฮวายิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ย “เรื่องมันผ่านไปแล้วอย่าไปเอ่ยถึงเลย มาเถอะ มากินไข่มงคล เพิ่มสศิริมงคล” 

 

 

หลินหลันเหลือบมองไปยังเหยาจินฮวาเบาๆ 

 

 

เหยาจินฮวาที่กำลังมองหลินหลัน ยิ้มออกมาด้วยความละอายใจเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นอย่างเป็นมิตร “น้องสะใภ้ เข้าก็กินไข่มงคลซักฟองไหม” ความสามารถของเหยาจินฮวาก็คือมองคนอย่างที่ต่ำที่สูง เมื่อเห็นว่าตอนนี้หลินหลันเป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง แล้วใยเล่านางจะกล้าแสดงฤทธิ์เดชต่อหลินหลัน จึงถือหางอย่างเชื่อฟัง ซึ่งนางก็ยังคาดหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากหลินหลันมากขึ้นเรื่อยๆ! 

 

 

“ซ่าวจื่อ กล่องลังยาของข้ายังอยู่ไหม” หลินหลันเอ่ยถาม 

 

 

“อยู่จ้ะอยู่ สิ่งของของเจ้าข้าไม่ได้ไปแตะต้องเลยสักนิด” เหยาจินฮวารีบร้อนตอบ 

 

 

“เช่นนั้นก็ดี ซ่าวจื่อไปช่วยข้าเก็บของสักประเดี๋ยว ท่านป้าๆ และเหล่าพี่สาวน้องสาวทุกคน ข้าขอตัวก่อนสักครู่” หลินหลันบอกกล่าวต่อทุกคนด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเดินไปในบ้าน 

 

 

เหยาจินฮวาตามมาในทันที พูดขึ้นอย่างเอาอกเอาใจ “น้องสะใภ้ เจ้าต้องการจะเก็บสัมภาระอะไร ให้ข้าทำให้ อย่าทำชุดสวยๆ ที่เจ้าสวมใส่อยู่นี้เปื้อนเอาได้” 

 

 

หลินหลันก็พูดกับนางโดยไม่เกรงใจ บอกสิ่งของที่ต้องการไปสองสามอย่าง ให้เหยาจินฮวาไปค้นหา มองดูเหยาจินฮวาซึ่งกำลังแสดงท่าทีมีความสุข หลินหลันจึงกล่าวขึ้นด้วยคำพูดที่ไม่รุนแรงแต่ก็ไม่อ่อนเบาจนเกินไป “ซ่าวจื่อ พี่ก็รู้ดีว่าครั้งนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปแล้ว ข้าสามารถไม่สนใจเรื่องราวในอดีตได้ ตราบใดที่หลังจากนี้พี่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของตนเอง ขยันทำงานบ้าน และรู้จักรักและถนอมสามีของตนเอง ข้าหลินหลันก็จะถือว่าพี่เป็นพี่สะใภ้คนหนึ่ง หากไม่เช่นนั้น พี่ก็รู้นิสัยของข้าเป็นอย่างดี อย่าคิดว่าการที่ข้าไปเมืองหลวงแล้ว ก็จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องราวในบ้านเลย เมื่อใดก็ตามที่ข้าได้ยินข่าวคราวไม่ดีแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะรีบหาพี่สะใภ้ในเมืองหลวงอีกสักคนให้พี่ชายของข้าทันที” คำพูดได้รับการกล่าวออกมาอย่างชัดเจนเพียงพอแล้ว หากเหยาจินฮวายังคงเพิกเฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน นางก็มิอาจสนคุณธรรมคำสอนไร้สาระที่ว่า ยอมทำลายวัดวาอารามสิบแห่ง ยังดีเสียกว่าที่จะชักชวนให้ผู้อื่นหย่าร้างหรือทำลายชีวิตแต่งงานของผู้อื่นอะไรนั่นอีกแล้ว และจะสนับสนุนให้พี่ชายกำจัดเหยาจินฮวาอย่างเด็ดขาด 

 

 

เหยาจินฮวายิ้มเจื่อนๆ แล้วเอ่ย “น้องสะใภ้อ่า! ดูเจ้าพูดเข้าสิ สามีก็คือสวรรค์ของผู้หญิง ข้าจะสามารถไม่เคารพและทำไม่ดีต่อสวรรค์ไปได้ที่ไหนกันเล่า เจ้าวางใจแล้วไปทำหน้าที่ภรรยาของเจ้า เรื่องในบ้านให้พี่เป็นคนจัดการเอง พี่รับปากว่าจะดูแลปรนนิบัติพี่ชายของเจ้าให้สุขสบาย จัดการเรื่องอาหารการกินในบ้านนี้ให้เหมาะสม” 

 

 

หลินหลัยมองด้วยความสงสัยไปยังเหยาจินฮวาที่ได้ให้คำมั่นสัญญา แอบพูดอยู่ในใจว่า ผู้หญิงคนนี้การที่จะสามารถปรับตัวได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย! แต่ทว่าก็หวังอย่างยิ่งว่านางจะทำได้อย่างที่ปากว่าไว้ 

 

 

“น้องสะใภ้ เจ้าอย่าได้ไม่เชื่อถือกันเชียว! ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองไปถามพี่ชายของเจ้าดู ว่าช่วงนี้ข้าปฏิบัติต่อเขาดีเพียงใด” เหยาจินฮวาดูเหมือนจะกระตือรือร้นที่จะพิสูจน์ว่านางได้กลับเนื้อกลับตัวแล้ว สิ่งที่เหยาจินฮวาพูดคือความจริง เพราะในช่วงเวลานี้หลินเฟิงมีความคับข้องใจต่อนาง มักจะไม่สนใจใยดีนาง หากเป็นแบบเมื่อก่อน นางคงได้โวยวายบ้านแตกไปแล้ว แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป หลินเฟิงมีน้องสาวที่เป็นถึงภรรยาของผู้ลากมากดี จึงไม่โอนอ่อนอีกแล้ว ทั้งยังพูดจาเสียงดังฉะฉาน เหยาจินฮวาเชื่ออย่างยิ่งว่า เพียงแค่นางพ้นจากบ้านหลังนี้ไป ก็จะมีผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องการแต่งงานกับหลินเฟิง แล้วนางยังจะไม่สิโรราบ และคอยเอาอกเอาใจได้อยู่อีกหรือ จะไม่ยอมถูกผู้หญิงอื่นมาดูถูกไปได้เป็นอันขาด 

 

 

“ไม่ใช่ว่าจะทำดีแค่ช่วงระยะนี้ แต่หลังจากนี้ล้วนต้องทำดีต่อพี่ชายข้าด้วย” หลินหลันแก้ไขคำพูดนางอย่างจริงจัง 

 

 

“เป็นเช่นนั้นแน่นอนจ้ะ” เหยาจินฮวารีบร้อนรับปากในทันที 

 

 

ทางด้านหลี่หมิงอวินที่พูดคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน “สัญญาของพวกท่านกับตระกูลจางยังเหลือระยะเวลาอีกหนึ่งปี ข้าได้ปรึกษาหารีอกับท่านยายแล้ว เมื่อถึงเวลา ตระกูลเยี่ยจะส่งคนมาเซ็นสัญญากับพวกท่าน ในส่วนของราคาแน่นอนว่าจะต้องดีกว่าตระกูลจางเป็นแน่ สำหรับเรื่องที่ว่าตระกูลจางนั้นจะมีความคิดเห็นอะไรค้างคาใจ ตระกูลเยี่ยของเราจะออกรับหน้าเอง” 

 

 

หัวหน้าหมู่บ้านจินฟู้กุ้ยเมื่อได้ยินดังกล่าว ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง “เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย ข้าขอเป็นตัวแทนชาวหมู่บ้านขอขอบใจท่านหลี่กงจื่อไว้ ณ ที่นี้ด้วย” 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ้มอย่างใจเย็น “ข้าในระยะเวลาสามปีมานี้ ติดค้างความช่วยเหลือจากทุกท่านไว้มาก หลินหลันเองก็มักจะกล่าวถึงความช่วยเหลือของทุกท่านที่มีต่อนาง ซึ่งพวกเราควรทำบางอย่างเพื่อตอบแทนทุกท่าน” 

 

 

เหล่าชาวบ้านซึ่งอยู่ในที่แห่งนี้มองดูนัยน์ตาของหลี่หมิงอวินอย่างอดไม่ได้ที่จะทั้งรักใคร่ทั้งปลื้มปิติ แอบดีใจลึกๆ ที่ในตอนแรกตนเองเลือกยืนยัดจัดการปัญหาอย่างแน่วแน่ และให้ความช่วยเหลือได้ถูกคน 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] สี่ถัง (喜糖) หมายถึง ของหวานประเภทลูกอม ลูกกวาด ซึ่งคู่บ่าวสาวชาวจีนนิยมแจกให้กับญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งที่มาและไม่ได้มาร่วมในงานพิธีมงคลสมรส 

 

 

[2] เหม่ยฟู (妹夫) แปลว่า น้องเขย 

 

 

[3] เส้าฟูเหริน (少夫人) สรรพนามใช้เรียกหญิงสาวซึ่งยังมีอายุไม่สูงวัยและมียศฐาบรรดาศักดิ์ 

 

 

[4] ไข่แดง ในที่นี้หมายถึงไข่ไก่ซึ่งผ่านการย้อมเปลือกจนเป็นสีแดง เป็นสัญลักษณ์ถึงความโชคดีและเป็นอาหารที่กำหนดขึ้นสำหรับการเฉลิมฉลองงานแต่งงาน 

 

 

[5] เค้กชา เป็นเค้กพิเศษแบบดั้งเดิมในพื้นที่ถางชีแห่งมณฑลเจ้อเจียง โดยปกติจะรับประทานคู่น้ำชายามเช้าและชื่อของมันก็มาจากสิ่งนี้ มีสามลักษณะเป็นเอกลักษณ์คือ เนื้อนุ่ม หอม สดชื่น