ตอนที่ 33 ไข่ไก่หนึ่งตะกร้า

ปฏิญญาค่าแค้น

เพราะยังต้องรีบกลับไปเก็บสัมภาระ จึงไม่อาจอยู่ต่อได้นานนัก เหล่าของขวัญที่ต้องส่งมอบก็ได้ทำการส่งมอบไปเรียบร้อยแล้ว คำพูดที่ควรพูดก็ล้วนได้พูดออกไปหมดแล้ว หลี่หมิงอวินให้เหวินซานส่งสัญญาณแก่หลินหลัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกลับจวน 

 

 

หลินหลันไม่เห็นหน้าค่าตาของเป่าจู้เลย จึงแอบถามป้าจิน ป้าจินได้ให้คำตอบว่า “เจ้าเด็กคนนี้ช่างไม่ได้เรื่อง หายออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วก็ไม่คิดจะแวะเวียนมาส่งเจ้าบ้าง” 

 

 

หลินหลันยิ้มเล็กน้อย คาดเดาว่าเป่าจู้คงไปแอบสงบสติอารมณ์อยู่ที่ใดสักแห่ง 

 

 

เมื่อผู้เป็นน้องสาวกำลังจากต้องจากบ้านจากเมืองไปแล้ว ในฐานะพี่ชายจึงต้องการพูดให้โอวาทสักสองสามประโยค 

 

 

หลินเฟิงดึงหลินหลันเข้ามายืนข้างๆ เผยอารมณ์ซึ่งเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ “เหม่ยจื่อ พี่คิดว่าหลี่ซิ่วฉายเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนในครอบครัวของเขาที่เมืองหลวงจะเป็นเช่นไร เมื่อเจ้าถึงเมืองหลวงแล้ว อย่าได้ทำนิสัยใจคอเด็กๆ ของเจ้าออกมาอีก ถึงจะมีปัญหามากเพียงใดก็ต้องอดทนเอาไว้หน่อย ต้องกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่สามีและเหล่าญาติพี่น้องของเขา ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาอะไรก็ส่งจดหมายมาถึงพี่บ้าง” 

 

 

หลินหลันพยักหน้ารับทราบ แน่นอนว่านางจะ ‘กตัญญูรู้คุณ’ ต่อพ่อแม่สามีเป็นอย่างดี และในส่วนที่เป็นญาติพี่น้องของเขา คงต้องดูว่าเป็นญาติพี่น้องประเภทใดแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะนับถือเป็น “ญาติ” หรือไม่ 

 

 

“เหม่ยจื่อ รอให้พี่สะใภ้ของเจ้าคลอดแล้ว เกอค่อยคิดหาวิธีเพื่อไปเมืองหลวง เจ้าอาศัยอยู่ในเมืองหลวงผู้เดียว เกอไม่อาจวางใจได้” หลินเฟิงลังเลไปชั่วครู่ ราวกับเป็นการเอ่ยพูดตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ 

 

 

หลินหลันดวงตาลุกวาว แล้วพูดออกไปด้วยความดีใจ “เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย! เกอมีศิลปะการต่อสู้ที่ดี การอาศัยอยู่สถานในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้คงไม่อาจใช้ความสามารถที่มีอยู่ออกมาได้” 

 

 

ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่อาจโทษผู้เป็นพี่ชายได้ ล้วนเป็นเพราะผู้เป็นบิดาของนางซึ่งอยู่ในความทรงจำอันแสนเลือนรางผู้นั้นต่างหาก บอกว่าจะไปร่วมกับกองทัพแล้วก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ผู้เป็นแม่จึงเกรงกลัวขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีก็ไม่ยอมให้พี่ชายเจริญตามรอยพ่อเด็ดขาด ร้องขอให้ทั้งครอบครัวใช้ชีวิตไปอย่างเรียบง่ายและสงบเท่านั้น ดังนั้น ถึงได้ให้พี่ชายรีบแต่งงานโดยเร็วไว 

 

 

หลินเฟิงยิ้มอย่างจริงใจ ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นลูบที่ด้านหลังศีรษะอย่างเขินอาย “คนอย่างพี่นี้มีความสามารถอะไรด้วยหรือ” 

 

 

“เกอช่างดูถูกตนเองเกินไปแล้ว เกอ ในเมื่อพี่มีความตั้งใจเช่นนี้ เช่นนั้นหลังจากข้าไปเมืองหลวงแล้วจะช่วยเก็บความตั้งใจของพี่เอาไว้ แล้วลองดูให้ว่าพอจะมีโอกาสดีๆ อะไรอยู่บ้าง” 

 

 

“ขอเพียงแค่สามารถเลี้ยงปากท้องไปได้วันๆ ก็พอแล้ว” หลินเฟิงไม่ได้มีความทะเยอทะยานอันสูงส่งเสียมากมาย เพียงแค่ต้องการอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวของเขาได้ก็เป็นพอแล้ว 

 

 

ด้วยมีข้อตกลงนี้ ความเศร้าโศกจึงได้ลดลงไปมาก แล้วอีกไม่ช้าสองพี่น้องจะได้พบเจอกันอีก 

 

 

ชาวบ้านส่งพวกเขาไปถึงทางเข้าหมู่บ้านภายใต้ความกระตือรือร้นอีกครั้ง แล้วรถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนออกไปไกล ขณะเดียวกันหลินหลันยังคงได้ยิน “หลินหลันดูแลตัวเองให้ดีๆ ด้วย” คำพูดชนิดนี้ ทำให้ขอบตาแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว 

 

 

“ดูเหมือน เจ้าจะได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง” 

 

 

รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนและนุ่มนวล และไร้ซึ่งการให้ความรู้สึกอย่างหยอกล้อใดๆ 

 

 

หลินหลันก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบรู้สึกถึงความอารมณ์อ่อนไหว รีบรวบรวมสติอารมณ์ น้ำเสียงฟังดูเศร้าโศกอยู่เล็กน้อย “ที่ได้รับความนิยมเป็นเจ้าต่างหากล่ะ ข้ายังไม่เคยเห็นท่านหัวหน้าหมู่บ้านพูดคุยกับผู้ใดอย่างเกรงใจขนาดนี้มาก่อน” 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ้มบางๆ “นั่นเป็นเพราะว่าข้าให้คำมั่นสัญญาสิ่งที่เป็นประโยชน์บางอย่างต่อพวกเขา” 

 

 

หลินหลันเข้าใจดีว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่หลี่หมิงอวินว่านั่นคืออะไร แต่ในใจกลับมีความกังวลอยู่เล็กน้อย “การที่เจ้าทำเช่นนี้ เกรงว่าตระกูลจางนั่นคงได้ไม่พอใจเป็นแน่” เท่าที่นางพอรู้ ตระกูลเยี่ยและตระกูลจางตลอดหลายปีมานี้ต่างฝ่ายต่างวางรากฐานอิทธิพลไว้ในแต่ละพื้นที่มากมาย ไม่เว้นแม้แต่แม่น้ำลำธาร รังไหมในหมู่บ้านเจี้ยนซีเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในเขตเฟิงอาน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตระกูลจางมารับซื้อในราคาถูกแสนถูก หัวหน้าหมู่บ้านเคยคิดที่จะเปลี่ยนผู้รับซื้อเมื่อหลายปีก่อน แต่ถูกตระกูลเยี่ยปฏิเสธไป ครานี้หลี่หมิงอวินเป็นฝ่ายเอ่ยปากเสนอขึ้นมาเอง ความสมดุลของโครงสร้างกำลังจะถูกเปิดออก เกรงว่ามณฑลเฟิงอานจะไม่สงบสุขอีกต่อไปเสียแล้ว 

 

 

หลี่หมิงอวินเอ่ยอย่างดูหมิ่น “ตระกูลจางเก่งกาจเสียที่ไหนกัน? เพียงแค่ไม่กี่ปีก่อนนี้ท่านตาสภาพจิตใจไม่ค่อยดี จึงขี้เกียจจะต่อกรกับเขาก็เท่านั้น” 

 

 

หลินหลันฟังออกว่าข้อมูลที่ได้ยินมาคงจะมีความคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย “หากเป็นเช่นนี้ ท่านตาของเจ้าตอนนี้ก็กำลังจะฟื้นคืนความสง่างามอันน่าเกรงขามของเขาแล้ว?” 

 

 

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น หากปีนี้ตระกูลเยี่ยสามารถได้รับโควต้าเครื่องบรรณาการ ตระกูลเยี่ยจึงต้องการวัตถุดิบที่มากยิ่งขึ้น” 

 

 

“ที่แท้เจ้าก็กำลังยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เป็นผลดีต่อทั้งตนเองและผู้อื่น” หลินหลันเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว การลงนามสัญญากับหมู่บ้านเจี้ยนซีถือเป็นก้าวแรกสำหรับตระกูลเยี่ยเพื่อการขยายธุรกิจ 

 

 

ขณะนั้นเองรถม้าก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ 

 

 

หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม “เหวินซาน เกิดอะไรขึ้นหรือ” 

 

 

เหวินซานซึ่งอยู่ด้านนอกรถม้าเอ่ยตอบ “มีคนขวางรถม้าเอาไว้ขอรับ” 

 

 

หลี่หมิงอวินรูดผ้าม่านหน้าต่างเปิดออก หลินหลันเองก็ชะโงกศีรษะไปมองดู อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ผู้ที่ยืนขวางทางรถม้าอยู่นั้นที่แท้ก็คือจินเป่าจู้ 

 

 

“เจ้าลงไปพบเถอะ” หลี่หมิงอวินเอ่ยปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

 

 

หลินหลันลงจากรถม้า แล้วเดินตรงไปยังจินเป่าจู้ 

 

 

เป่าจู้เมื่อเห็นหลินหลันลงมาแล้ว ยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับร้อยยิ้มซื่อๆ ของเขา เพียงแต่ว่าในดวงตาที่เศร้าหมองและอาลัยอาวรณ์กำลังเผยความรู้สึกในใจของเขาออกมาอย่างเด่นชัด 

 

 

หลินหลันตั้งใจที่จะไม่สบดวงตาคู่นั้นของเป่าจู้ แล้วเผยรอยยิ้มขึ้นมาบางๆ “พี่เป่าจู้ ทำไมพี่ถึงได้มาอยู่ตรงนี้ล่ะ” 

 

 

“ข้า…ข้ามาส่งเจ้า” เป่าจู้ยิ้ม ก่อนจะยื่นตะกร้าซึ่งอยู่ในมือออกมาข้างหน้า 

 

 

“ข้าไม่มีของดีๆ อะไร มีก็แต่ไข่ไก่ตะกร้านี้ไว้ให้เจ้านำไปกินระหว่างทาง” 

 

 

หลินหลันจ้องมองตะกร้านั่นซึ่งเต็มไปด้วยไข่ไก่ นึกย้อนกลับไปถึงสถานการณ์ที่เป่าจู้มักรอนางอยู่ระหว่างทางเสมอ หลังจากนั้นก็ขยันคะยั้นคะยอยัดไข่เป็ดให้นางกิน แล้วหัวใจก็รู้สึกราวกับว่ามีอะไรบางอย่างมาอุดกลั้น รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก 

 

 

เห็นว่าหลินหลันไม่รับเอาไป มือของเป่าจู้จึงค้างอยู่เช่นนั้นด้วยความรู้สึกเก้ๆ กังๆ แล้วเอ่ยพึมพำอธิบายขึ้นมา “ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ชอบกันไข่เป็ด ดังนั้น ข้า…ข้าจึงตั้งใจเป็นพิเศษเลี้ยงไก่ไว้หนึ่งตัว…” 

 

 

หลินหลันรีบคว้ารับเอาไข่ไก่มาไว้ แล้วยิ้มอย่างร่าเริง “ข้าชอบไข่ไก่” 

 

 

เป่าจู้ยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะท่าทีเคอะเขิน “เจ้า…เจ้าชอบก็ดีแล้ว” 

 

 

“เสี่ยวเจี่ยะ ต้องไปกันแล้ว…” หยินหลิ่วรับคำสั่งจากเส้าเหยียให้มาเร่งเร้าหลินหลัน 

 

 

หลินหลันหันกลับไปตอบ “รับทราบ” 

 

 

“พี่เป่าจู้ ข้าต้องไปแล้ว พี่ดูแลตัวเองให้ดีๆ ตั้งใจเชื่อฟังท่านแม่ของพี่ด้วยล่ะ” 

 

 

“รู้แล้วน่า เจ้าเองก็ต้องดูและตัวเองให้ดี ถ้าหาก…ถ้าหาก…” เป่าจูมองไปยังรถม้าครั้งแล้วครั้งเล่า พูดอย่างติดๆ ขัดๆ 

 

 

“ถ้าหากอะไรหรือ” 

 

 

“ไม่…ไม่มีอะไร หลินหลัน เจ้ารีบไปขึ้นรถเถอะ! ข้าก็ต้องกลับแล้วเช่นกัน” เป่าจู้เอ่ยออกไป เดิมทีที่เขาอยากพูด ถ้าหากว่าหลี่ซิ่วฉายรังแกนาง เขาจะช่วยออกโรงปกป้องนางเอง แต่พอมาคิดไตร่ตรองดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เขามีคุณสมบัติอันใดที่พอจะพูดประโยคพวกนี้ออกไปได้หรือ 

 

 

“อ่อ! เช่นนั้นข้าไปแล้วนะ?” 

 

 

เป่าจู้พยักหน้าเต็มแรง มองดูหลินหลันขึ้นรถม้าไป และมองอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งรถม้าออกไปไกล รอยยิ้มของเป่าจู้จึงค่อยๆ เลือนจางไป ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความมั่นคงซึ่งมีพลังแรงกล้า พูดอยู่เงียบๆ ในใจ หลินหลัน รอข้าเก็บเงินได้มากพอแล้ว ข้าจะไปหาเจ้าที่เมืองหลวง 

 

 

หลินหลันนั่งอยู่บนรถม้าเอาแต่มองอย่างเหม่อลอยไปยังตะกร้าไข่ไก่ ไข่ไก่ที่แสนหนักอึ้ง เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจที่หนักแน่นของเป่าจู้ นางแม้ว่าจะไม่ได้ชอบพอเป่าจู้ แต่ทว่าเป่าจู้สิ่งดีๆ ที่เป่าจู้ปฏิบัติต่อนาง นางจะจดจำเอาไว้ในหัวใจ 

 

 

ไม่อาจลืมเลือนไปได้ตลอดกาล ว่าเคยมีพ่อหนุ่มที่ซื่อๆ คนหนึ่ง มักจะคอยตามนาง เมื่อนางมีความสุขก็คอยหัวเราะเคียงข้างนาง เมื่อตอนที่นางไม่มีความสุข ก็ช่วยปลอบให้นางยิ้ม… 

 

 

หลี่หมิงอวินก็ต้องมองไปยังตะกร้าไข่ไก่นั้นเช่นกัน และกลับไม่เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาแม้เพียงประโยคเดียว 

 

 

ทั้งสองคนไร้บทสนาตลอดการเดินทางกลับจวนเยี่ย 

 

 

อวี้หลงได้เริ่มเก็บสัมภาระแล้ว หลินหลันมองเห็นในห้องมีกล่องหีบมากมายวางเรียงซ้อนๆ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นางมีสิ่งของตั้งมากมายขนาดนี้เชียวหรือ 

 

 

อวี้หลงชี้นิ้วไปยังกล่องที่วางอยู่ด้านในสุดแล้วกล่าว “ท่านฟู่เหรินรองสั่งให้คนนำชุดใหม่ของเสี่ยวเจี่ยะมาส่งให้แล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันดีอกดีใจ กระโดดโลดเต้น “ไวขนาดนี้เชียวหรือ ข้าขอดูหน่อย ข้าขอดูหน่อย” 

 

 

พูดขึ้นพลางรีบร้อนไปเปิดกล่องลังออก หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาทีละชุดแล้วทาบวางบนลำตัว ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากถามหยินหลิ่วและอวี้หลง “เป็นอย่างไรบ้าง สวยไหม” 

 

 

หยินหลิ่วยิ้มพลางเอ่ยตอบ “แน่นอนว่าสวยเจ้าค่ะ แม่นางสวมใส่อะไรก็สวยทั้งนั้นเจ้าค่ะ” 

 

 

เป็นการตอบที่มืออาชีพอย่างมากเลยทีเดียว 

 

 

อวี้หลงอมยิ้ม ก่อนจะชี้ไปยังกล่องขนาดเล็กบนโต๊ะแล้วเอ่ย “ร้านขายยาฮู๋จี้ก็ส่งของมาให้ด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

ปฏิกิริยาตอบรับทีแรกของหลินหลันก็คือ ท่านอาจารย์ส่งสารพันยาโบราณมาให้นางใช่หรือไม่นะ ในนวนิยายและในทีวีล้วนไม่ใช่ว่าเขียนบทแสดงเช่นนี้หรอกหรือ แบบที่ว่าเด็กฝึกงานกำลังจะเดินทางไปไกลแล้ว ท่านอาจารย์ก็เลยหยิบเอาหนังสือมีค่าลึกลับที่สามารถทำให้ทั้งโลกตกตะลึงได้ออกมา… 

 

 

หลินหลันจึงไปเปิดกล่องขนาดเล็กนั้นด้วยความตื่นเต้น ทันทีที่เปิดออก สีหน้าของหลินหลันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตามมาด้วยเสียงปิดฝากล่องลงดัง ‘ปึ้ง’ แล้วหันกลับไปถามอวี้หลงอย่างประหม่า “กล่องนี้เจ้าได้เปิดก่อนหน้านี้ด้วยไหม” 

 

 

อวี้หลงส่ายหน้า 

 

 

หลินหลันแอบถอนหายใจเบาๆ โชคยังดี โชคยังดี! แล้วกรนด่าในใจ นี่มันเป็นความคิดร้ายกาจจากคนไร้ศีลธรรมผู้ใดกัน 

 

 

หลินหลันรีบอุ้มกล่องขนาดเล็กแล้วเข้าไปในห้อง 

 

 

หยินหลิ่วและอวี้หลงมองไปยังท่าทางลับๆ ล่อๆ ของหลินหลัน จึงอดไม่ได้ที่จะจ้องหน้ากันด้วยความสงสัย สรุปแล้วอะไรกันแน่ที่อยู่ในกล่องนั่น ถึงได้ทำให้แม่นางตื่นตะนก และมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป