เจียงหนานเมืองริมน้ำ สายธารไหลเชื่อมทั่วสารทิศ ชาวบ้านออกเดินทางมาจากต่างถิ่น ล้วนมักจะอาศัยเส้นทางน้ำ
ท่าเรือน้อยใหญ่ของเมืองหังโจวมีไม่กี่แห่ง ในนั้นสามท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดอยู่ใกล้กัน แบ่งเป็นประตูอู่หลิน ประตูหย่งจินและประตูเฉียนถัง
ท่าเรือประตูอู่หลินตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง เชื่อมต่อกับคลองต้าอวิ้นเหอ[1]ของเจียงหนาน เป็นเส้นทางน้ำที่ต้องผ่านยามขึ้นเหนือล่องใต้ เพราะว่าวัดเซียงจีอายุเก่าแก่ห่างจากที่นี่ไม่มาก ท่าเรือนี้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าท่าเรือวัดเซียงจี
ท่าเรือประตูหย่งจินอยู่ทางตะวันตกของเมือง ด้านข้างเป็นทะเลสาบซีหู ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญไปยังทะเลสาบไท่หู และหลินอัน
ท่าเรือประตูเฉียนควันธูปคละคลุ้งตลอดทั้งปี ผู้แสวงบุญมากมายดุจมวลเมฆ จึงมีคำพูดที่ว่า ‘นอกประตูเฉียนถังควันธูปลอยล่อง’
เรือโดยสารของพวกอวี้ถังจอดเทียบท่าเรือประตูหย่งจิน
พวกเขาต้องลงเรือที่นี่ อาจต้องเปลี่ยนไปนั่งเรืออูเผิง[2]ลำเล็ก ไม่ก็จ้างเกี้ยวเพื่อเข้าเมือง
นั่งเรือนั้นสะดวกและสบายกว่านั่งเกี้ยวมาก ทั้งยังสามารถชื่นชมทัศนียภาพตลอดทาง สิ่งที่แย่อย่างเดียวคือใช้เวลามากกว่าการนั่งเกี้ยว ดีที่พวกอวี้เหวินวางแผนจะอยู่เมืองหังโจวหลายวัน มีเวลาเหลือเฟือ เขาจึงตัดสินใจจะนั่งเรืออูเผิงเข้าเมืองตั้งนานแล้ว
อาจเป็นเพราะว่านั่งเรือนานเกินไป ยามที่ลงเรือ อวี้ถังจึงแข้งขาอ่อน รู้สึกว่าร่างกายสั่นไหวไปหมด
อวี้หย่วนประคองนาง ชี้ไปยังใต้ต้นไหว[3]ที่มีแผงขายชาตั้งอยู่ “เจ้าอยากดื่มชาพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่?”
ท่าเรือผู้คนเบียดเสียด ไหล่ถูกกระทบไม่หยุดหย่อน เสียงขายของ เสียงตะโกน เสียงร้องเรียกและเสียงเอะอะโวยวาย สารพัดเสียงที่ดังแข่งกันโกลาหลอลหม่านจนพาให้รู้สึกเวียนศีรษะ
“ไม่เป็นไร!” อวี้ถังเอ่ยด้วยเสียงเจือความอ่อนเพลีย “อย่างไรรีบไปโรงเตี๊ยมให้เร็วๆ ดีกว่า!”
พอถึงโรงเตี๊ยม นางก็จะได้พักผ่อนดีๆ แล้ว
อวี้หย่วนผงกศีรษะ
อวี้ถังฉวยโอกาสกวาดสายตาสังเกตท่าเรือ
บันไดหินปูนแข็งหนา สะพานโค้งห้ารูที่งดงามราบเรียบ เรือแต่ละประเภทจอดอยู่ริมน้ำ
นางกลับไม่เห็นเรือของสกุลเผย
อวี้เหวินไปติดต่อเรืออูเผิงไว้แล้ว หนึ่งคนห้าเหรียญอีแปะ ส่งถึงถนนเสี่ยวเหอด้านข้างโรงเตี๊ยมหรูอี้
เขากล่าว “ข้ามาเมืองหังโจว ส่วนมากก็มักจะพักที่นี่ สะดวกสบาย ห้องหับสะอาดสะอ้าน เถ้าแก่ไม่เลว อาหารก็เลิศรส”
อวี้ถังและอวี้หย่วนผงกศีรษะ ตามอวี้เหวินขึ้นเรืออูเผิงไป
คนพายเรือยกน้ำชามาต้อนรับพวกเขา
อวี้ถังทนไม่ไหว ถามอวี้หย่วนเสียงเบา “เรือของสกุลเผยควรจะมาถึงก่อนเรา ไฉนจึงไม่เห็นเลยเล่า?”
อวี้หย่วนหัวเราะเสียงดัง เอ่ยหยอกล้อนาง “เจ้าไม่ใช่กล่าวว่า แม้จะมองอย่างไร ก็เป็นเรือของคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่รึ? อะไรกัน เจ้าก็สนใจเรือของพวกเขาเช่นกันหรือ?”
อวี้ถังทั้งเขินทั้งโมโห “ช่างเถิด ไม่พูดแล้ว”
อวี้หย่วนหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาอีก “พวกเขาน่าจะเข้าทางท่าเรือประตูอู่หลิน”
อวี้ถังไม่เข้าใจ
อวี้หย่วนเอ่ยต่อ “ท่าเรือวัดเซียงจีเชื่อมต่อกับแม่น้ำเถาฮวาในเมือง พวกเขาล่องเรือสองเสากระโดง คงจะเข้าเมืองไปโดยตรงเลย”
มีเรือเป็นของตัวเองช่างสบายเสียจริง
อวี้ถังเบะปาก
อวี้หย่วนชี้ไปที่เรือนริมน้ำและต้นหลิวสองข้างทางให้นางดู “สวยหรือไม่?”
ใบหลิวที่เรียวบางย้อยลงบนผิวน้ำราวกับเส้นผม เรือนริมน้ำปกคลุมไปด้วยดอกเถิงหลัว ข้างโต๊ะหินเก้าอี้ไผ่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสบานสะพรั่ง ระเบียงกลางแจ้งตากพวกกะหล่ำปลีและหน่อไม้ไว้ หญิงสาวแรกรุ่นสวมเสื้อสีสดสวย พวกเด็กๆ เตะลูกขนไก่ กระโดดเชือกอยู่หน้าประตู ยังมีพ่อค้าหาบเร่เรียกขาย ‘ขนมถั่วตัด’ และ ‘กรรไกรตัดด้าย’
“สวยมากจริงๆ เจ้าค่ะ!” อวี้ถังมองอย่างหลงใหล
อวี้หย่วนกล่าวอย่างอิจฉา “หากสามารถย้ายมาที่นี่ได้ก็คงจะดี กิจการต้องรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”
นี่ไม่ใช่ ‘พอเห็นสิ่งแปลกใหม่ก็ลืมบ้านเกิดเมืองนอน’ หรอกรึ?
ชาติที่ผ่านมา อวี้ถังกลับไม่รู้ว่าอวี้หย่วนมีความคิดความอ่านขนาดนี้
อาจเป็นเพราะชาติที่แล้ว ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เขาจึงไม่กล้าคิดกระมัง? หรือว่านางเองก็ยุ่งอยู่กับตัวเองจนไม่รู้อะไร?
รอยยิ้มของอวี้ถังเลือนหายไปจากใบหน้าเล็กน้อย
อวี้หย่วนทอดสายตามองทิวทัศน์ของทั้งสองฝั่ง ยังคงพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ยามที่ข้าตามท่านพ่อมาเมืองหังโจวเป็นครั้งแรกก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่เลว แม้จะขายปลาตากแห้ง ลูกค้าก็ย่อมมากกว่าเมืองของพวกเรา ทางเมืองของพวกเราไม่ค่อยเปิดกว้าง คนที่ไปๆ มาๆ ก็มีแต่พวกเดียวกัน จะว่าไปแล้วล้วนเป็นเพราะเรื่องพวกนั้น…”
อวี้ถังฟังอย่างนิ่งเงียบ ดื่มชาอย่างช้าๆ
เรืออูเผิงเข้าฝั่ง ทั้งสองฟากล้วนเป็นร้านค้าที่มีประตูด้านหน้าสามถึงห้าบาน ป้ายร้านหากไม่ปักด้วยด้ายทอง ก็ปักล้อมรอบด้วยด้ายเงิน ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนส่วนมากก็สวมใส่ผ้าไหมผ้าแพร มีบ่าวรับใช้ห้อยสอยติดตาม ทั่วทั้งถนนดูสดใสรื่นตาไปหมด
แต่ว่าโรงเตี๊ยมหรูอี้อยู่ที่ไหนกัน?
ยามที่อวี้เหวินจ่ายเงิน อวี้ถังก็กอดสัมภาระ มองซ้ายมองขวา
ก่อนป้ายตัวอักษรคำว่า ‘ตัง[4]’ ที่เขียนไว้ตัวใหญ่ ด้านล่างปักด้ายทองว่า ‘เผยซื่อ[5]’ จะปลิวไสวอยู่เบื้องหน้า ดึงดูดสายตาของนาง
อวี้ถังตกตะลึง
โรงรับจำนำของสกุลเผยอย่างนั้นหรือ?
ไม่ใช่ว่าอยู่ที่แม่น้ำซือเยา ฝ่างเหรินหลี่อะไรมิใช่รึ?
ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องไปถนนเสี่ยวเหอหรอกหรือ?
เช่นนั้นตอนนี้นางอยู่ที่ใดกัน?
อวี้ถังรีบดึงแขนเสื้ออวี้เหวิน ชี้ไปยังป้ายที่โบกสะบัด “ท่านพ่อ ดูสิ!”
อวี้เหวินกลับไม่ตกใจแต่อย่างใด กล่าวกับนางด้วยรอยยิ้ม “เจ้าตาดีเสียจริง นั่นเป็นโรงรับจำนำของสกุลเผย น่าเสียดายที่เถ้าแก่ถงไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นข้าคงพาเจ้าไปแวะทักทายแล้ว”
เช่นนั้นพวกเขามาทำไมกัน?
อวี้ถังเบิกตากว้าง
อวี้เหวินคิดขึ้นมาได้
เขาหัวเราะเสียงดัง “เด็กโง่ แม่น้ำตรงหน้าพวกเรานี้ก็คือแม่น้ำซือเยา ถนนที่พวกเรายืนอยู่ก็คือถนนเสี่ยวเหอ ทางโรงรับจำนำของสกุลเผยนั้นเรียกว่าฝ่างเหรินหลี่ เห็นตรอกเล็กๆ เส้นนั้นข้างโรงรับจำนำหรือไม่ ตั้งแต่นั่นมาจนถึงพวกเราเรียกว่า จีซั่นหลี่ โรงเตี๊ยมหรูอี้ก็อยู่ในตรอกนั้นแหละ”
ก็หมายความว่า พวกเขาพักอยู่ด้านหลังโรงรับจำนำของสกุลเผย
อวี้ถังโมโหขึ้นมา
นางมาถึงเมืองหังโจวแล้ว ไฉนยังพบกับสกุลเผยไม่จบไม่สิ้นเสียที!
อวี้เหวินคิดว่าลูกสาวมีท่าทีสนใจ จึงชี้ไปที่โรงหนังสือด้านข้างโรงรับจำนำสกุลเผย “เห็นหรือไม่? นั่นก็เป็นของสกุลเผย ด้านข้างยังมีร้านขายวัตถุโบราณ ร้านขายเครื่องแป้ง ร้านขายผมปลอมและปิ่นดอกไม้ ล้วนเป็นของสกุลพวกเขาทั้งหมด…ฝ่างเหรินหลี่ จี้ซั่นหลี่ ทั้งยังมีตรอกจือหว่าที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงเรือนพำนักส่วนตัวล้วนเป็นของสกุลพวกเขา”
เช่นนั้นมีที่ไหนไม่ใช่ของพวกเขาบ้าง?
อวี้ถังกล่าว “นายท่านสามสกุลเผยก็พักที่นี่หรือเจ้าคะ?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” อวี้เหวินกล่าวยิ้มๆ “สกุลของพวกเขามีเรือนนอกอยู่ที่เขาเฟิ่งหวง แถวประตูชิงปัว สะพานเหมยเจีย วัดหมิงชิ่งก็ล้วนมีเรือนพำนักอยู่ แต่ว่า ในเมื่อพวกเขาเข้าเมืองทางท่าเรือวัดเซียงจี หากไม่อยู่เรือนนอกที่เขาเฟิ่งหวง ก็คงพักอยู่ที่เรือนตรงสะพานเหมยเจียกระมัง”
อวี้หย่วนถามด้วยความสงสัย “ท่านอารู้ได้อย่างไรกัน? ข้ากลับเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก”
อวี้เหวินกล่าวอย่างโอ้อวดอยู่บ้าง “เถ้าแก่ถงเป็นคนบอกข้า ได้ยินเถ้าแก่ถงพูดว่า เรือนทางสะพานเหมยเจียและประตูชิงปัว เป็นของนายท่านสามสกุลเผยเอง ท่านตาของนายท่านสามเป็นผู้ทิ้งไว้ให้เขา ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของสกุลเผยแต่อย่างใด”
อวี้หย่วนประหลาดใจ “นายหญิงของสกุลเผยเป็นคุณหนูจากสกุลใดกัน?”
“คุณหนูสกุลเฉียนแห่งเฉียนถัง” อวี้เหวินกล่าว “เฉียนที่เป็นสกุลของชาวอู๋เยวี่ย[6]”
สี่สกุลใหญ่ของเจียงหนาน สกุลเฉียนนับเป็นอันดับหนึ่ง
อวี้หย่วนกล่าว “ท่านตาของนายท่านสามไม่มีลูกชายหรอกหรือ?”
“ได้ยินว่ามีลูกชายคนหนึ่ง อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีก็ป่วยตายเสียก่อน” อวี้เหวินกล่าว “แม้ว่าภายหลังจะรับเด็กจากญาติพี่น้องมาเลี้ยงดูเป็นลูก แต่ทรัพย์สินในสกุลครึ่งหนึ่งก็มอบให้นายหญิงเป็นสินเดิม ทั้งยังมีอีกครึ่งหนึ่งที่แบ่งให้พวกหลานๆ ยามที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเฉียนจะจากไป นายท่านใหญ่สกุลเผย นายท่านรองก็ล้วนเป็นฝั่งเป็นฝาหมดแล้ว มีเพียงนายท่านสามที่อายุยังน้อย ท่านผู้เฒ่าสกุลเฉียนกลัวว่านายท่านสามจะเสียเปรียบพวกพี่ๆ ตอนสู่ขอ จึงทิ้งทรัพย์สินไว้ให้เขามากมาย”
“ว้าว!” ดวงตาอวี้หย่วนระยิบระยับขึ้นมาทันที “ช่างเป็นดั่งที่ว่าฮ่องเต้เทิดทูนบุตรคนโต ชาวบ้านเอ็นดูลูกคนเล็ก นายท่านสามสกุลเผยวาสนาดีเสียจริง!”
“มิผิด” อวี้เหวินพูดสัพเพเหระกับอวี้หย่วน “เถ้าแก่ถงบอกว่า เรือนที่อยู่ทางสะพานเหมยเจีย ก็มีบ่าวรับใช้เป็นร้อยแล้ว เรือนตรงประตูชิงปัวนั้นใหญ่ยิ่งกว่าที่นั่นอีก ปกติก็ไม่มีคนไปอยู่ แค่ค่าใช้จ่ายสองเรือนนี้ก็ไม่น้อยแล้ว ทั้งค่าใช้จ่ายพวกนี้ล้วนเป็นนายท่านสามที่ดูแลจัดการเอง เห็นว่านายท่านสามยังมีทรัพย์สินของตัวเอง แต่ทรัพย์สินพวกนั้นอยู่ที่ไหน? มีเท่าใด? ใครล้วนไม่อาจรู้ เพราะว่าเรื่องนี้ ยามที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยยังมีชีวิตอยู่ ลูกชายคนโตของสกุลเผยก็เอาแต่สงสัยมาตลอดว่าท่านผู้เฒ่าสกุลเผยแอบมอบทรัพย์สินส่วนตัวให้นายท่านสามสกุลเผย…”
อวี้หย่วนกล่าว “หากเป็นข้า ข้าก็สงสัยเช่นกัน นายท่านสามเพิ่งจะอายุเท่าใดเอง…”
อย่างไรก็เป็นเพราะสกุลเผยมีเงินมากมาย!
อวี้ถังนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก
นางไม่อยากพูดอะไร
ยามที่เดินตามบิดา เลี้ยวซ้ายอ้อมขวาจนมาถึงโรงเตี๊ยมหรูอี้ นางก็ไม่มีความตื่นตาตื่นใจอะไรสักนิด เพียงเดินตามเด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมขึ้นไปยังห้องตัวเอง นางไม่มีอารมณ์แม้แต่จะสำรวจดูโรงเตี๊ยมหรูอี้ พอล้มตัวนอนลงได้ก็เข้าสู่นิทราทันที
อวี้หย่วนเข้ามาปลุกนาง “ท่านลุงบอกว่าจะพาพวกเราไปเดินเล่นที่ตลาดกลางคืน เจ้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย ท่านลุงบอกว่า อีกสิบห้านาที พวกเราจะออกเดินทาง”
อวี้ถังโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยไปตลาดกลางคืนมาก่อน ในที่สุดนางก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเล็กน้อย เปลี่ยนเป็นสวมชุดต่วนหรู[7] ใช้ผ้าคลุมผมก่อนจะออกไปพร้อมกับบิดาและพี่ชาย
ท้องฟ้านั้นเกือบโพล้เพล้แล้ว พวกเขาเดินทางไปตามทิศเหนือ คนที่สัญจรไปมากลับไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด
อวี้หย่วนบอกนาง “พวกเราจะไปประตูอู่หลิน ตลาดกลางคืนประตูเหนืออยู่ด้านนอกประตูอู่หลิน”
พวกเขาคงไม่เจอเผยเยี่ยนหรอกกระมัง?
อวี้ถังกล่าว “เมืองหังโจวมีตลาดกลางคืนเพียงแห่งเดียวหรือเจ้าคะ?”
“เมืองหังโจวมีตลาดกลางคืนอยู่หลายแห่ง แต่ตลาดกลางคืนทางประตูเหนือกลับมีชื่อเสียงมากที่สุด” อวี้หย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้ที่เดินทางมาเมืองหังโจวส่วนมากก็ล้วนแต่มาเที่ยวเล่นซื้อของ แต่หากเป็นคนหังโจวที่อยู่มานานแล้วกลับชอบไปตลาดกลางคืนของถนนเสี่ยวเหอ ตลาดที่นั่นมีคนน้อยกว่าหน่อย ข้าวของก็แพงกว่าเล็กน้อย ส่วนตลาดกลางคืนประตูเหนือล้วนเป็นพ่อค้าต่างถิ่นที่ขึ้นเหนือล่องใต้ไม่ก็คนเรือที่ไปเที่ยว”
อวี้เหวินที่เดินอยู่ด้านหน้าได้ยินก็ตอบรับบทสนทนาของอวี้หย่วน “ที่สำคัญคือเจ้าไม่เคยไป ข้าอยากให้เจ้าเห็น เป็นสตรี ภายหลังออกเรือนย่อมไม่อาจทำตัวตามใจได้แล้ว ยามนี้สามารถฉวยโอกาสเที่ยวได้มากเท่าใดก็เที่ยวให้ได้มากเท่านั้น เกิดเป็นมนุษย์ ต้องเปิดหูเปิดตาจึงจะมีความกล้า รอวันพรุ่งนี้ ข้าจะพาเจ้าไปตลาดกลางคืนทางถนนเสี่ยวเหอ ให้เจ้าได้เห็นว่าตลาดทั้งสองแห่งแตกต่างกันที่ใด”
คนอย่างเผยเยี่ยน หากจะเดินตลาดกลางคืน ก็คงเดินที่ถนนเสี่ยวเหอกระมัง?
อวี้ถังมีความสุขขึ้นมา กล่าวถามบิดาด้วยรอยยิ้ม “ตลาดทางเหนือมีอะไรอร่อยบ้างหรือเจ้าคะ?”
อวี้เหวินกล่าวยิ้มๆ “ปลาเผาของแม่นางกวนซาน บัวลอยสุราดอกกุ้ยฮวาของป้าหวัง ขนมแป้งทอดของถังเอ้อร์ส่าจือ…มากมายนับไม่ถ้วน เจ้าอย่ากินเยอะเกินไปก็แล้วกัน”
อวี้ถังอดตื่นเต้นไม่ได้ “ครั้งหน้าต้องพาท่านแม่มาด้วยนะเจ้าคะ!”
อวี้เหวินแย้มยิ้ม “ยามที่ข้าและมารดาของเจ้าแต่งงานกันใหม่ๆ เคยมาที่นี่สองครั้งแล้ว ภายหลังร่างกายมารดาของเจ้าไม่ค่อยแข็งแรง ข้าจึงไม่กล้าพานางออกมา ทั้งเพราะเจ้า ข้ากลัวนางจะเป็นห่วง จึงไม่พาเจ้าออกมาด้วยเช่นกัน”
ทั้งสามคนคุยเล่นกันไป ก่อนจะออกจากประตูอู่หลิน
อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าตลาดกลางคืนประตูเหนือจะไกลจากที่พวกเขาพักถึงขนาดนี้ เดินจนเท้าปวดไปหมด
อวี้หย่วนเห็นฝูงชนเดินเบียดเสียดจนแทบแทรกเข้าไปไม่ได้ ใช้เวลากว่าค่อนวันจึงหาร้านอาหารที่มีที่นั่งแห่งหนึ่งได้ กล่าวปรึกษากับอวี้เหวิน “พวกเราพักกันสักหน่อยดีหรือไม่?”
อวี้เหวินลังเลอยู่บ้าง กล่าวเสียงเบา “การค้าคึกคักเช่นนี้ ร้านของพวกเขากลับไม่มีคน แสดงว่าของอาจจะไม่อร่อย พวกเราเดินไปข้างหน้าอีกหน่อยดีกว่ากระมัง?”
พวกเขาไม่อาจนั่งร้านคนอื่นเฉยๆ โดยไม่สั่งของอะไรได้กระมัง?
อวี้ถังก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่ขณะที่นางกำลังจะพูด เงยหน้าขึ้น ก็พบกับเผยเยี่ยนและโจวจื่อจินยืนอยู่ข้างร้านอาหาร
———————————–
[1]คลองต้าอวิ้นเหอ เป็นคลองขุดเพื่อให้เดินเรือได้สะดวก ทั้งเชื่อมต่อดินแดนภาคเหนือและใต้เข้าด้วยกัน
[2]เรืออูเผิง เป็นยานพาหนะทางน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่เจียงหนาน โดยมีการทากันสาดเรือเป็นสีดำ ตัวเรือแคบเล็ก หลังคาเตี้ย
[3]ต้นไหว เป็นไม้ดอกยืนต้นชนิดหนึ่ง มีดอกสีขาว
[4]当โรงรับจำนำ
[5]裴氏 สกุลเผย
[6]อู๋เยวี่ย ชาวพื้นเมืองโบราณที่เคยอาศัยในเจ้อเจียง
[7]ชุดต่วนหรู เป็นชุดฮั่นฝู (ชุดของชาวฮั่น) ชนิดหนึ่ง เสื้อตัวบนจะยาวไม่เกินเข่า ใส่คู่กับกระโปรงยาวคล่องตัว