นี่มันชะตากรรมอะไรของนาง?
ไม่ใช่ว่าเผยเยี่ยนอยู่ที่เรือนหรูหราตรงเขาเฟิ่งหวงไม่ก็ที่สะพานเหมยเจียหรอกหรือ? เขาถ่อมาตลาดพื้นๆ ทางเหนือทำไมกัน?
อวี้ถังเบิกตาค้างอย่างตกตะลึง
เผยเยี่ยนก็คล้ายจะคาดไม่ถึงเช่นกัน เบิกตากว้างมองนาง
ทั้งสองคนชะงักอยู่เช่นนั้นท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่มีใครปริปากพูด ยิ่งไม่ต้องถามเรื่องทักทาย
ยังคงเป็นโจวจื่อจินที่เห็นอวี้เหวิน “ไอหยา นี่ไม่ใช่อวี้ซิ่วไฉหรอกรึ? ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”
ขณะที่เขาพูดก็ปราดสายตามองอวี้ถังแวบหนึ่ง
อวี้ถังสวมชุดคลุมเนื้อหยาบสีฟ้าปักดอก ทั้งใช้ผ้าคลุมผมไว้ มองแวบๆ คล้ายกับสาวชาวบ้านที่เข้าเมืองมาดูความคึกคัก มีเพียงมือที่ขาวเนียนโผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น งดงามราวกับดอกอวี้หลัน[1]ที่เพิ่งออกดอกเบ่งบาน
อวี้เหวินก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะพบกับเผยเยี่ยนและโจวจื่อจินที่นี่ เขารู้สึกดีใจที่ได้พบคนรู้จักที่นี่ “โจวจ้วงหยวน นายท่านสาม! บังเอิญเสียจริง! ข้าคิดว่าในเมื่อมาเมืองหังโจว ก็ควรมาเดินเล่นตลาดกลางคืนทางเหนือเสียหน่อย จึงพาหลานชายและลูกสาวมา พวกท่านก็มาตลาดทางเหนือเช่นกันรึ? พวกท่านมาด้วยกันแค่สองคนหรือ?”
เผยเยี่ยนผงกศีรษะอย่างเรียบนิ่ง
โจวจื่อจินกลับกระตือรือร้นกว่ามาก เอ่ยทั้งรอยยิ้ม “พวกเราพักอยู่ตรงสะพานเหมยเจียด้านนั้น สะพานเหมยเจียห่างจากที่นี่ไม่มาก ข้าก็ไม่ได้มาหลายปีแล้ว จึงลากสยากวงออกมาเที่ยวเล่น” ขณะที่เขาพูดก็มองอวี้ถังไปอีกครั้ง
เขามีความประทับใจต่อคุณหนูผู้นี้ไม่น้อย
คนที่หน้าตาสะสวย ใช่ว่าเขาไม่เคยพบมาก่อน แต่คนอย่างอวี้ถัง ผู้ที่สามารถทำให้สองพี่น้องยินยอมมอบใจ ทำให้ชายหนุ่มตะโกนก้องว่าจะแต่งเข้าบ้านเป็นลูกเขยของพวกเขา นับว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ทั้งอวี้ถังที่เขาเห็นครั้งนี้กลับแตกต่างจากครั้งก่อน
ครั้งที่แล้ว แม้ว่าอวี้ถังจะแต่งตัวธรรมดา กลับเป็นหญิงสาวที่พาให้คนตาเป็นประกาย งดงามจนไม่อาจละสายตา ครั้งนี้แต่งกายราวกับสาวบ้านนอก ทว่ากลับยากจะปกปิดความพริ้มพราย เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวผู้นี้มีบุคลิกกิริยาที่งดงามเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะแต่งหน้าทำผมอย่างไรก็ไม่อาจทำลายความโดดเด่นของนางได้
โจวจื่อจินอดถามอวี้เหวินไม่ได้ “แม่นางน้อยผู้นี้เป็นลูกสาวของสกุลพวกท่านจริงๆ รึ?”
อวี้เหวินไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงถามเช่นนี้ อดหัวเราะไม่ได้ “หรือไม่ใช่อย่างนั้นรึ?”
โจวจื่อจินหัวเราะ “ข้าเพียงเสียดายอยู่บ้างเท่านั้น ท่านคงไม่รู้ ช่วงนี้ข้ากำลังวาดภาพสิบสองสาวงาม…”
คนงามย่อมงามจากภายในหาใช่ใบหน้า
หากสาวน้อยผู้นี้ไม่ใช่ลูกสาวของสกุลอวี้ก็คงจะดี
เขาจะได้สามารถควักเงินจำนวนหนึ่งเพื่อขอนางออกมาเป็นแบบวาดภาพได้
เผยเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างรู้ว่าโจวจื่อจินนั้นเป็นคนที่คลั่งไคล้การวาดภาพ เพราะเรื่องนี้ถึงกระทั่งลาออกจากหกกรมไม่ว่า แต่เมื่อเห็นสาวงามหรือเด็กตัวน้อยๆ ดวงตาก็จะคล้ายถูกตรึงเอาไว้ ไม่อาจขยับไปไหนได้
เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจนัก ไม่รอให้โจวจื่อจินได้พูดจนจบก็เอ่ยเสียงทุ้มกับอวี้เหวิน “นายท่านอวี้เพิ่งมาหรือกำลังจะไปแล้ว?”
อวี้เหวินก็เดาคำพูดที่กล่าวไม่จบของโจวจื่อจินได้เช่นกัน เขาพาลูกสาวออกมาเผยหน้าค่าตาเป็นเรื่องหนึ่ง ให้คนวาดภาพลูกสาวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขามองเผยเยี่ยนอย่างซาบซึ้งไปที “พวกเราเพิ่งมา! นายท่านเผยและโจวจ้วงหยวนเพิ่งมาหรือเตรียมจะกลับแล้ว? อยากจะไปเดินเที่ยวกับพวกเราหรือไม่?”
เผยเยี่ยนกลับเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ตลาดแห่งนี้ควันไฟคละคลุ้ง ร้อนอบอ้าว ข้าเดินดูเป็นเพื่อนเขาก็พอ…”
โจวจื่อจินรีบขัด “สยากวง ในเมื่อออกมาแล้ว เจ้าก็อย่าทำตัวน่าเบื่อเลย พบคนรู้จักไกลบ้านเช่นนี้ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี มิสู้พวกเราเดินเที่ยวด้วยกัน”
อวี้เหวินมองออกว่าเผยเยี่ยนไม่ค่อยยินดีนัก ไม่ทันได้พูดปฏิเสธออกมา ก็ถูกโจวจื่อจินคว้าไหล่ ผลักให้เดินไปด้านในอย่างไร้ทางโต้แย้ง “ไป! ต้นปียามที่ข้ามา กินขนมแป้งทอดของร้านถังเอ้อร์ส่าจื่อไปครั้งหนึ่งก็ลืมไม่ลงจนถึงวันนี้ ครั้งนี้ข้ามาตลาดประตูเหนือก็เพื่อขนมแป้งทอดนี่แหละ”
อวี้เหวินกลับชอบนิสัยเป็นกันเองของโจวจื่อจินมาก เขาครุ่นคิดและรู้สึกว่าทุกคนไปด้วยกันก็คงดีไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นโจวจื่อจินและเผยเยี่ยนล้วนเป็นคนที่มีฐานะหน้าตา ย่อมไม่อาจพูดอะไรที่เขาพาลูกสาวออกมาเที่ยวตลาดกลางคืน จึงตัดสินใจตามโจวจื่อจินเดินไปด้านใน ทั้งคุยกับเขาไปพลาง “ข้ายังคิดว่าท่านจะชอบกินบัวลอยสุราดอกกุ้ยฮวาเสียอีก ท่านเป็นคนเมืองหนานทงไม่ใช่รึ? คนทางใต้อย่างพวกเราล้วนชอบกินสิ่งนี้ทั้งนั้น”
“ข้าเป็นคนทางใต้! แต่เกิดในเมืองหลวง ทั้งเติบโตในเมืองหลวง” โจวจื่อจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าชอบกินอาหารประเภทเส้น!”
คุยกันไม่กี่คำ เงาของทั้งสองก็แทบกลืนไปกับฝูงชน
อวี้หย่วนรีบเรียกอวี้ถัง “เจ้ามาเดินข้างหน้าข้า จะได้ไม่พลัดหลง”
อวี้ถังมองเผยเยี่ยนที่ทำสีหน้าอึมครึม ก็จัดแจงผมอย่างไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง เวลานี้จึงค่อยทำตามที่อวี้หย่วนบอก เดินอยู่ด้านหลังอวี้เหวิน
ด้านหน้ามีการแสดงละครลิงอยู่
อวี้เหวินและโจวจื่อจินเบียดเข้าไปดู ทั้งกวักมือเรียกอวี้ถังเช่นกัน
สีหน้าของเผยเยี่ยนบูดบึ้งยิ่งกว่าเก่า
อวี้ถังกับอวี้หย่วนกลับสนใจเป็นอย่างมาก
อวี้หย่วนคว้าแขนเสื้ออวี้ถังก่อนจะเบียดเข้าไปด้านใน
อวี้ถังอดมองเผยเยี่ยนแวบหนึ่งไม่ได้
เขาสวมชุดคลุมเนื้อหยาบสีคราม ยังคงไม่มีเครื่องประดับหรือแขวนห้อยอะไร ใบหน้าขาวกระจ่าง หน้าตาหล่อเหลา เผยท่าทีเคร่งขรึม เดินประสานมือไพล่หลังอยู่หน้าแผงลอยของตลาดท่ามกลางผู้คนมากมาย กระนั้นกลับสามารถพาความเงียบเหงาเข้ามาแทนที่ความสดใสอย่างง่ายดาย
คนผู้นี้ช่างสันโดษเสียจริง!
อวี้ถังตรึกตรองในใจ ก่อนจะทิ้งเรื่องนายท่านสามสกุลเผยไว้ด้านหลัง ไปดูละครลิงกับอวี้หย่วนอย่างครื้นเครง
แต่ว่า เพียงดูสักพักหนึ่ง อวี้ถังก็เริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอยู่บ้าง
ดวงตาสีดำของลิงน้อยนั้นสุกสกาว ยามที่มองคนก็คล้ายมีอะไรอยากจะพูด ร่างกายที่ผอมเล็กปกคลุมไปด้วยขนสีเหลืองเบาบาง เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว เจ้าของให้ทำอะไรมันก็ทำอย่างนั้น ยังรู้จักประสานมือทักทายขอของกินจากคน น่ารักไม่หยอก ทว่าที่คอของมันกลับถูกคล้องด้วยโซ่เหล็ก อาจจะเพราะตอนรัดห่วงลิงโตแล้ว ขนรอบคอจึงร่วงไปหมด ยิ่งมันเชื่อฟังเชื่องขึ้นมากเท่าใด นางก็ยิ่งทนดูไม่ได้เท่านั้น
ลิงพวกนี้เติบโตในป่าใหญ่ ถูกคนเหล่านี้จับตัวมาฝึกละคร ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อขอความเมตตาจากมุนษย์จึงจะค่อยได้กินอิ่ม มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
นางรู้สึกหดหู่ในใจ ดึงแขนเสื้ออวี้หย่วน ก่อนจะกระซิบข้างหูเขา “พวกเราอย่าดูเลยดีกว่า ตอนกลางวันพวกเรากินเนื้อแห้งรองท้องเท่านั้น ข้าหิวแล้ว พวกเราไปหาอะไรกินเสียหน่อยเถิด”
ลิงน้อยตัวนั้นกำลังแสดงการระบำสะบัดธง อวี้หย่วนมองด้วยความสนใจ เอ่ยแบบขอไปที “เจ้ารอเดี๋ยวก่อน ข้าดูจบแล้วจะไปหาของกินกับเจ้า”
อวี้ถังคิดว่าแขนขาของลิงน้อยพวกนี้เดิมทีก็ควรอยู่บนพื้น ตอนนี้กลับถูกบังคับให้ยืนสองขา…ยิ่งทนดูไม่ได้ กล่าวด้วยท่าทีหม่นหมอง “เช่นนั้นท่านพี่อยู่ดูเถิด ข้าจะรอเจ้าด้านนอก”
อวี้หย่วนได้ยินพลันดึงสติกลับมา รีบกล่าว “เช่นนั้นข้าไม่ดูแล้ว ไปรอท่านอาเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า”
อวี้เหวินก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็น
อวี้ถังผงกศีรษะ เบียดออกไปกับอวี้หย่วน
อวี้หย่วนไปตามอวี้เหวิน
อวี้ถังกวาดสายตาแวบเดียวก็พบเผยเยี่ยนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ด้านข้าง
เขาไม่ไปดูละครลิง แต่กลับยืนนิ่งเงียบอยู่ใต้ต้นไม้
อาจจะเป็นเพราะรู้สึกได้ว่าอวี้ถังกำลังมองเขาอยู่ เขาจึงหันมามองอวี้ถังแวบหนึ่ง
อวี้ถังส่งยิ้มเป็นมารยาทให้เขา
เขากลับแสดงสีหน้าเรียบนิ่งหันกลับไป
อวี้ถังถูกกระตุ้นโทสะไม่น้อย
คนผู้นี้มันอะไรกัน?
มองไม่ออกหรืออย่างไร?
นางแสดงความเป็นมิตรกับเขาก่อน คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำท่าทีเช่นนี้!
ในหัวอวี้ถังดัง ‘วิ้งๆ’ ขึ้นมา ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะดึงสติกลับมาได้
อวี้เหวิน อวี้หย่วนและโจวจื่อจินเดินเข้ามา
โจวจื่อจินกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านยังไม่ได้กินมื้อเย็น ข้าเลี้ยงเอง พวกท่านอยากกินอะไร?” ประโยคสุดท้ายกลับถามอวี้ถัง
อวี้ถังจะกล้าไปกินข้าวที่โจวจื่อจินเลี้ยงเปล่าๆ ได้อย่างไร รีบกล่าวเป็นมารยาท “ท่านอย่าได้เกรงใจ ข้ากินอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
โจวจื่อจินได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นพวกเราไปกินปลาเผาของแม่นางกวนซานกันดีหรือไม่? ข้ากินครั้งที่แล้ว รู้สึกว่าไม่เลวเลย”
คนเจียงหนานชอบกินปลาอยู่แล้ว
อวี้ถังรู้สึกดีกับโจวจื่อจินขึ้นมาโดยพลัน ส่งยิ้มขอบคุณโจวจื่อจิน
โจวจื่อจินโบกมือ “เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงัก
เผยเยี่ยนเรียก ‘จื่อจิน’ ขึ้นมาอย่างเยือกเย็น “ตอนเย็นเจ้ากินปลาปักเป้าย่างไปหนึ่งกิโล เจ้ายังกินได้อีกรึ?”
“ไอหยา! ทำไมจะกินไม่ได้กัน” โจวจื่อจินกล่าวทันที “ข้าเดินมาเกือบค่อนวัน ปลาปักเป้าย่างนั่นไม่รู้ไปอยู่ที่ใดแล้ว แน่นอนว่าต้องไปลิ้มรสปลาเผาของร้านแม่นางกวนซาน” ขณะที่เขาพูด ก็กล่าวอย่างสงสัย “หรือเจ้าจะไม่กิน?”
เผยเยี่ยนบอกปัดอย่างรังเกียจ “ไม่กิน!”
สายตาของพวกอวี้ถังล้วนพุ่งเป้าไปที่โจวจื่อจิน
โจวจื่อจินเอ่ยอย่างร้อนใจ “อย่างไรข้าก็เป็นแขก! สยากวง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความรู้สึก อย่างไรเจ้าก็ควรไปเป็นเพื่อนข้า!”
เผยเยี่ยนชำเลืองสายตามองเขาไปที ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่อ้อมค้อม “เจ้าไม่ใช่พูดว่าจะกินปลาเผาของแม่นางกวนซานหรอกรึ? ยังไม่มาอีก!”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” โจวจื่อจินตามไปทันที
อวี้เหวินส่ายศีรษะ พาอวี้หย่วนและอวี้ถังตามไปเช่นกัน
อวี้ถังกระซิบถามอวี้เหวิน “ท่านพ่อ พวกเราจำเป็นต้องตามไปด้วยหรือเจ้าคะ?”
ท่าทีของเผยเยี่ยนเสียมารยาทเกินไปแล้ว นางรู้สึกว่านางตามไปย่อมกินข้าวไม่ลง
อวี้เหวินกล่าว “อย่างไรพวกเราก็ต้องไปกินข้าว มิสู้ไปกินที่ร้านของแม่นางกวนซาน บะหมี่แห้งของพวกเขาก็รสชาติไม่เลว ครั้งที่แล้วข้ายังพูดกับแม่เจ้าว่า อยากให้ป้าเฉินเรียนไว้หน่อย ปรากฏว่าไม่ว่าอย่างไรป้าเฉินก็ทำไม่เหมือน”
ก็ได้!
อวี้ถังตัดสินใจแล้ว เพื่ออาหารเลิศรส อย่างไรก็อดทนเสียหน่อยเถิด
ร้านปลาเผาของแม่นางกวนซานยังนับว่าค่อนข้างกว้าง กระนั้นคนก็นั่งเบียดเสียดกันอยู่มากมาย
โจวจื่อจินทำท่าเป็นผู้ดี ควักเงินออกมาตรงๆ ให้คนมอบโต๊ะแก่พวกเขา
ทุกคนเตรียมจะนั่งลง ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนควักผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งมาจากไหน เช็ดตรงที่เขาจะนั่งอย่างละเอียดลออไปทีหนึ่ง
อวี้ถังเห็น ก็แอบลูบโต๊ะเล็กน้อย
โต๊ะตัวนั้นแม้จะดูเก่า ภายใต้แสงไฟคล้ายส่องมันวาว แต่เมื่อลูบดูกลับสะอาดไม่น้อย อย่าพูดถึงคราบน้ำมันเลย กระทั่งเศษฝุ่นก็ไม่มีให้เห็น
นางนั่งลงอย่างวางใจ ก่อนเผยเยี่ยนจะเริ่มเช็ดโต๊ะอีกครั้ง
โจวจื่อจินทนไม่ไหว “สยากวง เจ้าอย่าพิถีพิถันขนาดนี้ได้หรือไม่?”
เผยเยี่ยนเม้มปาก ยังคงเช็ดโต๊ะจนเสร็จ
โจวจื่อจินจนใจ จึงหันไปหารือกับอวี้เหวิน สั่งอาหารขึ้นชื่อของร้านมา
เป็นที่รู้จักในตลาดกลางคืนแห่งนี้ได้ย่อมต้องมีชื่อเสียงสมคำร่ำลือ
ปลาเผากรอบหอมมัน บะหมี่แห้งคลุกพริกน้ำมัน ขาหมูก็ไม่เลี่ยนเกินไป น้ำแกงเห็ดหูหนูหวานกลมกล่อม…อวี้ถังนั้นกินอย่างเอร็ดอร่อย ด้านโจวจื่อจินก็ชมไม่ขาดปาก
เผยเยี่ยนกลับนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่แตะอาหารแม้แต่คำเดียว
โจวจื่อจินแสร้งกระซิบกล่าวถึงเขากับอวี้เหวิน “ท่านดู ช่างเป็นคนที่น่าเบื่อจริงๆ! วันนี้หากไม่เจอพวกท่าน แม้ข้าจะกินของเลิศรสปานใดเข้าไปก็คงกลายเป็นก้อนหินถ่วงในใจข้าอยู่ดี”
อวี้เหวินเห็นว่าเผยเยี่ยนนั่งอยู่สบายๆ ตรงนั้น กลับคล้ายต้นสนที่ยืนตระหง่านท่ามกลางหิมะ แผ่ความทระนงออกมาจากภายในอย่างเลือนราง รู้สึกว่าโจวจื่อจินกล่าวไม่เหมาะสมกับเผยเยี่ยนอยู่บ้าง
“ทุกคนล้วนมีนิสัยเฉพาะตัวต่างกันไป สหายที่ดีย่อมไม่ควรสร้างความอึดอัดใจต่อกัน” อวี้เหวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยกแก้วสุราไปทางโจวจื่อจิน “แก้วนี้ข้าดื่มให้กับท่าน”
โจวจื่อจินหัวเราะ ก่อนจะทิ้งเรื่องพวกนั้นไว้ด้านหลัง
เผยเยี่ยนกลับไม่อาจควบคุมสายตาตัวเองได้ มองไปยังอวี้ถังที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา
———————————
[1]ดอกอวี้หลัน ดอกแมกโนเลีย