ผลการวินิจฉัยโรคของเสี่ยวเชี่ยนสามารถหลอกหัวหน้าใหญ่กับลูกชายได้ แต่ไม่มีทางหลอกศาสตราจารย์หลิวได้
ศาสตราจารย์หลิวเข้าใจดีว่านี่จะต้องเป็นเรื่องที่เสี่ยวปืนเหล็กกับอวี๋ไข่เหล็กรวมหัวกันทำแน่นอน สองคนนี้เป็นคนฉลาด พออยู่ด้วยกันก็ชอบวางแผนก่อเรื่อง
ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเด็กๆช่วยหัวหน้าใหญ่กันสุดฤทธิ์ ศาสตราจารย์หลิวเลยวางแผนบ้าง แสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไร
อืม งั้นก็คิดว่าลูกเป็นโรค ‘อารมณ์แปรปรวน’ ไปแล้วกัน
อวี๋หมิงหลางเดินออกไปส่งเสี่ยวเชี่ยน มีรถมารอรับเธอแล้ว
“ผมไปส่งคุณกลับไม่ได้นะ” อวี๋หมิงหลางช่วยเสี่ยวเชี่ยนจัดปกคอเสื้อด้วยอารมณ์เสียดาย
“อืม ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลับเองได้” เสี่ยวเชี่ยนไม่รอศาสตราจารย์หลิวแล้ว เธอเดาว่าเวลานี้ศาสตราจารย์หลิวน่าจะกำลังอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก มีหัวหน้าใหญ่อยู่เธอก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าแล้ว
“เจอกันครั้งหน้าพี่จะพาไปขับรถอย่างดีเลยนะ…” เขายังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ เส้นทางแห่งการกินเนื้อช่างลำบากนัก…
“เลิกคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว เดี๋ยวก็เลือดกำเดาไหลอีกหรอก นายกลับไปพาทหารกลับเถอะ” เสี่ยวเชี่ยนโบกมือ เตรียมจะหันไปขึ้นรถ แต่พอเห็นท่าทางอาลัยอาวรณ์ของเขาจึงเดินไปกระซิบที่ข้างหูอวี๋หมิงหลาง
“ยังไงฉันก็เป็นของนาย จะช้าจะเร็วก็เหมือนกันนั่นแหละ”
พูดจบก็ไม่ดูสีหน้าของเขารีบขึ้นรถทันที
อวี๋หมิงหลางมองควันที่ถูกปล่อยออกมาจากท่อไอเสีย ผู้หญิงที่เขารักค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกร้อนๆตรงจมูก
“หัวหน้า ทำไมเลือดกำเดาไหลล่ะ?” เฉียวเจิ้นเดินผ่านมาเห็นหัวหน้าศัตรูพ่ายของตัวเองกำลังยืนแข็งทื่อเป็นเสาไฟฟ้า ตรงจมูกมีของเหลวสีแดงไหลออกมา…
อวี๋หมิงหลางเอามือเช็ด เช็ดเสร็จก็ไหลอีก
พอเห็นเฉียวเจิ้นทำหน้างง ทันใดนั้นเขานึกขึ้นได้ว่าไอ้นี่มันชิงกินเนื้อตัดหน้าเขาไปก่อน ด้วยความโมโหจึงแจกลูกถีบไปหนึ่งที
“อะไรวะเนี่ย” เฉียวเจิ้นโมโห
“เห็นหน้าแล้วหงุดหงิด ยืนบื้ออะไรอยู่เล่า ไปพาคนกลับค่ายสิ” ได้กินแล้วใช่ไหม กิน กินให้ตายไปเลย
“หัวหน้าใหญ่ One บ้าไปแล้ว มันทำร้ายโผม” เฉียวเจิ้นพอเห็นครอบครัวหัวหน้าใหญ่เดินกันมาสามคนก็รีบเข้าไปฟ้อง
“ใครบ้านะ?” แต่ทว่าหัวหน้ากลับสนใจเรื่องนี้
“ผมน่ะสิ” อวี๋หมิงหลางตอบอย่างภูมิใจ
“ตาเหยี่ยว ช่วงนี้นายละเลยการฝึกไปหรือเปล่า?” หัวหน้าใหญ่ถาม
“ใช่ครับ เอาเรี่ยวเอาแรงไปลงที่อื่นหมดแล้ว เอวงี้พลิ้วเชียว” อวี๋หมิงหลางยอมรับว่าตอนนี้เขาอิจฉาริษยา แล้วจะทำไมล่ะ
“หมิงหลางจมูกเป็นอะไรน่ะ?” ศาสตราจารย์หลิวสังเกตเห็นว่าอวี๋หมิงหลางเลือดกำเดาไหล
“คิดถึงเมียมากสินะ เดี๋ยวพอฝึกแบบปิดก็จะไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือนเลยมาลงที่ผม เฮ้อ ผมจะทำอะไรได้ ใครใช้ให้ผมเป็นลูกน้องเขาล่ะ” เฉียวเจิ้นพูดอย่างปลงๆ
อวี๋หมิงหลางทั้งอายทั้งโมโห อยากจะเข้าไปอัดอีกรอบ พอกระโดดเข้าไปเฉียวเจิ้นก็ลื่นเหมือนปลาไหลรีบไปหลบอยู่ด้านหลังหัวหน้าใหญ่
อวี๋หมิงหลางไม่สนหรอก ยกเท้าจะเข้าไปเตะ แต่ถูกหัวหน้าใหญ่ยื่นขามาขวาง
“เอาล่ะ เลิกเล่นได้แล้ว ตาเหยี่ยวนายไปพาคนใหม่กลับไปดูแลไป”
“ครับ”
“One นายอยู่นี่ก่อน ทำงานเก็บตกนิดหน่อยก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ”
“งานเก็บตกอะไรครับ?” อวี๋หมิงหลางยังไม่เข้าใจ การทดสอบเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องงานเก็บกวาดกับดักอะไรพวกนี้เป็นหน้าที่ของทหารที่นี่ แล้วจะให้เขาอยู่ทำไม?
คนฉลาดๆแต่พอถึงช่วงเวลาสำคัญสมองกลับตามไม่ทัน หัวหน้าใหญ่ตบบ่าอวี๋หมิงหลางแล้วชี้หน้าเขา
“เก็บตกแกนี่ไงล่ะ เข้าใจยัง?”
นี่มันเหมือนถูกหวยรางวัลใหญ่ชัดๆ อวี๋หมิงหลางรู้สึกเหมือนโลกสดใสขึ้นมาทันที เบิกตาโพลงด้วยความรู้สึกเซอร์ไพร้ส์
“หัวหน้า ทำไมวันนี้หล่อจังครับ? น้าหลิว ดูลุงคนนี้สิครับ มีหัวใจเมตตาดั่งพระโพธิสัตว์ ทำอะไรก็รอบคอบ เหมาะแก่การเป็นหัวหน้าครอบครัวที่สุด ของมันต้องมีเลยนะครับ”
“ถ้ายังไม่หยุดพูดมากก็กลับหน่วยไปเลย” หัวหน้าใหญ่เริ่มใส่อารมณ์
“รับรองครับงานเก็บตกนี้จะออกมาดีแน่นอน หัวหน้าวางใจได้เลยครับ” อวี๋หมิงหลางทำความเคารพอย่างสวยงาม หัวหน้าใหญ่ หึ ออกมาหนึ่งทีแล้วเดินจากไป
เฉียวเจิ้นส่ายหน้าแล้วตบบ่าอวี๋หมิงหลาง “One ฉันรู้แล้วว่าทำไมนายถึงถีบฉัน อิจฉาฉันใช่ไหมล่ะ?”
อวี๋หมิงหลางหัวเราะเจ้าเล่ห์ สายตาของเขาในตอนนี้สดใสยิ่งกว่าดวงอาทิตย์
เขาไม่ตอบเฉียวเจิ้น แต่พึมพำตัวเลขออกมา
“บ่นอะไรน่ะ?”
“ฉันกำลังคำนวณความเร็วในการวิ่งของฉันกับความเร็วรถ ฉันต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะไล่ตามรถเสียวเหม่ยทัน แต่ไม่ได้ ถ้าใช้ความเร็ว60กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นตัววัด ตอนนี้รถที่เธอนั่งคงเข้าเมืองไปแล้ว ฉันคงวิ่งไปไม่ได้ ดังนั้นฉันต้องรีบเรียกรถตามเธอไป”
หลังจากนั้นแผนการทำสงครามก็ต้องทำให้สำเร็จ
เฉียวเจิ้นมองบน “นี่นายอยากมากขนาดไหนกันเนี่ย? เรื่องแบบนี้ยังต้องมานั่งคำนวณ? แล้วยังจะปฏิเสธว่าไม่ได้ไล่เตะฉันเพราะความอิจฉา?”
ก็เพราะไม่อยากเสียเวลาไปแม้สักวินาทีไง?
อวี๋หมิงหลางแอบเซ็งที่ให้เสี่ยวเชี่ยนกลับไปก่อน เขาจะไปรู้ได้ไงว่าตาลุงหัวหน้าใหญ่จะมองออกขนาดนี้ เซ็งมากเข้าใจไหม
“ฉันจะอิจฉานายทำไม? คิดว่านายมีเมียแล้วฉันไม่มีหรือไง?”
ฮี่ๆ เดี๋ยวก็จะได้จู๋จี๋กับเสียวเหม่ยแล้ว สุดแสนจะรอคอย~
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนออกจากที่อวี๋หมิงหลางมาแล้วในใจก็รู้สึกเศร้า
สายตาที่เขามองส่งเธอนั้นมันช่างทำให้ปวดใจนัก อย่างน้อยๆก็ควรได้ป้อนเนื้อให้เขากินก่อนกลับ ปล่อยให้เขาต้องอดกลั้นไปเรื่อยๆแบบนี้เธอกลัวเขาจะเป็นอะไรไป
แต่สองครั้งก่อนหน้านี้ก็บังเอิญเกินไป มีแต่เรื่องเข้ามา หวังว่าครั้งหน้าเจอกันเธอจะได้ส่งเนื้อเข้าปากเขาอย่างง่ายๆเสียที
รถขับเข้าสู่เขตเมือง ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเสี่ยวเชี่ยนก็ดังขึ้น มีข้อความเข้า เมื่อครู่อยู่ในเขตภูเขาไม่มีสัญญาณจึงไม่ได้รับ
พอเปิดดูก็พบว่าเจิ้งซวี่ให้เธอโทรกลับ
เสี่ยวเชี่ยนจึงโทรไปหาเจิ้งซวี่
“โทรหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“คนที่ให้ไปสืบได้เรื่องมาแล้วนะ ข้อมูลอยู่ที่ผับเรนโบว์ในตัวเมือง ว่างๆก็ไปเอาแล้วกัน”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“แล้วก็ ช่วงนี้ระวังตัวด้วยนะอย่าให้ใครจับจุดอ่อนได้” เจิ้งซวี่พูดเตือน
“นายได้ข่าวอะไรมาเหรอ?”
“ลูกน้องผมบอกมาว่าช่วงนี้มีคนสืบเรื่องคุณอยู่ ผมให้คนไปจัดการแล้ว กำลังสืบอยู่ว่าเป็นฝีมือใคร แต่คนๆนี้ดูท่าจะไม่เบา เลยยังสืบไม่ได้ข้อมูลอะไร เฉินเสี่ยวเชี่ยน นี่คุณไปก่อเรื่องอะไรไว้หรือเปล่า?”
“ก่อเรื่องเหรอ? เปล่านะ ฉันอยู่ในมหาลัยไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลยนะ” คนเดียวที่เธอชอบไปหาเรื่องก็คือตาเสี่ยวเฉียงผู้เส้นเลือดฝอยในจมูกเปราะบาง ชอบแกล้งให้เขาเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ
“แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนกำลังสืบชีวิตประจำวันของคุณ รวมถึงรูปถ่าย ชีวิตคุณในมหาลัย แล้วก็เรื่องประวัติความรัก ลูกน้องของผมไปเจอเข้าพอดี ผมเลยสั่งให้เอาข้อมูลจริงบ้างเท็จบ้างบอกไป”
“เข้าใจแล้ว นายทำถูกแล้ว” เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจ ถ้าเจิ้งซวี่ไม่ทำแบบนั้น อีกฝ่ายก็ไปสืบจากคนอื่นอยู่ดี
แล้วใครกันที่กำลังตามสืบเรื่องเธอ?
นี่คือปริศนา
“แค่นี้ก่อนนะแบตฉันจะหมด” เสี่ยวเชี่ยนวางสาย หน้าจอโทรศัพท์ปรับแสงลดลงแล้ว แบตเธอเหลืออีกแค่นิดเดียว
ทันใดนั้นเองก็มีสายเข้า เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ทันได้เห็นว่าเบอร์ใครโทรศัพท์ก็ดับ
ใครกันนะ?