อวี๋หมิงหลางไม่ได้ใจร้าย เขาเองก็อยากฝึกมือสไนเปอร์ที่มีพรสวรรค์
แต่เรื่องบางอย่างบังคับกันไม่ได้จริงๆ
ต่อให้หวางย่าเฟยต่อจากนี้ไม่จับปืนอีกก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเขา แต่ก่อนที่เขาจะคิดได้ อวี๋หมิงหลางไม่มีทางปล่อยให้ใครเข้าไปเตือนสติเขา
มีคนดีใจ มีคนเสียใจ มีคนได้ประสบการณ์แล้วเติบโต บางคนก็คิดว่าฝันสลาย สถานการณ์จำลองพิเศษนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน
เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับหัวหน้าใหญ่จะดีขึ้นเพราะหลิวลี่หรือเปล่า แต่ตอนที่อวี๋หมิงหลางเล่าเรื่องการช่วยเหลือกันระหว่างหลิวลี่กับหัวหน้าใหญ่ให้ศาสตราจารย์หลิวฟัง เสี่ยวเชี่ยนมั่นใจว่า เธอเห็นอาการหวั่นไหวในดวงตาของอาจารย์
ตอนที่เห็นอาจารย์เดินไปทางสองพ่อลูก ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกได้ยืนด้วยกันอีกครั้ง เสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกประทับใจ
“เสี่ยวเฉียง”
“หืม?”
“ครั้งนี้นายได้ทำความดีนะ”
อวี๋หมิงหลางพูดอย่างภูมิใจ “แน่นอน ต่อไปถ้าคุณมีปัญหาอะไรอย่าแบกไว้คนเดียว กล้าๆพุ่งเข้าไปเลย เรื่องที่คุณแก้ไขไม่ได้ก็ยังมีผมอยู่”
ยังมีผมอยู่ สี่คำนี้เป็นคำแสดงความรักที่ไพเราะที่สุดที่เสี่ยวเชี่ยนเคยได้ยิน
ให้กำลังใจได้มาก มีพลังสุดๆ ฟังแล้วไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ความรู้สึกที่มีคนยืนอยู่กับเธอมันดีจริงๆ
ตอนที่ศาสตราจารย์หลิวเดินเข้าไป หัวหน้าใหญ่กำลังยืนเกาะบ่าลูกชายพลางสรุปผลงานที่เพิ่งได้ทำกันไป
ดวงตาของหลิวลี่ยังแดงๆอยู่ ความรู้สึกที่มีต่อพ่อกำลังเพิ่มขึ้น
พอเห็นแม่เดินมาเขาก็รีบนั่งตัวตรง ไม่กล้าให้พ่อเกาะบ่าแล้ว
“โตขนาดนี้แล้วยังจะร้องไห้อีก?” ศาสตราจารย์หลิวถาม
“ในเขาลมแรง…” หลิวลี่พูดอย่างอายๆ
“ครั้งนี้ลูกทำได้ดีมาก อย่าว่าเขาเลย” หัวหน้าใหญ่ปกป้องลูกชาย
พูดจบก็เสียใจ หญิงสูงวัยคนนี้อารมณ์ร้ายจะตาย พูดออกไปแบบนั้นถ้าเป็นตอนปกติได้ลงไม้ลงมือแล้ว
หัวหน้าใหญ่แอบหวั่นใจ ฝ่ามือของศาสตราจารย์หลิวยังไม่ทันลอยไปก็ได้ยินเธอถามขึ้นมาก่อน
“เหล่าหลิว ตอนนั้นดึงสลักระเบิดมือจริงๆเหรอ?”
“เอ่อ บทเขียนมาแบบนั้น” อันที่จริงตอนนั้นในใจของหัวหน้าใหญ่รู้อยู่แล้วว่าเป็นการแสดง แต่ตอนที่เห็นลูกชายพยายามช่วยเขาสุดชีวิต เขาก็อินไปกับบทเลยทันที
ตอนดึง เขาต้องการให้ลูกชายไปจริงๆ โทษอวี๋หมิงหลางนั่นแหละที่แสดงได้สมจริงมาก
“มิน่าล่ะ คุณน่ะ แม้แต่สถานการณ์จำลองยังคิดจริงได้ฉันล่ะยอมเลยจริงๆ แก่ปูนนี้แล้วยังคิดไม่ได้อีก”
หัวหน้าใหญ่ยิ้มอย่างอายๆ ยังคงปากแข็ง อยากรักษาหน้าตัวเองไว้อยู่ “ต้องโทษอวี๋หมิงหลางเจ้าบ้านั่นที่ลงมือโหดเ**้ยมเกินไป ผมล่ะสงสัยว่าเขาเอาความแค้นตอนปกติมาลงตอนนั้นหมด หมัดที่เขาชกมาที่ท้อง ผมเจ็บจริงนะนั่น”
ไม่โทษที่ลูกคิดจริง ตอนนั้นเขาก็รู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคนร้ายจริงๆ
“ไม่เป็นไร ความแค้นเรื่องงานเรื่องส่วนตัวที่อวี๋ไข่เหล็กเอาไปลงกับคุณตอนแสดง คุณรอดูเถอะ ฉันจะเอาไปลงกับการบ้านของเสี่ยวปืนเหล็ก พวกเราค่อยล้างแค้นคืน”
คำพูดของศาสตราจารย์หลิวทำให้หัวหน้าใหญ่ตกใจ วันนี้ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้…ดูอ่อนโยนนัก?
ศาสตราจารย์หลิวประทับใจกับการกระทำของหัวหน้าใหญ่ในวันนี้จริงๆ อันที่จริงตอนที่เขายอมให้ลูกเข้าร่วมการทดสอบนี้ ศาสตราจารย์หลิวก็ไม่ได้เกลียดเขาเท่าไรแล้ว พอได้ฟังที่อวี๋หมิงหลางเล่าว่าหัวหน้าใหญ่ทำเรื่องแบบนั้นเพื่อลูก เห็นเขาสั่งสอนลูก เธอก็รู้สึกน้ำตารื้น
เธอตำหนิเขามาตลอดที่ไม่สั่งสอนลูกให้ดี แต่ตอนนี้มาคิดดู การจากไปของลูกชายคนโตจะโทษเขาก็ไม่ได้ เพียงแต่สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจยังทำเธอเสียใจทำให้ต้องหาที่ระบาย คล้ายกับว่าการเอาความผิดป้ายไปที่หัวหน้าใหญ่แล้วเธอจะรู้สึกผิดต่อลูกชายคนโตน้อยลง
แต่การแสดงออกของหวางย่าเฟยเมื่อครู่ทำให้ศาสตราจารย์หลิวคล้ายกับได้มองเห็นตัวเอง
สภาพหวางย่าเฟยที่อยากเกลียดแต่ก็เกลียดไม่ได้ ทำได้แค่พาลโกรธเฉินเสี่ยวเชี่ยน นั่นมันเหมือนท่าทีที่เธอทำกับเหล่าหลิวเลยไม่ใช่เหรอ?
พอมาเป็นคนสังเกตการณ์แล้วถึงได้เห็นตัวเองบนตัวหวางย่าเฟย ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำมันไม่ยุติธรรมกับหัวหน้าใหญ่
แต่หัวดื้อมาทั้งชีวิต ทำให้ศาสตราจารย์หลิวยังมีมาดอยู่ จะให้ออกหน้าเต็มตัวก็ไม่ใช่ ทำได้แค่อ่อนลงทีละนิดๆ
หัวหน้าใหญ่รู้สึกได้ว่าศาสตราจารย์หลิวดูอ่อนลง ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นทันที นี่การกลับไปแต่งงานอีกครั้งมีความหวังแล้ว
ส่วนหลิวลี่พอเห็นแบบนั้นก็มองพ่อ แล้วก็มองแม่ ทันใดนั้นไอเดียก็มา
“แม่ ผมเป็นโรค”
“โรคอะไร?” ศาสตราจารย์หลิวรีบเบนความสนใจแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
หัวหน้าใหญ่พอได้ยินลูกชายพูดแบบนั้นก็เข้าใจทันที รีบเป็นกองหนุน
“ใช่ๆๆ เสี่ยวลี่ป่วย คือ เสี่ยวเชี่ยนบอกว่า เขามีอาการของโรคอารมณ์แปรปรวน โรคนี้เนี่ยต้องให้พ่อคอยดูแล แน่นอนว่าแม่ก็ต้องดูแลด้วยเหมือนกัน พวกเราสามคนต้องอยู่กันพร้อมหน้าบ่อยๆ”
หัวหน้าใหญ่เป็นคนประเภทที่ว่าแค่หยิบยื่นบันไดมาก็พร้อมก้าวขึ้นไปเหยียบ
ก่อนหน้านี้อยากพูดกับศาสตราจารย์หลิวเรื่องนี้แต่ไม่กล้า พอศาสตราจารย์หลิวอ่อนลงหน่อยเขาก็รีบให้ความร่วมมือกับลูกชายคว้าโอกาสไว้ทันที
“เสี่ยวปืนเหล็กพูด…ว่าโรคอารมณ์แปรปรวนต้องให้พ่อแม่คอยดูแล?” ศาสตราจารย์หลิวพอจะฟังปัญหาออกแล้ว
ใช่ว่าเฉินเสี่ยวเชี่ยนจะไม่เคยรักษาโรคอารมณ์แปรปรวน จะผิดพลาดเรื่องความรู้ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอ? คงจะหลอกคนนอกสินะ
อีกอย่าง หลิวลี่เป็นลูกของเธอ ถึงแม้เธอจะคอยจับผิดอยู่บ่อยๆ บอกว่าลูกคนนี้เหมือนคนเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน แต่นั่นก็พูดไปเพราะความโมโห ป่วยจริงไหมเธอเองรู้ดีแก่ใจ
“ใช่ๆ ต้องอยู่ดูแล ครอบครัวสามคน ขาดไม่ได้แม้แต่คนเดียว เสี่ยวหลิว ผมรู้ว่าคุณไม่ค่อยพอใจผม ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่นี่เป็นการทำเพื่อลูกไม่ใช่เหรอ?” เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าใหญ่รู้สึกว่า การป่วยก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน เอาลูกเป็นข้ออ้างข่มเสี่ยวหลิวได้ เพอร์เฟค
“แม่ โรคของผมหนักมากเลยนะ ไม่แน่วันไหนอาจจะเป็นบ้าก็ได้ ไม่มีพ่อกับแม่ไม่ได้จริงๆนะ แม่ก็ให้พ่อกลับมาอยู่บ้านบ้างเป็นครั้งเป็นคราวได้ไหม?”
“อยู่เหรอ?”
“ผมไม่อยู่ห้องคุณก็ได้ ผมอยู่ห้องเสี่ยวลี่ ใช่ไหมลูกชาย? ผมไม่ไปรบกวนฟรีๆนะ ผมผัดไข่เป็นนะ”
“คุณผัดไข่ทีเทน้ำมันครึ่งขวด สงสารกระทะฉันเถอะ แล้วก็ ห้องเสี่ยวลี่เป็นเตียงเดี่ยวจะนอนได้ไง?”
หัวหน้าใหญ่ได้ยินดังนั้นก็หน้าเจื่อน ไม่ได้จริงๆสินะ เธอยังคงโกรธเขาอยู่
“เอาบ้านเก่าของเราขายทิ้งซะแล้วซื้อบ้านใหม่ ฉันลืมเสียวซ่วงไม่ได้ อยู่ที่นั่นก็มีแต่จะสะเทือนใจ อพาร์ทเม้นท์ของมหาวิทยาลัยคุณมาก็ไม่สะดวก ซื้อบ้านที่ใหญ่ขึ้น อย่าเอาที่ไกลมหาวิทยาลัยมากนัก เอาแบบสามห้องนอน ฉันต้องมีห้องหนังสือไว้ทำงาน ถ้าเงินไม่พอคุณออกเพิ่ม”
ศาสตราจารย์หลิวพูดจบหัวหน้าใหญ่ก็ยืนอึ้ง นี่มัน…
หลิวลี่ก็อึ้ง
สองพ่อลูกสีหน้าไปในทางเดียวกัน
เดิมคิดว่าการเกลี้ยกล่อมศาสตราจารย์หลิวจะเป็นอะไรที่เปลืองแรงมาก แต่พอเธอพูดแบบนี้ เปลี่ยนบ้าน อีกทั้งยังยอมให้เหล่าหลิวกลับมาได้บ่อยๆด้วย?
“มองอะไรเล่า ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงแต่งงานอีกรอบนะ แค่ให้โอกาสคุณ ต่อไปจะเป็นยังไงก็ต้องดูพฤติกรรมแล้ว ฉันไม่ได้ทำเพื่อตาแก่ชั่วๆอย่างคุณหรอกนะ ฉันยังโกรธคุณอยู่ นี่ก็ นี่ก็ทำเพื่อลูกไม่ใช่เหรอไง?” ศาสตราจารย์หลิวถูกมองจนทั้งเขินทั้งโกรธ และก็ทำตัวเลียนแบบหัวหน้าใหญ่ เอาเรื่องลูกมาอ้าง