“ฉันอนุญาตให้เขาทำแบบนั้นเอง” ถึงแม้ศาสตราจารย์หลิวจะใช้ความรุนแรงกับเสี่ยวเชี่ยนบ้างเป็นครั้งคราว แต่ในใจให้ความสำคัญกับเสี่ยวเชี่ยนมาก พอเกิดเรื่องก็ออกรับหน้าแทน
“ความฝันที่ผมหวังไว้มาหลายปีถูกพวกคุณทำพังไปแบบนี้ แต่ที่น่าสมเพชยิ่งกว่าก็คือ ผมไม่รู้ว่าควรเกลียดใคร”
หวางย่าเฟยพูดอย่างอ่อนแรง
ถึงแม้เขาจะพูดแบบนั้นกับเสี่ยวเชี่ยน แต่ในใจกลับว่างเปล่า ตอนนี้สมองของเขาไม่สามารถประมวลความคิดอย่างมีสติได้ แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า คำพูดนั้นของเขาไม่เหมาะสม
ผ่านความเหนื่อยล้ามาสามวัน ความฝันอยู่ห่างออกไปแค่ก้าวเดียว กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ความรู้สึกนี้ยากจะบรรยาย
“ทำไมต้องเกลียดล่ะ? สิ่งที่พลาดไปก็ย่อมมีเหตุผลที่ต้องพลาด สุขภาพของคุณในตอนนี้ ถ้าเข้าหน่วยรบพิเศษไปจะเกิดอะไรขึ้น คิดว่าคุณเองก็คงรู้ดี เมื่อเทียบกับความจริงถูกเปิดเผยตอนนั้น ไม่สู้ออกมารักษาตัวอย่างสบายใจดีกว่า”
“รักษาตัว…หึหึ”
ทำไมคนที่ป่วยต้องเป็นเขาด้วย?
พอนึกถึงตัวเองที่ฝึกซ้อมทุกวัน กลับถูกคัดออกด้วยปัญหานี้
“ต่อไปฉันจะรักษาคุณ อาการของคุณจะว่าไงดีล่ะ อันที่จริงก็ไม่ได้หนักหนาอะไร หลังจากรักษาไม่กี่ครั้งก็ยังมีความหวังที่จะหายดี”
คำพูดของศาสตราจารย์หลิวไม่ได้ทำให้หวางย่าเฟยรู้สึกดีขึ้น กลับยิ่งทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ
รู้สึกแย่ที่ เขาไม่รู้ว่าใครถูก แม้แต่จะเกลียดใครเขาก็ไม่รู้ ในใจอึดอัดแปลกๆ
“ผมไม่จำเป็นต้องรักษา ก็แค่ยิงปืนกับคนจริงไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? ผมก็กลับไปปลูกผัก พอถึงเวลาก็ปลดประจำการเป็นคนธรรมดา ไม่จับปืนตลอดชีวิตก็ไม่ต้องทำผิด ผมทนพอแล้วกับหมออย่างพวกคุณที่อ้างเรื่องจรรยาบรรณ ตอนที่พวกคุณทำเรื่องนี้ไม่ได้ถามความเห็นผมด้วยซ้ำ ตอนนี้ผมมีสิทธิ์เลือกชีวิตตัวเอง”
ศาสตราจารย์หลิวถอนหายใจ “หนุ่มน้อย คุณอายุยังน้อย คุณไม่รู้หรอกว่าที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อคุณทั้งนั้น…”
ถ้าเสี่ยวเชี่ยนบอกเขาก่อน หวางย่าเฟยก็จะสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกจริง และเขาก็คงตามหาอดีตที่ถูกปิดผนึกไว้ไม่เจอ นึกไม่ออก แล้วก็จะรักษาไม่ได้ ถึงตอนนั้นคนๆนี้ก็คงหมดหนทางเยียวยาแล้วจริงๆ
ทำได้แค่ใช้วิธีนี้ช่วยให้เขาได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์จำลองเสมือนจริง
ตอนนี้ในใจของหวางย่าเฟยรู้สึกยากเกินกว่าจะรับได้ นี่คือปฏิกิริยาของคนปกติ เขารู้สึกว่าเสี่ยวเชี่ยนทำผิดจรรยาบรรณ เอาเรื่องของเขาไปบอกหน่วย แต่เขากลับไม่รู้ว่า ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่ทำแบบนั้น แล้วมาปรึกษากับเขาก่อน หวางย่าเฟยก็คงกลายเป็นคนไร้ความสามารถ
ต่อให้ตอนนี้เข้าหน่วยรบพิเศษได้ พอถึงตอนหลังที่ทางหน่วยทำการฝึกซ้อมจริง ก็จะสังเกตเห็นทันที ที่น่ากลัวกว่าก็คือ ถ้าไม่ได้ผ่านการซักซ้อมเสมือนจริงแล้วไปทำภารกิจ ผลที่ตามมายากจะคาดเดาได้
กรณีของเขาค่อนข้างพิเศษ ยิงกับเป้ามองอาการไม่ออก ไม่ว่าจะเป้าเคลื่อนที่ เป้ารูปคน หรือหุ่นเสมือนคนจริง ล้วนไม่พบปัญหาใดๆ แต่ที่ร้ายแรงก็คือ ขอแค่เป็นคนจริงเขาก็จะเกิดอาการเวียนหัว หากหน้ามืดตอนไม่ใช่เวลาก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ศาสตราจารย์หลิวคิดว่าสิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนทำไม่มีอะไรไม่ดี ถึงแม้หากพิจารณากันจริงๆจะผิดต่อจรรยาบรรณ แต่จากมุมมองของเธอ หากเป็นเธอก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน
แต่คนเราเมื่อมาถึงจุดนี้ความคิดก็จะสะดุดได้ง่าย หวางย่าเฟยในเวลานี้กำลังเป็นแบบนั้น
“พวกคุณไปเถอะ ผมไม่มีทางรับการรักษา วางใจได้ ถึงเวลาผมจะไปเอง เรื่องใหญ่ที่พวกคุณเป็นห่วงนักหนาไม่มีทางเกิดแน่ ผมจะไม่จับปืนแล้ว”
หวางย่าเฟยพูดด้วยความโกรธแต่อ่อนแรง อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไป แต่ตอนนี้เขาอยากหนีไป
“เขาอยากช่วยคุณจริงๆ แต่คุณกลับเข้าใจเขาผิด การปฏิเสธการรักษาไม่เป็นผลดีกับคุณเลยสักนิด” ศาสตราจารย์หลิวพูดใส่หลังหวางย่าเฟยที่ดูโดดเดี่ยว
สิ่งที่ได้รับเป็นเพียงความเงียบ ทหารคนหนึ่งที่พาความฝันมาได้ฝันสลายลง ไม่อยากพูดอะไรอีก
ศาสตราจารย์หลิวส่ายหน้า เธอยังยืนยันความคิดตัวเอง เสี่ยวเชี่ยนไม่ผิด
เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางพอกอดกันพอแล้วก็เดินเคียงข้างกันมา
“เสี่ยวปืนเหล็ก เขาปฏิเสธการรักษา เดี๋ยวไว้ฉันจะมาปรับมุมมองเขา เธอไม่ต้องคิดมากนะ เธอทำถูกแล้ว”
ศาสตราจารย์หลิวสร้างความมั่นใจให้เสี่ยวเชี่ยนอีกครั้ง เสี่ยวเชี่ยนกระพริบตาถี่ๆ
“หนูได้ยินไม่ชัด อาจารย์พูดอีกครั้งสิคะ”
“เธอทำถูกแล้ว”
“ก็ยังได้ยินไม่ชัด…”
“เธอทำถูก…เดี๋ยวนะ ยัยเด็กคนนี้นี่ จงใจแกล้งฉันเหรอ?”
ถูกต้อง ก็แกล้งอาจารย์ไงคะ เสี่ยวเชี่ยนอยากฟังคำยืนยันจากอาจารย์ การกลั่นแกล้งสำเร็จด้วยดี
ศาสตราจารย์หลิวขำ จากนั้นก็ชี้หน้าเสี่ยวเชี่ยน “เธอนี่นะ เสียทีที่ฉันเป็นห่วง ยังคิดว่าเธอจะเสียใจ”
ปรากฏว่ายัยเด็กคนนี้ดูไม่แคร์จริงๆ
ใจกว้างจริงๆ
“หนูจะเสียใจทำไมคะ? คนที่เกลียดหนูมีเยอะแยะไป เขานี่ลำดับที่เท่าไรกัน?” ที่เสี่ยวเชี่ยนทำแบบนี้มีวัตถุประสงค์เดียวนั่นก็คือ ไม่อยากให้อวี๋หมิงหลางวุ่นวายในภายหลัง
เธอบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว หวางย่าเฟยจะเข้าใจก็ดี ไม่เข้าใจก็ช่าง คนที่เธออยากปกป้องมีแค่อวี๋หมิงหลางผู้ชายของเธอเท่านั้น
“ไว้ฉันจะไปหาเขา เขาบอกว่าจะไม่จับปืนอีกแล้ว จะกลับไปเป็นทหารปลูกผักเหมือนเดิม พอถึงเวลาก็จะปลดประจำการ”
“ไม่จำเป็น” คนที่พูดคืออวี๋หมิงหลาง
“ไม่อยากได้ทหารคนนี้แล้วเหรอ?” ศาสตราจารย์หลิวถาม จากข้อมูลที่ได้กลับมา อวี๋หมิงหลางน่าจะแคร์หวางย่าเฟยคนนี้มากอยู่
“อยากครับ แต่ถ้าตัวเขาเองแม้แต่อุปสรรคแค่นี้ยังไม่กล้าเผชิญ งั้นเขาก็ไม่เหมาะจะเป็นทหารของผม ทหารของผมต้องเจออุปสรรคมากกว่านี้เยอะ ทหารหน่วยรบพิเศษต้องบีบบังคับคนให้จนมุม ออกรบอย่างโดดเดี่ยวได้ ควรเป็นทหารที่แข็งแกร่งที่สุด เอาชนะอุปสรรคได้ทุกอย่าง พวกเราไม่มีใครคอยเป็นกองหนุน ต้องเข้าสู่จิตใจส่วนลึกของศัตรู ไม่มีอะไรทั้งนั้น ที่มีก็คือความเชื่อและการยืนหยัดอดทน ถ้าอุปสรรคแค่นี้ก็ทำให้เขากลับไปปลูกผักได้แล้ว งั้นเขาก็ไม่เหมาะจะเป็นทหารของผม”
อวี๋หมิงหลางไม่ได้พูดด้วยอารมณ์
เขาจริงจังและพร้อมรับผิดชอบกับคำพูดนี้
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า แล้วสบตากับอวี๋หมิงหลางอย่างเข้าใจกัน
อันที่จริงเรื่องนี้เสี่ยวเชี่ยนก็เคยคุยกับอวี๋หมิงหลางก่อนหน้านี้ เสี่ยวเชี่ยนหวังว่าอวี๋หมิงหลางจะให้โอกาสหวางย่าเฟยได้ทดสอบเป็นการส่วนตัวอีกครั้งหลังจากที่อาการของเขาหายดี ถ้าผ่านก็ให้เขาเข้าหน่วย เพราะทหารดีๆหายาก
โรคจิตเวชใช่ว่าจะรักษาไม่หาย ทุกคนต่างมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคจิตเวชในช่วงวัยที่ต่างกัน ก็เหมือนกับไข้หวัดที่เป็นกันได้ง่าย ไม่อาจปฏิเสธพรสวรรค์และความพยายามที่ทหารคนนี้มีเพียงเพราะเขาเคยเป็นโรคจิตเวช แบบนั้นมันคือการเหยียด
อวี๋หมิงหลางยอมทำตามคำขอร้องของเสี่ยวเชี่ยน แต่ก็ได้บอกถึงหลักการของเขาอย่างชัดเจน จะทำให้เป็นกรณีพิเศษ แต่เงื่อนไขคือ หวางย่าเฟยจะต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ เพราะอวี๋หมิงหลางอยากฝึกเขาเป็นมือสไนเปอร์ นี่คือตำแหน่งพิเศษที่จิตใจต้องแข็งแกร่งมาก ห้ามผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว
ตำแหน่งพิเศษ เงื่อนไขก็ยิ่งต้องเข้มงวด ดังนั้นอวี๋หมิงหลางจึงไม่ให้ศาสตราจารย์หลิวไปหาหวางย่าเฟย นี่ก็ถือเป็นความรับผิดชอบต่อหวางย่าเฟยเหมือนกัน
ก็เหมือนกับที่หลิวลี่ไม่ขอเข้าเป็นทหารอีก งานที่เหมาะกับแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ถ้าไม่เหมาะสมจริงๆก็อย่าฝืนจะดีกว่า
อวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนมองหน้ากัน ในสายตาของทั้งสองคนต่างอ่านใจของกันและกันออก