เล่ม 1 ตอนที่ 27 หลิงหลง

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าคราวก่อนระหว่างกระบวนการยอมรับเป็นเจ้านายของเจ้าวิญญาณน้อย คล้ายว่าจะต้องใช้หยดเลือดของตนเอง จากนั้นเธอจึงวางนิ้วของตัวเองลงบนกริช แต่เธอยังไม่ทันได้ขยับเลย หลิงหลงก็กรีดเธอเข้าครั้งหนึ่ง โลหิตจึงหลั่งไหลลงบนกริช

“เห็นเจ้าสนิมเขรอะอย่างนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังคมกริบอยู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เธอคิดจะดึงมือของตนกลับมา แต่กลับพบว่าไม่อาจผละออกจากร่างกริชของหลิงหลงได้ สถานการณ์เหมือนกันกับเจ้าวิญญาณน้อยเมื่อคราวก่อนทุกประการ

เธอรู้สึกราวกับว่าโลหิตทั้งร่างถูกหลิงหลงสูบไปจนหมดสิ้น ร่างกายเยียบเย็นอยู่บ้าง เธอยังไม่ทันได้คิดว่าตนจะถูกสูบจนกลายเป็นมัมมี่หรือไม่ ตัวเองก็ล้มลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว

“เย่ว์เย่ว์!” เจ้าคำรามน้อยมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์หมดสติไปก็รีบเหาะเข้ามาในทันที

“วางใจเถิด เพียงแค่เสียเลือดมากเกินไปเท่านั้นเอง ไม่ตายหรอกน่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

หลังจากหลิงหลงสูบเลือดไปมากพอแล้ว เพียงครู่เดียวก็เอนตัวลงข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ ก่อนจะเรอเสียงดังอย่างพึงพอใจ จากนั้นคราบสนิมที่อยู่บนกริชก็ร่วงหล่นลงจนหมด กริชทั้งเล่มสะอาดเอี่ยมเสียจนนำมาใช้ส่องแทนกระจกได้เลยทีเดียว บริเวณคมกริชเปล่งประกายเยียบเย็น มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าแหลมคมหาใดเทียม

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น หลังจากที่คราบสนิมหลุดออกจนหมดแล้ว กริชกลับโปร่งแสงขึ้นมาในทันใด เจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิญญาณน้อยเห็นเพียงแค่ว่าเลือดของซือหม่าโยวเย่ว์ไหลเวียนไปมาอยู่ภายในกริช ทำให้ทั่วทุกตารางนิ้วของกริชชุ่มไปด้วยเลือด ในขณะเดียวกันลำแสงสีแดงสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาอย่างเจิดจ้าจนแทบจะทำให้ทั่วทั้งมณีวิญญาณระยิบระยับไปด้วยประกายสีแดง

ยังดีที่ตอนนี้อยู่ภายในมณีวิญญาณ ถ้าหากอยู่ข้างนอกแล้วล่ะก็ ความเคลื่อนไหวนี้จะต้องชักนำความวุ่นวายเข้ามาไม่น้อยอย่างแน่นอน

เจ้าวิญญาณน้อยและเจ้าคำรามน้อยต่างก็ลืมตาไม่ขึ้นเพราะลำแสงสีแดงอันเจิดจ้า พอลำแสงสีแดงจางหายไปแล้วพวกเขาจึงลืมตาขึ้น ก็มองเห็นเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่งนั่งอยู่บนร่างของซือหม่าโยวเย่ว์พลางหัวเราะอย่างเบิกบานใจ เจ้าเด็กน้อยผู้นั้นมีน้ำเสียงแหลมเล็กราวกับตุ๊กตาที่มีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

“เด็ก… เด็กน้อยอย่างนั้นหรือ” เจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิญญาณน้อยต่างพากันตะลึงงัน “เจ้า.. เจ้ากลายเป็นเด็กน้อยไปได้อย่างไรกัน” เจ้าวิญญาณน้อยชี้ไปยังหลิงหลง “นอกจากนี้เจ้ายังเป็นหญิงอีกต่างหาก!”

ถึงแม้ว่าหลิงหลงนี้จะอยู่ภายในมณีวิญญาณมาเป็นระยะเวลาหลายสิบล้านปีแล้วก็ตาม แต่ก็อยู่ในรูปลักษณ์ของกริชเล่มหนึ่งมาโดยตลอด เขาย่อมไม่เคยคิดมาก่อนอยู่แล้วว่าหลิงหลงผู้นี้จะเป็นตุ๊กตาเด็กหญิงตัวน้อยไปได้

“เพราะเหตุใดข้าจึงจะแปลงกายเป็นเด็กน้อยมิได้เล่า ตัวเจ้าเองก็ยังเป็นเด็กน้อยเหมือนกันได้เลยมิใช่หรือไร เฮอะ!” หลิงหลงหมุนกายหันหลังให้เจ้าวิญญาณน้อยแล้วมองดูสีหน้าซีดขาวของซือหม่าโยวเย่ว์ก่อนจะถามว่า “เมื่อใดเจ้านายจึงจะฟื้นขึ้นมานะ”

“น้องสาวคนสวยเอ๋ย!” เจ้าคำรามน้อยเหาะมาตรงหน้าหลิงหลงแล้วพูดว่า “น้องหลิงหลงอย่าได้เป็นกังวลไปเลยนะ อีกไม่นานเย่ว์เย่ว์ก็คงจะฟื้นแล้วละ!”

“น้องสาวบ้านเจ้าสิ!” หลิงหลงลุกขึ้นเสียงดังตึงตังแล้วเตะเข้าบนหน้าเจ้าคำรามน้อยทีหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ตอนพี่สาวก่อร่างขึ้นมา ไม่รู้เลยว่าเจ้ายังอยู่ที่ขุมไหน ยังมิได้ฟักตัวเลยกระมัง! ยังจะกล้าเรียกข้าว่าน้องสาวอีก! ถ้าอยากจะเรียกก็เรียกข้าว่าพี่หลิงหลิงสิ!”

เจ้าคำรามน้อยรู้สึกว่าใบหน้าของตนแทบจะถูกเหยียบแบนจนกลายเป็นขนมเปี๊ยะอยู่แล้ว มันยื่นอุ้งเท้าน้อยๆ ของมันไปตบบนขาของหลิงหลงเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ขาของพี่หลิงหลงคงจะเจ็บแล้วกระมัง อยากจะให้ข้าเป่าให้พี่สักหน่อยหรือไม่”

“แค่เนื้อหนังอ่อนปวกเปียกของเจ้าจะทำให้ข้าเจ็บปวดได้อย่างนั้นหรือ” คำเรียกหาว่าพี่หลิงหลงทำให้หลิงหลงได้ใจอย่างยิ่ง เจ้าอสูรน้อยตัวนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน จากนั้นนางก็เหาะกลับไปนั่งลงบนร่างซือหม่าโยวเย่ว์แล้วใช้มือน้อยเท้าคางพลางมองเธอที่หลับใหลไม่ได้สติด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล

นับได้ว่าเจ้าคำรามน้อยมองออกว่าหลิงหลงผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่มีอารมณ์ร้อนอย่างแน่นอน หากเจอเรื่องที่ขัดหูขัดตา ก็จะต้องลงไม้ลงมือ มิน่าเล่าคนอย่างเจ้าวิญญาณน้อยจึงมิอาจทนนางได้ จึงเป็นคู่กัดกับนางมานานปีถึงเพียงนี้

แต่ดูเหมือนว่านางจะชื่นชอบซือหม่าโยวเย่ว์เป็นอย่างยิ่ง แสดงออกมาตั้งแต่ก่อนที่พวกนางจะยอมรับเป็นเจ้านายแล้ว แต่เพราะเหตุใดกัน

ไม่เพียงแต่เจ้าคำรามน้อยเท่านั้นที่คิดไม่ออก แม้กระทั่งเจ้าวิญญาณน้อยก็คิดไม่ออกเช่นเดียวกัน มันอยู่กับหลิงหลงมานานปีถึงเพียงนี้แล้ว เคยเห็นนางออกไปหาเจ้านายครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ต้องผิดหวังกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนคร้านจะออกไปหาในท้ายที่สุด แล้วก็ค้างอยู่ภายในมณีวิญญาณมาโดยตลอด

เพราะเหตุใดคนที่จุกจิกจู้จี้กับการเลือกเจ้านายเช่นนี้ จึงชื่นชอบผู้ที่เพิ่งจะสำเร็จเป็นผู้ฝึกวิญญาณอย่างซือหม่าโยวเย่ว์เล่า

เจ้าวิญญาณน้อยถามข้อสงสัยของตนออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลิงหลงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า“เพราะว่านางเข้าใจข้าอย่างไรเล่า”

“แต่มิใช่ว่าอาวุธเทพทางด้านการโจมตีอย่างเจ้าจะชอบคนที่แข็งแกร่งหรอกหรือ นางเพิ่งจะเริ่มต้นฝึกยุทธ์เท่านั้นเองนะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด

“นางจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งแน่” หลิงหลงพูดอย่างมั่นใจ

พอพูดจบนางก็ยื่นมือเล็กป้อมไปกุมใบหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้เห็นฉากที่ไม่ได้เห็นมานานแล้วอีกครั้ง เปลวเพลิงอันแรงกล้าเผาคฤหาสน์อันหรูหรางดงามจนกลายเป็นเถ้าถ่าน นี่ไม่ใช่อะพาร์ตเมนต์เดิมบนโลกของเธอ หากแต่เป็นอาคารอันโบร่ำโบราณ เหนือประตูใหญ่มีป้ายจวนซีเหมินแขวนเอาไว้ เปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ป้ายเหนือประตูอันหรูหราถูกกลืนกินไปในทันใด

เมื่อเห็นทั้งจวนจมหายไปในกองเพลิง หัวใจของซือหม่าโยวเย่ว์ก็คล้ายกับถูกทิ่มแทงด้วยมีดดาบอันแหลมคมจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไรอย่างนั้น เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางกองเพลิงพลางหัวเราะใส่เธอ “ซีเหมินโยวเย่ว์ เจ้าดูบ้านของเจ้าสิ กลายเป็นกองขี้เถ้าไปจนหมดแล้ว ฮ่าๆๆ ตอนนี้เจ้าจะยังเอาอะไรมาสู้กับข้าได้อีกเล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นใบหน้าของนางไม่ชัด แต่ว่านางจำเสียงนั้นได้ น้ำเสียงนั้นหวีดแหลมหาใดเปรียบ และเป็นน้ำเสียงที่กรีดแทงหัวใจของเธอ

เพราะเหตุใดกัน เพราะเหตุใดเธอจึงฝันเช่นนี้อีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เจ้าคำรามน้อยบอกว่าเป็นเรื่องราวในชาติก่อนที่เธอลืมเลือนไปหรือไม่

แต่เธอจำได้ว่าชาติก่อนนั้นเป็นการใช้ชีวิตอยู่บนโลก แล้วถูกมืออันดับสองขององค์กรวางระเบิดจนตายต่างหากเล่า

หรือจะบอกว่าเธอตายไปจากโลกแล้วข้ามมายังโลกแห่งนี้ แล้วใช้ชีวิตเป็นซีเหมินโยวเย่ว์มาชาติหนึ่ง รับตัวเจ้าคำรามน้อยมา และในที่สุดก็โดนล้างผลาญตระกูล ส่วนตัวเองก็โดนฆ่าตาย จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลใด การกลับชาติมาเกิดครั้งที่สองของตนจึงกลายเป็นคุณหนูคนไร้ค่าแสนโง่งมผู้นี้ได้

และเหมือนกับที่เจ้าคำรามน้อยบอกว่าก่อนที่ตนจะตายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงได้ลืมเลือนความทรงจำของชาตินี้ไป ส่วนเจ้าคำรามน้อยก็คือหลักฐานที่เป็นข้อพิสูจน์อันชัดเจนว่าเธอลืมเลือนความทรงจำไปจริงๆ มิใช่ภาพลวงตาแต่อย่างใด

“โยวเย่ว์ ถ้าหากว่าเจ้ามีชีวิตรอดต่อไปได้ ก็อย่าได้แก้แค้นให้พวกเราเป็นอันขาดเลยนะ การใช้ชีวิตให้ดีนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราอยากเห็นมากที่สุดแล้ว” น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลดังขึ้นมาจากทะเลเพลิง แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้ หัวใจของซือหม่าโยวเย่ว์กลับยิ่งทวีความเจ็บปวดขึ้นมา เธอตะโกนขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุมได้ “ท่านแม่…”

คำเรียกหาว่าท่านแม่คำหนึ่งทำให้สองตาที่แห้งผากของเธอเปียกชุ่มขึ้นมาในทันใด หยาดน้ำตาหลั่งรินลงมาอย่างมิอาจควบคุมได้

เธอเหมือนจะเห็นใบหน้าที่งดงามใบหน้าหนึ่งแนบติดกับใบหน้าเธอเบาๆ พลางแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “ดูสิ นี่คือบุตรสาวของพวกเราอย่างไรเล่า ช่างโตมาคล้ายคลึงกับท่านยิ่งนัก! งดงามราวกับดวงจันทร์บนท้องนภาเลยทีเดียว”

“เช่นนั้นพวกเราก็เรียกนางว่าโยวเย่ว์ก็แล้วกัน” เสียงชายผู้หนึ่งเอ่ยตอบ

“ดีเลย สาวน้อย จากนี้ไปเจ้าก็มีชื่อว่าซีเหมินโยวเย่ว์แล้วนะ ข้าคือท่านแม่ของเจ้า เจ้าจะต้องเปล่งเสียงเรียกแม่เป็นคำแรกให้ได้เลยนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์ยื่นมือออกมาหมายจะสัมผัสใบหน้าอันงดงามนั้น แต่ยังมิทันจะได้สัมผัสนาง เงาร่างนั้นก็สูญสลายหายไปท่ามกลางเปลวเพลิงเสียแล้ว

“ท่านแม่…”

หลิงหลงนั่งอยู่บนทรวงอกของซือหม่าโยวเย่ว์ ก็มองเห็นหยาดน้ำตาที่ไหลรินจากหางตาของเธอ จึงเอ่ยอย่างเจ็บปวดใจว่า “เย่ว์เยว์น้อยร้องให้ทำไมกันเล่า เย่ว์เย่ว์น้อยเศร้าเสียใจยิ่งนัก นางกำลังเจ็บปวดหัวใจ หลิงหลงก็อยากร้องไห้ด้วยเช่นกัน ฮือๆ…”

เจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิญญาณน้อยก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดภายในใจของซือหม่าโยวเย่ว์เช่นเดียวกัน เจ้าวิญญาณน้อยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เจ้าคำรามน้อยเดาได้ว่าจะต้องเป็นเพราะนางได้เห็นความทรงจำบางอย่างในชาติก่อนอย่างแน่นอน

“เย่ว์เย่ว์น้อย เจ้าอย่าร้องไห้เลยนะ พวกเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง!” หลิงหลงปีนไปอยู่บนทรวงอกของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอื้อมมือไปปาดน้ำตาที่หางตาให้กับเธอ

ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาทั้งสองขึ้นช้าๆ ร่องรอยหยดน้ำตาเลือนหายไปแล้ว เธอมองเงาร่างที่คล้ายกับยังไม่เลือนหายไปตรงหน้าพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ เย่ว์เอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน…”

…………………