“เย่ว์เย่ว์น้อย ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว” หลิงหลงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาจึงเอ่ยขึ้นอย่างยินดี
ซือหม่าโยวเย่ว์ยกมือขึ้นเช็ดรอยน้ำตาที่หางตาแล้วก้มหน้าลงมองเจ้าเด็กน้อยข้างกาย ก่อนจะพูดอย่างสงสัยว่า “หลิงหลงหรือ”
“ฮ่า เย่ว์เย่ว์น้อยจำข้าได้แล้ว” หลิงหลงพูดพลางปรบมือ
“เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นเจ้าเด็กน้อยได้เล่า อีกทั้งยังตัวเล็กถึงเพียงนี้อีกด้วย” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นนั่งแล้วโอบอุ้มหลิงหลงเอาไว้ในฝ่ามือ จึงค้นพบว่านางมีขนาดตัวราวๆ สองกำปั้นเท่านั้นเอง
“ผู้อื่นเขาเป็นวิญญาณครวญอย่างไรเล่า ก็เหมือนกับเจ้าวิญญาณน้อยนั่นแหละ แน่นอนว่าก็ต้องแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้อยู่แล้ว” หลิงหลงพูดพลางยิ้มอย่างมีความสุข “แต่ข้าเก่งกาจกว่าเจ้านั่นนะ! ข้าแปลงร่างเป็นสิ่งต่างๆ ได้จริงๆ แต่เขาทำมิได้ ทำได้แค่เพียงอาศัยอยู่ภายในมณีวิญญาณเท่านั้นเอง ดังนั้นหากดูจากตรงนี้ ข้าต่างหากเล่าที่เป็นสุดยอดอาวุธเทพ”
“เอาล่ะ เจ้าต่างก็เก่งกาจกันทั้งคู่นั่นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าวิญญาณน้อยโมโหจนควันออกหูแล้วจึงรีบเอ่ยปลอบ
“ใช่แล้ว เย่ว์เย่ว์น้อย เมื่อครู่เจ้าฝันถึงอะไรหรือ พวกเราสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดใจของเจ้า ทำเอาข้าเจ็บปวดใจไปด้วยเลย” หลิงหลงถาม
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ความทรงจำบางอย่างในอดีตเท่านั้นเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้ฝึกยุทธ์ได้แล้ว ดังนั้นความทรงจำก็เลยค่อยๆ ฟื้นฟูกระมัง”
ทุกคนมองออกว่าซือหม่าโยวเย่ว์ไม่อยากพูดถึง จึงไม่ถามอะไรอีก
ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นยืน เห็นว่าตนเองยังอยู่ตรงที่เดิมที่หมดสติไป มุมปากของเธอบูดบึ้งแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าจะไม่ให้ข้าเอนนอนบนเตียงสักหน่อยเลยหรือ เช่นนั้นอย่างน้อยก็ยังสบายหน่อย”
“ขี้เกียจจับย้ายน่ะ” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นร่างกายกะพริบวาบแล้วหายตัวไป
“ข้าขี้เกียจจะเถียงกับเจ้าแล้วเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงโมโหตายแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มองเจ้าวิญญาณน้อยแล้วมองหลิงหลงที่อยู่ในมือพลางถามว่า “ตอนนี้เจ้าแปลงกายเป็นอาวุธใดได้บ้างหรือ”
“ข้าเองก็ไม่รู้เลย” หลิงหลงพูดพลางส่ายหน้า
“เช่นนั้นพวกเราก็มาทดสอบกันหน่อยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ได้สิ” พูดจบแล้วหลิงหลงจึงแปลงร่างกลายเป็นกริชแล้วพูดว่า “เจ้านาย เริ่มกันเถิด”
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงอาวุธหลายอย่างขึ้นมาในหัว แต่นอกจากกระบี่ในครั้งแรกแล้ว ก็ไม่ประสบความสำเร็จกับอาวุธอื่นๆ อีกเลย
ผ่านไปครู่หนึ่งซือหม่าโยวเย่ว์ก็มองดูหม้อตรงหน้าอย่างจนใจ แล้วเลือกที่จะปล่อยวางแทน
เจ้าวิญญาณน้อยที่หายตัวไปพักหนึ่งกลับมา เมื่อมองเห็นหม้อในมือของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็กุมท้องหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าๆๆ นี่เจ้าเป็นอาวุธเทพอันใดกัน เจ้าคิดจะแปลงร่างเป็นหม้อให้พวกเราทำอาหารกินกันอย่างนั้นหรือ”
“คราวนี้มันเหนือความคาดหมายหรอกน่า” หลิงหลงพูดจบแล้วปล่อยมือซือหม่าโยวเย่ว์มาอยู่ตรงที่ว่าง ก่อนจะหมุนตัวอย่างรวดเร็ว พอมันหยุดลงแล้วก็ไม่เห็นหม้ออีกต่อไป ตะหลิวผัดกับข้าวอันหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนแทน
ซือหม่าโยวเย่ว์ค่อยๆ สิ้นหวังลงจากความคาดหวังรอคอยในตอนแรกเริ่ม ตอนที่มองเห็นตะหลิวนั้นเธอก็หมดหวังไปเรียบร้อยแล้ว
เธอรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมพรางเข้าอีกครั้งเสียแล้ว บอกว่าร้ายกาจถึงเพียงนั้น แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดนั้นงดงามเกินไปจนเธอมิอาจทนมองได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์ หลิงหลงจึงกลายร่างเป็นกริชแล้วพูดว่า “เย่ว์เย่ว์น้อยอย่าได้หมดหวังไปเลยนะ ถึงแม้ว่าข้าจะแปลงร่างได้มากมาย แต่นี่ก็เชื่อมโยงกับพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ด้วย ยิ่งพลังยุทธ์ของเจ้าสูงส่ง ข้ายิ่งแปลงเป็นอาวุธที่ร้ายกาจได้มากขึ้น”
หากพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ แปลงได้เพียงแค่ถ้วยชามหม้อไหเหล่านี้เท่านั้นเอง
ซือหม่าโยวเย่ว์รับรู้ได้ถึงความหมายแฝงในคำพูดของหลิงหลง จึงหยิบมันขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้าจะทำให้เจ้ากลายร่างเป็นอาวุธที่ร้ายกาจอย่างยิ่งให้ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ยังใช้อาวุธอะไรไม่ได้อยู่ดี รอให้พลังยุทธ์ของข้ายกระดับขึ้นแล้วพวกเราก็มาแข็งแกร่งไปด้วยกันนะ!”
“อืม! ข้าเชื่อเจ้า เย่ว์เย่ว์น้อย!” หลิงหลงพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“ยังมีข้าด้วยนะ ข้าก็จะแข็งแกร่งไปด้วยกันด้วย!” เจ้าคำรามน้อยเข้ามาร่วมวงด้วย
หลิงหลงกลายร่างเป็นเจ้าเด็กน้อยแล้วถีบไปบนใบหน้าเจ้าคำรามน้อยอีกครั้งก่อนจะคำรามว่า “ข้ากำลังให้กำลังใจกันและกันกับเย่ว์เย่ว์น้อยอยู่ เจ้าวิ่งเข้ามาทำไมกัน!”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองหลิงหลงที่กลายร่างเป็นสาวน้อยร้อนแรง ทันใดนั้นก็แยกไม่ออกว่าสิ่งไหนคือนางกันแน่
ตอนออกมาจากมณีวิญญาณพระอาทิตย์ก็ตกดินแล้ว โชคดีที่ไม่มีชั้นเรียนตอนบ่าย มิฉะนั้นเธอจะต้องถูกเจ้าเฟิงจือสิงนั่นจับผิดอีกแน่นอน
เมื่อนึกถึงเฟิงจือสิง เธอก็นึกถึงคำเตือนของเจ้าวิญญาณน้อยขึ้นมา เขารู้ว่าเธอฝึกยุทธ์ได้แล้วจริงๆ หรือ แต่เพราะเหตุใดจึงไม่เปิดโปงเธอต่อหน้าเลยเล่า เขาเองรู้ดีอยู่แล้วว่าตนเป็นคนไร้ค่า แต่ยังเต็มใจเก็บเธอเอาไว้ในชั้นเรียน เป็นเพราะเห็นแก่หน้าอาจารย์ใหญ่และท่านปู่ของตนจริงๆ อย่างนั้นหรือ
ถ้าหากบอกว่าเขามีจุดประสงค์อันใดกับตน เธอก็มิได้สัมผัสถึงเจตนาร้ายจากเขาแต่อย่างใด มิได้บอกว่าเขาซ่อนเร้นเอาไว้อย่างลึกล้ำ หากแต่เธอมีสัมผัสไวต่อผู้อื่นตั้งแต่เกิด มีความรู้สึกอันเฉียบแหลมต่อเจตนาร้ายและเจตนาดี ตั้งแต่ไหนแต่ไรก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยผิดพลาดในจุดนี้มาก่อนเลย
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้เธอเอาชีวิตรอดมาจากการทรยศหักหลังของคนในองค์กรตอนที่ออกไปทำภารกิจร่วมกันมานักต่อนักแล้ว
ดังนั้นเธอจึงรู้สึกได้ว่าเฟิงจือสิงมิได้มีเจตนาร้ายต่อตนแต่อย่างใด
และภายในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ในขณะเดียวกันนี้ เฟิงจือสิงที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกก็ถูกเรียกเข้ามา
“เจ้ารู้เรื่องของเด็กนักเรียนห้องพวกเจ้าแล้วหรือไม่” ท่านอาจารย์ใหญ่ถามพลางมองเฟิงจือสิง
“ท่านหมายถึงเรื่องที่เวทีประลองใช่หรือไม่ ข้าได้ฟังมาแล้วล่ะ” เฟิงจือสิงเอ่ยตอบอย่างเรียบเรื่อย
“มีความเห็นเป็นเช่นไรเล่า” ท่านอาจารย์ใหญ่ถาม
“ไม่มีความเห็นเลย ตราบใดที่พวกเขามิได้เล่นกันจนถึงแก่ชีวิต จะอย่างไรก็ย่อมได้ทั้งสิ้น” เฟิงจือสิงนั่งบนเก้าอี้พลางเล่นเล็บมือของตนเองแล้วพูดว่า “ค่อยว่ากันเถิด บนเวทีประลองนั้นจะเป็นตายก็ต้องรับผิดชอบตนเอง หากจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจริงๆ คนทั้งสองตระกูลนั่นก็จะมาหาเรื่องใส่ข้ามิได้หรอกนะ”
เอ้อ…
ท่านอาจารย์ใหญ่ถูกคำพูดของเฟิงจือสิงทำเอาแทบสำลักแล้วพูดว่า “ข้าถามถึงเรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์เอาชนะเมิ่งถิงได้ต่างหากเล่า”
“นางชนะแล้วอย่างไรเล่า” เฟิงจือสิงพูด “นี่ก็มิเห็นจะเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใดเลย เมิ่งถิงผู้นั้นอยู่ที่บ้านก็เอาแต่ปิดประตูฝึกฝน แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้ได้ยินว่าประมือกับผู้คนในเมืองหลวงอยู่บ่อยๆ คาดว่าคงเอาชนะด้วยประสบการณ์การต่อสู้จริงกระมัง”
ตอนที่ท่านอาจารย์ใหญ่ได้ยินว่าซือหม่าโยวเย่ว์เอาชนะเมิ่งถิงได้นั้น ยังคิดอยู่ว่าเป็นเพราะเธอสามารถฝึกยุทธ์ได้แล้วใช่หรือไม่ มิฉะนั้นเจ้าคนที่สายตาสูงส่งผู้นี้จะปรารถนารับคนไร้ค่าคนหนึ่งไปได้อย่างไรกัน แต่ว่าตอนนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้วก็มิใช่ว่าไร้ซึ่งเหตุผล ถึงอย่างไรตอนที่ประลองกันนั้นซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ใช้พลังวิญญาณจริงๆ
เฟิงจือสิงเห็นท่าทีดวงตาล่อกแล่กกลอกไปมาของท่านอาจารย์ใหญ่ ก็เดาความคิดในใจของเขาได้แล้ว แต่เขาก็ไม่คิดอยากพูดอะไร
“ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่ หากไม่มีเรื่องใดแล้วข้าก็ขอตัวกลับก่อนล่ะ พรุ่งนี้ต้องพาพวกเขาไปเลือกไข่สัตว์อสูร จะต้องกลับไปเตรียมตัวเสียหน่อย”
“อืม การเลือกไข่สัตว์อสูรเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักเรียน จะต้องเตรียมการให้ดีๆ ตระเตรียมจัดหาไข่สัตว์อสูรเอาไว้เรียบร้อยแล้วหรือไม่” ท่านอาจารย์ใหญ่ถาม
“วันนี้มาถึงหมดแล้ว ตอนนี้คาดว่าคงจะส่งเข้าไปเรียบร้อยแล้วล่ะ” เฟิงจือสิงเอ่ยตอบ
“เช่นนั้นเจ้ากลับไปเตรียมตัวเถิด” ท่านอาจารย์ใหญ่พูด “จำไว้ว่าต้องระวังให้ดี อย่าให้พวกเขาเข้าไปถึงห้องของไข่มรณะนั่นได้ล่ะ มิฉะนั้นก็คงจะเสียโอกาสไปเปล่าๆ เลย”
“ในเมื่อเป็นไข่มรณะ แล้วเหตุใดจึงไม่ขจัดออกไปเสียเล่า” เฟิงจือสิงถามอย่างไม่เข้าใจ
“นั่นเป็นสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้เนิ่นนานแล้ว กฎของโรงเรียนคือห้ามไปพบกับไข่ใบนั้น แต่เพราะเหตุใดนั้นข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่มีนักเรียนเข้าไปภายในห้องนั้น หลังจากออกมาแล้วต่างสติเลือนรางกันไปหมด ดังนั้นข้าจึงคิดว่าถึงแม้ว่านั่นจะเป็นไข่มรณะ แต่ต้องมีความพิเศษอะไรบางอย่างอยู่เป็นแน่ จึงได้สืบทอดต่อๆ กันมา”
“ข้าเข้าใจแล้วล่ะ” เฟิงจือสิงพูดจบแล้วจึงจากไป
ยามราตรี ขณะที่เหอชิวจือกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนของวิทยาลัย เงาร่างคนสายหนึ่งมาขวางอยู่ตรงหน้านาง
“พรุ่งนี้พวกเจ้าจะไปเลือกไข่กันแล้วใช่หรือไม่” คนผู้นั้นถาม
“ใช่แล้ว” เหอชิวจือเอ่ยตอบ
“ดีมาก เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่งสิ แล้วข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงามเลย” คนผู้นั้นพูด
“เรื่องอันใดหรือ เจ้าลองพูดให้ข้าฟังสักหน่อยก่อนสิ”
“ช่วยข้ากำจัดซือหม่าโยวเย่ว์เสีย” คนผู้นั้นพูด “เมิ่งถิงมีคนตระกูลเมิ่งคอยหนุนหลัง แล้วเจ้ามีขุมอำนาจใดคอยปกป้องเล่า ถ้าหากเรื่องที่เจ้าไปปลุกปั่นเมิ่งถิงให้ไปท้าประลองนางถูกนางรู้เข้าแล้วละก็…”
“ข้าจะทำ!” เหอชิวจือคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบตกลง “แล้วเจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไรเล่า”
…………………