ตอนที่ 60 จัดการชายสมองหมู (3) + ตอนที่ 61 ก่อเรื่องวุ่นวาย

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 60 จัดการชายสมองหมู (3)

สิ่งที่ทำให้เล่อเหยาเหยาดีใจที่สุดคือชายชาตรีผู้นั้นไม่ได้ติดตามเขามา!

เมื่อเห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยารีบส่งสายตาให้เสี่ยวมู่จื่อ ขณะที่คุณชายซื่อเดินกร่างนำพุงกลมๆ นั้นเดินมาใกล้พวกเขา เล่อเหยาเหยาจึงสบโอกาสเดินย่องเข้าไป แล้วกระโจนเข้าใส่ราวร่างกายติดสปริง

และกระสอบในมือของเธอก็ครอบลงที่ศีรษะของชายอ้วนผู้นั้น

“ตี!”

เล่อเหยาเหยาร้องตะโกนขึ้นเสียงดัง เสี่ยวมู่จื่อที่อยู่ด้านข้างขณะอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญกลับไม่ลังเล รีบวิ่งออกมาทั้งเตะทั้งต่อยชายอ้วนนั้นอย่างหนักร่วมกับเล่อเหยาเหยา

อาจเพราะนึกถึงเรื่องรถม้าของชายอ้วนเกือบจะชนเล่อเหยาเหยาเมื่อครู่ เสี่ยวมู่จื่อจึงลงมืออย่างหนัก อย่าดูถูกขนาดร่างกายของเขา แม้จะตัวเล็กทว่าแข็งแรงอย่างมาก ลงมือเตะต่อยอย่างรวดเร็วแม่นยำ จนเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างตกใจอย่างมาก

หากไม่ใช่อยู่ในเวลาเช่นนี้ เธอคงปรบมือให้กำลังเสี่ยวมู่จื่อไปแล้ว!

จึงคิดในใจว่าหากเสี่ยวมู่จื่อไม่ใช่ขันที ไปเรียนวรยุทธ ภายภาคหน้าต้องเป็นองครักษ์ที่มีอนาคตไกลแน่นอน!

เล่อเหยาเหยาขณะที่คิด มือกลับไม่หยุดทำงานลง ตีจนชายอ้วนด้านล่างร้องโหยหวนหาบิดามารดา เสียงราวหมูโดนเชือดนั้นดังก้องอยู่ภายในตรอกแคบๆ นี้

จนกระทั่งเล่อเหยาเหยาเห็นว่าพอสมควรแล้ว ถ้าลงมือตีต่อไป เกรงหากถูกคนพบเข้าต้องไม่ดีเป็นแน่ ดังนั้นจึงส่งสัญญาณให้เสี่ยวมู่จื่อ ก่อนที่ทั้งสองคนจะวิ่งอีกหนีออกจากตรอกเล็กนั้นไปทันที

“ฮ่าๆ ยอด ยอดเยี่ยมจริงๆ !”

หลังออกจากที่เกิดเหตุมาถึงถนนใหญ่ เล่อเหยาเหยายิ้มออกมาอย่างสดใส

เพราะเมื่อครู่ผ่านการใช้กำลังอย่างหนักหน่วงมา ทำให้เสื้อผ้าเธอยับยู่ยี่เล็กน้อย ผมเผ้าดูยุ่งเหยิง ทว่ากลับไม่ส่งผลต่อความสุขของเธอสักนิด

ใบหน้าเรียวเล็กงดงามขนาดเท่าฝ่ามือนั้น เพราะออกแรงวิ่งจึงแดงระเรื่อ

มองไปแล้วคล้ายลูกท้อที่กำลังสุกงอม ดึงดูดผู้คนยิ่งนัก!

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้ายังยิ้มได้อีกหรือ ตอนนี้ข้ากลัวจะตายแล้ว โชคดีที่เมื่อครู่ไม่มีคนพบเข้า ไม่งั้น…”

ขณะที่เล่อเหยาเหยายิ้มกว้างอย่างดีใจ เสี่ยวมู่จื่อกลับรู้สึกกังวลในใจ จึงเอ่ยอย่างอกสั่นขวัญแขวน

“เสี่ยวมู่จื่อ เจ้าขี้ขลาดยิ่งนัก ตอนนี้เราจัดการเขาไปแล้ว อีกอย่างไม่มีผู้ใดรู้หรอก ใยเจ้าต้องกลัวด้วย? ยิ่งกว่านั้น…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาตั้งใจหยุดพูดลง จากนั้นเลิกคิ้วแกล้งมองยังใบหน้าของเสี่ยวมู่จื่อ ก่อนเอ่ยว่า

“หรือว่าเมื่อครู่เจ้าไม่คิดว่ามันยอดเยี่ยมที่ได้จัดการชายอ้วนนั้น!?”

“เออ เรื่องนี้…ฮ่าๆ ยอดเยี่ยมที่สุด!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เสี่ยวมู่จื่ออดยื่นมือมาลูบที่ต้นคอไม่ได้ พร้อมยิ้มอย่างตรงไปตรงมา

ความจริงเสี่ยวมู่จื่อครอบครัวยากจนมาตั้งแต่เด็ก พร้อมทั้งต่อมาถูกขายให้มาทำงานตำหนักอ๋อง เป็นขันทีน้อยระดับต่ำที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาจึงต้องนอบน้อมต่อผู้อื่น ถ่อมตัวว่าตนนั้นต่ำต้อย

แม้เห็นชัดว่าไม่ใช่ความผิดของตน แต่ผู้อื่นพูดว่าเจ้าผิด เขาก็ไม่กล้าโต้แย้งก้มหัวยอมรับโดยไม่ขัดขืน

ดังนั้นเมื่อครู่ที่จัดการชายอ้วน เสี่ยวมู่จื่อจึงพอใจอย่างมาก คล้ายได้ระบายความไม่เป็นธรรมที่ได้รับทั้งหมดก่อนหน้านี้ออกมา

ตอนนี้จึงรู้สึกสบายใจไม่น้อย

เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างสบายใจของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะมองบนท้องฟ้าว่าจวนจะยามโหย่วแล้ว ดังนั้นเธอกับเสี่ยวมู่จื่อจึงรีบเร่งฝีเท้ากลับตำหนักอ๋อง

เดิมที่คิดว่าเรื่องในวันนี้ พวกเขาทำอย่างไร้ข้อบกพร่อง โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ทว่าบางเรื่องยังอยู่เหนือการคาดการณ์ของพวกเขา

…………………………………………………………………..

ตอนที่ 61 ก่อเรื่องวุ่นวาย

“โอ๊ยเจ็บ สมควรตาย พวกสารเลวนั้นกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร ถึงกล้าทำร้ายข้าเช่นนี้”

ซื่อเฉิงที่ถูกทุบตีอย่างหนักเมื่อครู่ จึงให้หลี่คุ่ยที่เป็นทั้งคนรับรถม้าและคนคุ้มกันที่สังเกตถึงความผิดปกติประคองขึ้น พลางปิดใบหน้าที่ถูกทำร้ายและแยกเขี้ยวยิงฟันสาปแช่ง

หลี่คุ่ยที่ยืนด้านข้างได้ยินเข้าอดเอ่ยถามไม่ได้

“นายน้อย เมื่อครู่ท่านไม่เห็นว่าพวกที่ทำร้ายท่านหน้าตาเป็นเช่นไรหรือขอรับ?”

“เฮอะ เจ้าโง่ หากข้าเห็นพวกมันจะยืนอยู่ตรงนี้หรือไร? คงส่งคนไปจับตัวพวกมันมาแล้ว!”

เมื่อเหลือบเห็นหลี่คุ่ย ซื่อเฉิงจึงแผดเสียงดังขึ้นอย่างเกลียดชัง

ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าแสนน่ากลัวของหลี่คุ่ย น้ำเสียงเขาจึงอ่อนลง

อันที่จริงคนคุ้มกันของตน คือคนที่บิดาของเขาจ้างวานมาด้วยเงินจำนวนมาก เพราะปกติเขาเที่ยวทำผิดตามอำเภอใจ ล่วงเกินคนไม่น้อย จึงกลัวว่าตอนอยู่ด้านนอกเขาจะได้บาดเจ็บ ดังนั้นจึงจ้างหลี่คุ่ยมาคุ้มครองเขา

คาดไม่ถึงว่าสองคนเมื่อครู่กลับดักซุ่มรอเขาที่หน้าประตูห้องน้ำ เขายังมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของพวกมันก็ถูกทุบตีอย่างหนักเสียก่อน ความแค้นครั้งนี้ ซื่อเฉิงจะทนกล้ำกลืนลงไปได้อย่างไร!

ดังนั้นตอนนี้เขาจึงโมโหอย่างมาก แต่การจับตัวสองคนนั้นไม่ได้ยิ่งทำให้โมโหจนอกเขาแทบจะระเบิดออกมา!

แต่ทว่าเวลานี้หลี่คุ่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างคล้ายสังเกตเห็นบางสิ่ง ดวงตาโหดเหี้ยมขึ้นมาพร้อมก้มตัวลงหยิบบางสิ่งขึ้นมาจากพื้น พลางเอ่ยว่า

“นายน้อย ท่านลองดูนี้คือของที่เมื่อครู่คนพวกนั้นทำตกไว้หรือไม่ขอรับ?”

“นี้คือสิ่งใด?”

เมื่อเห็นป้ายที่หลี่คุ่ยหยิบแล้วส่งให้ ซื่อเฉิงจึงก้มหน้าลงอ่านตัวอักษรด้านบน ก่อนจะพึมพำขึ้นมา

“รุ่ย?”

“นายน้อย ท่านคงไม่ทราบว่านี้เป็นป้ายที่พวกบ่าวรับใช้วังรุ่ยอ๋องใช้ออกจากวังขอรับ”

วังรุ่ยอ๋องมีการคุ้มกันที่แน่นหนา ไม่เหมือนกับวังอื่น

หากต้องการเข้าออกจำเป็นต้องใช้ป้ายเฉพาะวังรุ่ยอ๋องแผ่นนี้

เมื่อได้ยินหลี่คุ่ยเอ่ยเช่นนั้น ซื่อเฉิงพลันเอ่ยอย่างตื่นเต้นขึ้นมา

“ใช่ ต้องเป็นฝีมือของบ่าวรับใช้ในจวนรุ่ยอ๋องแน่! สมควรตายพวกมันกินดีหมีใจเสือมาหรือไรถึงกล้าทุบตีคุณชายซื่ออย่างข้า ไป ข้าต้องหาให้ได้ว่ามันสองคนคือผู้ใด พวกมันคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ!”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ซื่อเฉิงจึงโมโหขึ้น และการตื่นเต้นเกินไปยังทำให้เจ็บแผลที่ปาก จนเขาต้องแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยสีหน้าอันดุร้าย

หลี่คุ่ยที่อยู่ด้านข้างได้ยินพลันมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย

“นายน้อย นี่คือพระตำหนักของรุ่ยอ๋องนะขอรับ หากเขารู้ว่าเราไปหาตัวคนในตำหนักของเขา เกรงว่าคงไม่ดีนะขอรับ!?”

“เรื่องนี้…”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่คุ่ย ซื่อเฉิงรู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย เพราะรุ่ยอ๋องโหดเหี้ยมไร้ความปรานี ทุกคนต่างทราบกันดีถึงเรื่องสยดสยองน่าเขย่าขวัญที่ผ่านมาทั่วแคว้นเทียนหยวน พูดไปแล้วกระทั่งเด็กสามขวบยังตกใจจนฉี่รดกางเกง

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงซื่อเฉิงที่แอบอ้างตำแหน่งรองเสนาบดีกรมพิธีการของบิดาวางอำนาจบาตรใหญ่ข่มแหงรังแกผู้อื่นบนถนน!

แม้ในใจซื่อเฉิงจะหวาดกลัวรุ่ยอ๋อง ทว่าเมื่อเห็นว่านี้เป็นครั้งแรกที่ตนถูกคนกลั่นแกล้งตั้งแต่เกิดมา สุดท้ายความหวาดกลัวในใจจึงถูกแทนที่ด้วยความโมโห

“รุ่ยอ๋องก็รุ่ยอ๋องสิ หรือว่าบ่าวไพร่ในตำหนักของเขาทำร้ายข้าแล้วจะปล่อยไปเช่นนี้ ?! เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าไม่ทนแน่!ไป พาคนของเราไปหาพวกมันที่ตำหนักรุ่ยอ๋อง!”

ขณะที่ซื่อเฉิงกำลังโมโหอย่างมาก เล่อเหยาเหยาที่ไม่รู้ว่ากำลังมีอันตรายใกล้เข้ามา เวลานี้ได้กลับถึงเรือนหย่าเฟิงแล้ว

เมื่อครู่หลังพวกเขาออกจากตำหนักไม่รู้ป้ายบนตัวหล่นหายไปตั้งแต่เมื่อใด จนเกือบเข้าตำหนักอ๋องไม่ได้ ต่อมาโชคดีที่เจอหัวหน้าขันทีลี่ที่กำลังจะออกไปข้างนอก ทว่าสุดท้ายถูกหัวหน้าขันลี่อบรมอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปด้านในตำหนักอ๋อง

ทว่าหลังได้ฟังการสั่งสอนที่เคร่งครัดของหัวหน้าขันทีลี่แล้ว เกรงว่าการออกจากตำหนักครั้งหน้าคงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว