ตอนที่ 62 ก่อเรื่องวุ่นวาย (2) + ตอนที่ 63 ก่อเรื่องวุ่นวาย (3)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 62 ก่อเรื่องวุ่นวาย (2)

แต่ตอนนี้เล่อเหยาเหยาไม่มีเวลานึกถึงสิ่งอื่น เพราะต้องรีบกลับไปที่เรือนหย่าเฟิง

เมื่อคิดได้ว่าต้องเจอกับพญายมผู้นั้นอีกครั้ง ในใจเธอเริ่มกังวลขึ้น

กลัวว่าหากยืนอยู่ที่นี่ตนจะมีแต่คิดฟุ้งซ่าน ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงหาเรื่องใส่ตัวขึ้น เมื่อนึกได้ว่าหัวหน้าขันทีลี่เคยพูดว่าท่านอ๋องชื่นชอบดื่มชาเหลืองเข็มเงินจวินซาน จึงรีบหยิบกาน้ำสีแดงมาต้มน้ำชา

หลังองครักษ์ด้านนอกเอ่ยว่า ‘ท่านอ๋องกลับมาแล้ว’ เล่อเหยาเหยาชงชาเหลืองเข็มเงินจวินซานในมือเสร็จพอดี

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอันหนักแน่นใกล้เข้ามา ใจของเล่อเหยาเหยาจึงเต้นตึกตักอย่างรุนแรงตามจังหวะฝีเท้านั้น

จนเมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ที่คุ้นตาก้าวผลักประตูบานสลักเปิดออกเดินเข้ามาด้านในเรือนหย่าเฟิงอย่างรีบร้อน

เมื่อมองจากด้านหลังฉากกั้นจึงเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์ เล่อเหยาเหยากลืนน้ำลายลงอย่างลำบาก ดวงตาเผยความกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด

แม้จะไม่ได้เต็มใจ ทว่าสุดท้ายเธอจึงยกถาดชาที่เตรียมไว้เมื่อครู่ออกมาจากฉากกั้นช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่ชายหนุ่มสูงศักดิ์นั่งอยู่อย่างยอมรับชะตากรรม

“คารวะท่านอ๋อง โอ๊ยไม่ใช่สิ ถวายบังคมท่านอ๋อง!”

เพราะกังวลมากเกินไปเล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกสับสน เอ่ยออกมาอย่างไม่ปะติดปะต่อ ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังใช้มือปิดหน้าพลางหลับตาพักผ่อน ลืมตาขึ้นเล็กน้อยพร้อมชายตามองเล่อเหยาเหยาที่ยืนอยู่ข้างกายตน

เห็นเพียงขันทีน้อยข้างกายใบหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาคู่สวยปิดบังความขลาดกลัวและตื่นเต้นไว้ไม่ได้ ซึ่งดวงตาอันสดใสทำให้เธอดูเหมือนกวางน้อยขี้กลัวที่ทั้งน่ารักและน่าสงสาร

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเห็นขันทีน้อยตรงหน้านี้ ใจที่กระวนกระวายของเหลิ่งจวิ้นอวี๋กลับพลันหายไปจนหมดสิ้น

ความจริงวันนี้หลังเข้าวังเขาเพิ่งรู้ว่าทางซีเจียงนั้นเพราะประสบภัยแล้งมานานหลายเดือน ประชาชนล้วนอดอยากตาย ชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ จนเกิดการก่อจลาจลขึ้น

ส่วนทางด้านหนานเหอฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันทำให้น้ำท่วมหนัก ประชาชนจมน้ำตายมากมาย ขณะที่ประชาชนอีกมากไร้ที่อยู่สิ้นเนื้อประดาตัว ทว่าเรื่องร้ายยังไม่หมดแค่นั้น

เพราะเรื่องนี้เหล่าขุนนางต่างหารือกันในท้องพระโรงเป็นเวลานาน ล้วนหาวิธีแก้ไขปัญหาไม่ได้ ฮ่องเต้จึงทรงพิโรธอย่างหนัก ทำให้ทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวน สุดท้ายฮ่องเต้ทรงให้เวลาเหล่าขุนนางสามวันในการหาวิธีแก้ไขปัญหาสองเรื่องนี้ มิฉะนั้นทุกคนล้วนต้องถือศีรษะไปพบเขา

หากเหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดอยู่นานจนเหื่อยล้าทั้งกายและใจ

เพราะถึงอย่างไรราชวงศ์เทียวนหยวนปกครองด้วยตระกูลเหลิ่ง เวลานี้เห็นประชาชนกำลังทุกข์ยากอดอยาก และระหกระเหินไร้ที่อยู่จนเขาหดหู่ใจ ทำให้หงุดหงิดไม่หยุด

แต่ขันทีน้องตรงหน้าคล้ายสายลมในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นพัดผ่านลำธารใสแจ๋วอย่างช้าๆ เพียงเห็นเธอความหงุดหงิดทั้งหมดของเขาพลันสูญหายไป

หลังรู้สึกได้ถึงเรื่องนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ตกใจอย่างยิ่ง ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉยเย็นชาเช่นเดิม

เล่อเหยาเหยาที่ไม่รับรู้ความคิดในใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เมื่อสังเกตเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋กำลังเงยหน้ามองตนอยู่ พลันตกใจจนแทบทำน้ำชาในมือหก

หลังพยายามสงบใจลง เล่อเหยาเหยาสูดหายใจลึกเข้าลึกๆ จากนั้นฉีกยิ้มพลางย่อตัวลงเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋

“ท่าน ท่านอ๋อง น้ำชาขอรับ”

“อือ”

…………………………………………………..

ตอนที่ 63 ก่อเรื่องวุ่นวาย (3)

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงตอบรับเบาๆ ทว่าเสียงฮึดฮัดที่ออกมาจากจมูกนั้นไพเราะจับใจยิ่งนัก ทำให้เล่อเหยาเหยาที่อกสั่นขวัญแขวน ค่อยๆ สงบใจลง พลางแอบอุทานในใจ

มนุษย์ช่างเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาด เห็นชัดว่าตนหวาดกลัวชายหนุ่มผู้นี้ยิ่งนัก ทว่าไม่รู้บนตัวชายหนุ่มมีพลังวิเศษสะกดผู้คนอันใด ที่ทำให้ผู้คนอดที่จะแอบมองเขาไม่ได้

ดังเช่นตอนนี้ เล่อเหยาเหยาที่หลังยื่นน้ำชาพลันก้าวถอยหลังยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบเสงี่ยม ทว่าหลังเก็บสายตากลับมาได้ไม่นานอดเหลือบมองด้านข้างของชายหนุ่มอีกครั้งไม่ได้

แม้จะผ่านมาทั้งวันแล้ว แต่บนตัวชายหนุ่มกลับไม่ยุ่งเหยิงเลยสักนิด

เสื้อสีขาววาววับ เส้นผมดำขลับดังเส้นไหม หล่อเหลางามสง่ากว่าปกติอย่างไม่เป็นสองรองใคร

รวมถึงท่าทางการเปิดฝาถ้วยชาอย่างนุ่มนวลนั้น ล้วนงดงามดังภาพวาดที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง

เล่อเหยาเหยาที่มองอยู่ด้านข้าง ด้วยใจที่หวาดกลัวถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง

จุ๊ๆๆ คนหล่อเหลาคือคนหล่อเหลา กระทั่งท่าทางการดื่มชาล้วนสง่างามเป็นธรรมชาติยิ่งนัก ทว่ายังดูเย็นชาเล็กน้อย!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาอุทานในใจ ทันใดนั้นชายหนุ่มที่กำลังดื่มชาอยู่คล้ายกับมีดวงตาอยู่ข้างหลัง แม้ไม่มองเล่อเหยาเหยาแต่รับรู้ว่าเล่อเหยาเหยาแอบมองตนอยู่

ดังนั้นเผยอริมฝีปากแดงขึ้น เสียงทุ้มต่ำแหบพร่านั้นจึงค่อยๆ ดังออกจากปากเขา

“เจ้ารู้ว่าน้ำใดชงชาอร่อยที่สุดหรือไม่?”

“เอ้อ?”

เมื่อพลันได้ยินประโยคนั้นของชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาจึงตั้งตัวไม่ทัน ทว่ายังไม่ทันคิดเธอพลันหลุดพูดประโยคหนึ่งออกมาทันที

“เหนือภูเขา ในแม่น้ำ ใต้บาดาล”

“เจ้ารู้วิถีชงชา?”

เมื่อได้ยินคำตอบของเล่อเหยาเหยา ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วดาบที่งดงามขึ้น สายตาเย็นชาสว่างวาบด้วยความประหลาดใจ

ความจริงเขาเพียงเอ่ยถามออกไปเท่านั้น ไม่คิดว่าขันทีน้อยผู้นี้จะตอบออกมา

แต่ผลลัพธ์กลับเกินความคาดคิดของเขา

ขันทีน้อยผู้นี้ไม่เพียงออกตอบมา หากยังตอบได้ไม่เลวอีกด้วย!

ส่วนเล่อเหยาเหยาที่ได้ยินคำพูดเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงมองใบหน้าที่ไม่ได้ดูไม่พอใจของเขาอีกครั้ง ใจที่หวาดผวาของเธอจึงสงบลงในที่สุด ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยออกมา

“บ่าวไม่รู้วิถีชงชา ทว่าปกติเคยอ่านจากหนังสือขอรับ”

ไม่ใช่เธอบอกว่าบิดาเธอเป็นเศรษฐีใหม่ แม้จะเห็นแก่เงินอยู่บ้าง แต่กลับชอบดื่มชาอย่างมาก ดั่งคำกล่าวที่ว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิด  คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล ตัวเธอจึงชื่นชอบการดื่มชาไปด้วย

เมื่อใดที่มีเวลา เธอและบิดาจะนั่งอยู่ในสวนดอกไม้ในบ้าน พร้อมการชงชาแบบกงฟูฉา โดยที่พ่อเธอโทรคุยธรุกิจไปด้วย ขณะที่เธอหยิมเกมล่าสัตว์ประหลาดในตำนามาเล่น เป็นวันเวลาที่อิสระเสรียิ่งนัก

เห้อ น่าเสียดายวันที่แสนอิสระเสรีเช่นนั้น จะกลายเป็นเพียงความทรงจำไปแล้ว

ขณะที่เล่อเหยาเหยาระลึกอดีตและถอนใจ พลันได้ยินเสียงเอ่ยถามอย่างสงสัยของชายหนุ่มขึ้นมาขึ้นครั้ง

“ดูหนังสือ? เจ้ารู้หนังสือหรือ? หัวหน้าขันทีลี่เคยเอ่ยว่าเจ้ามาจากครอบครัวที่ยากจน ใยเจ้าถึงรู้หนังสือ?”

ชายหนุ่มเอ่ยถามผิวเผินมาตลอด จู่ๆ พลันคล้ายซักไซ้ไล่เรียง ทำให้ดวงตาเล่อเหยาเหยาสว่างวาบ กังวลจนหนังศีรษะชาวาบ

ในใจประหลาดใจเล็กน้อย ท่านอ๋องที่สง่าผ่าเผย นึกไม่ถึงว่าจะซักถามปะวัติที่ผ่านมาของขันทีน้อยคนหนึ่ง?

แต่เล่อเหยาเหยาประหลาดใจอยู่เพียงไม่นาน รีบคิดหาเหตุผลทันที

อันที่จริงแม้เขาจะเป็นท่านอ๋องที่มีอำนาจและอิทธิพล แต่ศัตรูไม่น้อยทีเดียว เมื่อรู้เรื่องราวขันทีข้างกายตนมากขึ้น อย่างน้อยจะได้ระมัดระวังตัว

…………………………………………………..