ตอนที่ 64 ถูกจับได้ (สำคัญ) + ตอนที่ 65 ลงโทษหนัก (จำต้องมอง) (1)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 64 ถูกจับได้ (สำคัญ)

หลังคิดเรื่องนี้ได้ เล่อเหยาเหยาจึงก้มหน้าลง พลางทำท่าทางนอบน้อมดูต่ำต้อย ก่อนเอ่ยขึ้น

“เรียนท่านอ๋อง ฐานะทางบ้านบ่าวไม่ดี ทว่าพอดีข้างบ้านมักปราชญ์ผู้หนึ่ง ปกติบ่าวจึงช่วยเหลือนักปราชญ์ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยามว่างท่านจึงสอนหนังสือบ่าวขอรับ”

เล่อเหยาเหยาพยามยามใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบเอ่ยออกมา ทว่าความจริงในใจนางกลับใจเต้นราวฟ้าร้อง เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว

เพราะการพูดโกหกกับพญายม อาจเป็นเรื่องที่อันตรายถึงชีวิต

แต่เธอรู้เรื่องราวที่ผ่านมาของร่างนี้ที่ไหนกัน เพียงฟังจากเสี่ยวมู่จื่อว่าเจ้าของร่างเดิมี้ฐานะทางบ้านยากจน เรื่องอื่นล้วนไม่ทราบเลย ดังนั้นเธอจึงต้องโกหก

เธอไม่เชื่อว่าท่านอ๋องผู้นี้จะไปตรวจสอบ!

ส่วนเหลิ่งจวิ้นอวี๋เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เพียงนิ่งเงียบและไม่มองเล่อเหยาเหยาสักนิดเดียว จากนั้นก้มหน้าลงละเมียดชินน้ำชาในมือ จนกระทั่งชาหมดถ้วยจึงค่อยๆ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะชาไม้จันทน์ลายสลักด้านข้าง

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้นจึงก้าวเข้าไปหมายจะเก็บถ้วยชากลับมา คิดไม่ถึงว่าขณะนั้นหัวหน้าขันทีลี่พลันก้าวเข้ามาด้านใน

เห็นเพียงหัวหน้าขันทีลี่ที่ปกติสีหน้าเคร่งขรัดนิ่งสงบ ตอนนี้ดูร้อนรนเล็กน้อย เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงอดชำเลืองมองไม่ได้ ก่อนจะเผยอริมฝีปากแดงแล้วเอ่ยถามขึ้น

“หัวหน้าขันทีลี่ มีเรื่องใด?”

“ท่านอ๋อง คุณชายรองเสนาบดีกรมพิธีการบอกว่าวันนี้คนในวังของเราทำร้ายเขา ทั้งยังนำคนมาหาเรื่องที่หน้าประตูให้ขอรับ”

หัวหน้าขันทีลี่พูดออกมาตามความจริง เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ได้ฟังใบหน้างดงามนิ่งเงียบ มองไม่ออกว่าดีใจหรือโมโห ทว่ายกมุมปากยิ้มเย็นชาออกมา ทำให้อุณหภูมิรอบด้านดูคล้ายลดต่ำลง

“ฮึ! คุณชายรองเสนาบดีกรมพิธีการ? ใช่ลูกผู้ลากมากดีนั้นใช่หรือไม่? คิดไม่ถึงว่าจะมาถึงวังของข้า เขากล้าหาญไม่น้อยดีเดียว”

เหลิ่งจวิ้อวี๋หัวเราะเย้ยหยันออกมา ก่อนพลันคล้ายนึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากอีกครั้ง

“เป็นผู้ใดในตำหนักที่ทำร้ายเขา รู้หรือไม่?”

“คุณชายซื่อผู้นั้นเห็นไม่ชัดเพราะถูกคลุมศีรษะด้วยกระสอบก่อนลงมือทำร้ายขอรับ เขาจึงมองไม่เห็น ทว่าเก็บป้ายเข้าออกตำหนักของเราได้ขอรับ”

“เช่นนั้นหรือ วันนี้ผู้ใดออกจากตำหนักบ้าง?”

เมื่อเหลิ่งจวิ้นอวี๋พูดถึงตรงนี้ หัวหน้าขันทีลี่กลับไม่พูดขึ้นทันที แต่เงยหน้ามองยังเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างที่ได้ยินคำพูดของเขา แล้วมีท่าทางตกตะลึง ยืนแข็งทื่อราวหุ่นนก

เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้นพลันมองตามหัวหน้าขันทีลี่ไป

ส่วนเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าขันทีลี่ก็ตกใจอย่างมาก คิดเพียงว่าฟ้าใกล้จะถล่มลงมาแล้ว

อันที่จริงเดิมทีเธอไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องทำร้ายคุณชายซื่อเมื่อครู่นั้นจะถูกคนเห็นเข้า

เมื่อครู่ป้ายของเธอหล่นหายไป จึงคิดเพียงไม่ระวังทำตกอยู่บนมุมถนนที่ไหนสักแห่ง ไม่คิดเลยว่าจะถูกคุณชายซื่อผู้นั้นจะเก็บได้ อีกทั้งตอนนี้ยังมาตามหาเธอที่หน้าประตู

สวรรค์ ตอนนี้เธอควรทำเช่นไรดี?

เล่อเหยาเหยาตกใจ จนสีหน้าซีดขาว

โดยเฉพาะตอนที่เธอรู้สึกถึงสายตาคมราวกระบี่สองคู่พุ่งตรงมาที่ตนจนสั่นไปทั้งตัว มือที่จับถ้วยกระเบื้องอย่างหลวมๆ เมื่อเสียง‘เพล้ง’ดังขึ้น ถ้วยกระเบื้องชั้นดีใบนั้นตกพื้นจนแตกกระจาย เสียงที่แสบแก้วหูดังกังวานขึ้นท่ามกลางความเงียบ

เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มหรี่ดวงตาที่เย็นชาลงเล็กน้อย เอ่ยปากอย่างไร้น้ำใจด้วยน้ำเสียงทุ้มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ ราวกับดอก

“ที่แท้เป็นเจ้า!”

……………………………………………………….

ตอนที่ 65 ลงโทษหนัก (จำต้องมอง) (1)

ประโยคที่แหบแห้งและเคร่งเครียดของชายหนุ่ม ทำให้เล่อเหยาเหยาราวถูกฟ้าผ่าตอนกลางวัน เสียง‘ตูม’ดังขึ้นทั่วร่างตะลึงงัน

ภาพตรงห้าพลันพร่ามัว ในใจเล่อเหยาเหยาจึงคิดได้เพียงสิ่งเดียว นั่นคือ…

จบกัน!

แผนร้ายที่เธอทำร้ายชายหน้าโง่ที่กำเริบเสิบสานนั้นแดงออกมา เขาจึงมาหาเธอถึงที่แล้ว

แม้เธอจะไม่คิดว่าการทำร้ายคนของเธอจะมีความผิด หากเป็นไปได้เธอยังจะทำร้ายคนผู้นั้น ทว่าอันดับแรกคือไม่มีผู้ใดรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนั้น

เวลานี้เธอทำร้ายคนจนเขามาตามถึงที่แล้ว อีกทั้งเรื่องทำร้ายคนของเธอยังถูกพญายมล่วงรู้ เกรงว่าเธอคงไม่มีโอกาสเห็นแสงอาทิตย์พรุ่งนี้เป็นแน่

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาทั้งหวาดกลัวและเสียใจ

โดยเฉพาะสายตาอันน่าเกรงขามของพญายมในตอนนี้กำลังมองมาที่เธอ แม้เขาจะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตานั้นมีพลังอานุภาพมากเกินไป ราวกับแค่เพียงถูกเขามองเช่นนี้ ล้วนรู้สึกว่ามีกระแสลมอันรุนแรงกำลังพัดผ่านตัวเธอไป พลันทำให้หนังศีรษะเธอชาวาบ

“เอ้อ คือว่า…”

เล่อเหยาเหยาลังเลคล้ายอยากอธิบาย แต่ทว่าท่านอ๋องนั้นกลับไม่ให้โอกาสเธอการอธิบาย ทั้งยังสะบัดชายเสื้ออย่างรุนแรงหมุนกายก้าวออกจากหอหย่าเฟิงไปทางด้านประตูใหญ่ด้านนอก

เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น จึงกลืนน้ำลายลงอย่างลำบาก ใบหน้าคล้ายอยากร้องไห้ แต่ไร้น้ำตา

สวรรค์! หรือว่าเธอต้องจบชีวิตแล้วจริงๆ!?

ทางด้านประตูใหญ่ที่โอ่อ่าอย่างยิ่งของวังรุ่ยอ๋อง บานประตูสีแดงอันสูงตระหง่านหนาหนักนั้น ทำให้คนที่เห็นรู้สึกถึงความเด็ดเดี่ยว

แม้เป็นเพียงองครักษ์เฝ้าประตู ทว่าทุกคนล้วนสวมชุดเกราะหนาหนัก รวมถึงสิ่งที่พกอยู่บนเอวน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนไม่กล้าดูถูก!

แต่เวลานี้ด้านหน้าประตูใหญ่ของวังรุ่ยอ๋อง กลับมีข้ารับใช้อันธพาลกลุ่มหนึ่งล้อมอยู่

ผู้นำรูปร่างใหญ่โต ใส่ทองประดับเงินบนตัว ทว่ากลับดูนุ่มนิ่ม รูปลักษณ์คล้ายหมูอ้วนตัวใหญ่

เห็นเพียงสีหน้าชายอ้วนนั้เปี่ยมด้วยความไม่พอใจ ที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคือขอบตาสีดำที่ถูกทำร้ายคู่นั้นที่มองครากแรกรู้สึกราวเป็นสิ่งล้ำค่า!

และกลุ่มคนพวกนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคุณชายซื่อเฉิงที่ถูกเล่อเหยาเหยาทำร้าย ก่อนจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านอย่างโมโห ไม่สนใจทำแผลก็รีบนำคนรับใช้ที่บ้านมาที่นี่!

อนาคตซื่อเฉิงต้องเป็นพวกที่อาศัยบารมีของบิดาตนเอง ทำตัวกร่าคับฟ้าคับถนนอยู่ในเมืองหลวง เป็นเจ้าถิ่นที่ยโสโอหัง ตั้งแต่เด็กมีเพียงเขาที่ใช้ฐานะรังแกกดดันผู้อื่น จะมีใครกล้าล่วงเกินเขา!?

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการที่ทำร้ายเขาอย่างรุนแรงในวันนี้ แม้บิดาเขาจะโมโหเขาอย่างหนัก  แต่ไม่เคยทำร้ายเขาเลย อย่างมากเรียกให้เขาไปคุกเข่าต่อบรรพบุรุษเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อครู่เขาถูกทำร้ายอย่างโกรธแค้น และคนที่ทำร้ายเขายังเป็นเพียงบ่าวรับใช้ชั้นต่ำคนหนึ่ง ความแค้นครั้งนี้เขาอดกลั้นได้อย่างไร

แม้พวกนั้นจะเป็นบ่าวรับใช้ในวังรุ่ยอ๋อง แต่เขามาเพื่อคิดบัญชีกับบ่าวรับใช้นั้น จึงถือเป็นเรื่องที่มีเหตุผล ดังนั้นแม้รุ่ยอ๋องจะออกมา ก็ต้องให้คำชี้แจงแก่เขา!

แต่ซื่อเฉิงเคยคิดว่า เขาเพียงมาหาบ่าวรับใช้เล็กๆ คนหนึ่ง เรื่องนี้คงไม่ทำให้รุ่ยอ๋องตกใจ อย่างมากคงเป็นพ่อบ้านของวังรุ่ยอ๋องออกมาจัดการ

นอกจากนั้นจากตำแหน่งของบิดา และพี่สาวที่เป็นถึงพระสมของฮ่องเต้ จะพูดอย่างไรหัวหน้าพ่อบ้านนั้นต้องไม่คิดล่วงเกินเขา ยอมมอบตัวบ่าวรับใช้ที่ทำร้ายเขาออกมาอย่างเชื่อฟังแน่

ซื่อเฉิงคิดอย่างรอบคอบในใจ ดังนั้นเขาจึงนำบ่าวรับใช้กลุ่มใหญ่มาที่นี่ โดยไม่คิดว่าครั้งนี้จะมีบางอย่างที่เหนือความคาดคิดของตน

 ……………………………………………………….