บทที่ 35 สัตว์เลี้ยง
ครึ่งเดือนต่อมา
ณ หอคอยหวงชาในเมืองแห่งความพินาศ
กระแสการค้ายังดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จบและผู้คนมากมายต่างเข้ามาและออกไป
สามวันที่ผ่านมาศาลาไป่หยู่ระงับการขายยารวบรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นอุปทานของยาเซิงหยวนใน หอคอยหวงชาจึงมีมากจนถึงขั้นขาดแคลน
ซึ่งพวกเขาก็ประกาศออกไปว่าอาจารย์นักเล่นแร่แปรธาตุที่ปฏิบัติงานนั้นป่วย แต่หลินตารู้ว่าเหตุผลที่แท้จริงนั้นก็คือการขาดหญ้าวิญญาณ
ศาลาไป่หยู่ในตอนนี้ไม่สามารถผลิตยารวบรวมพลังวิญญาณได้
“ตามที่คิดไว้จริง ๆ เจ้าของร้านของเรามีหนทางจัดการเสมอ” หลินตาถอนหายใจ
เพียงแค่แย่งซื้อหญ้าวิญญาณเพียงสองชนิดเท่านั้น พวกเขาก็สามารถตัดคู่แข่งที่ขายยารวบรวมพลังวิญญาณออกไปได้อย่างง่ายดาย
พวกเขาจะเอาอะไรมาต่อสู้กับหอคอยหวงชาของพวกเราได้เล่า
หลินตาคิดอย่างพึงพอใจ
“ท่านขอรับ ข้าได้รับข่าวสารมาว่าวันนี้มีผู้คนจำนวนมากกำลังไปที่ศาลาไป่หยู่ขอรับ” คนงานชายคนหนึ่งรีบเข้ามากระซิบ
หลินตาขมวดคิ้วหลังจากได้ยินข่าว มียาวิญญาณใหม่ในศาลาไป่หยู่งั้นหรือ
“ไปตรวจสอบหาสมุนไพรวิญญาณที่ศาลาไป่หยู่ ซื้อมาเมื่อเร็ว ๆ นี้สิ” หลินตาสั่งให้คนไปตรวจสอบ
ทว่าศาลาไป่หยู่นั้นไม่ได้ซื้อสมุนไพรวิญญาณใด ๆ เลยเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน
อะไรนะ
หลินตารู้สึกประหลาดใจ พวกเขาไม่ได้ซื้อสมุนไพรวิญญาณใด ๆ เลยงั้นหรือ
“ท่านต้องการให้ข้าตรวจสอบเพิ่มเติมหรือไม่” คนงานชายคนนั้นถามต่อ
หลินตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั่นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นดุร้าย “ไม่ต้อง ข้าจะไปดูด้วยตัวเอง ว่าพวกศาลาไป่หยู่กำลังทำอะไรกัน”
……
……
เมื่อหลินตามาถึงประตูศาลาไป่หยู่ นางก็พบว่าสถานที่แห่งนั้นมีผู้คนมุงอยู่ล้อมรอบ
ผู้คนจำนวนมากต่างก็ถือใบปลิวโฆษณาเกี่ยวกับศาลาไป่หยู่ไว้ในมือ ‘ติดต่อศาลาไป่หยู่เพื่อฝึกฝนสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุด’
บนกระดาษแผ่นนั้นมีลวดลายตกแต่งและตัวหนังสือแสนน่ารัก
ดูเหมือนว่าที่มีผู้คนมากมายรวมตัวกันที่นี่ เพราะในช่วงนี้ศาลาไป่หยู่ได้ส่งใบปลิวโฆษณาประเภทนี้ออกไปทั่วและมันก็ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาที่แห่งนี้
พ่อแม่และผู้ปกครองเด็กจำนวนมากมาที่นี่พร้อมกับพาลูก ๆ มาด้วย
“แค่ก” ชายหนุ่มที่มีผมสีเงินเดินออกจากประตูของศาลาไป่หยู่ เขาแต่งตัวดูดีและยิ้มให้กับทุกคน “ยินดีต้อนรับสู่ ศาลาไป่หยู่”
“ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้สาระ เพราะงั้นขอเริ่มการขายเลยก็แล้วกัน วันนี้ข้าอยากจะแนะนำพวกเจ้ารู้ว่าศาลาไป่หยู่ของเราได้เปิดรับการอบรมพิเศษสำหรับสัตว์วิญญาณเพื่อช่วยการเจริญเติบโตของเด็ก”
กลุ่มสัตว์วิญญาณค่อย ๆ เดินออกมาจากศาลาไป่หยู่
พวกมันประกอบไปด้วยกระต่ายแห่งแดนสาบสูญ สุนัขชาชี, นกกางเขนทราย และหนูชางชาง
ลั่วอู๋ใช้เวลานานในการสังเคราะห์สัตว์วิญญาณเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงสูญเสียสัตว์วิญญาณระดับทองแดงจำนวนมากและบางทีก็ต้องเสียสัตว์วิญญาณระดับเงินราคาถูกไปด้วยเช่นกัน
นั่นก็เพราะต้นกำเนิดของสุนัขชาชีนั้นแข็งแกร่ง หากใช้สัตว์วิญญาณในระดับทองแดงผสมเข้าไปมันจะไม่เพียงพอ เขาจึงสูญเสียสัตว์วิญญาณระดับเงินไปบางส่วนเพื่อให้พวกมันเชื่อง
และนอกจากนี้ด้วยการใช้พลังวิญญาณมหาศาล เขาก็สามารถสังเคราะห์สุนัขชาชีระดับจ่าฝูงกับสุนัขชาชีปกติด้วยกันได้
“อย่ามาล้อเล่นน่า!”
คนบางคนในฝูงชนตะโกนด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าของศาลาไป่หยู่ ท่านให้พวกเราคาดหวังมานานกว่าสิบวัน ดึงดูดพวกเรา แล้วบอกกับพวกเราว่าท่านจะขายสัตว์วิญญาณ ขยะเหล่านี้ให้พวกเราเนี่ยนะ”
“ ข้าก็อุตส่าห์คิดว่าจะมีสัตว์วิญญาณหายากที่ไหนได้ มีแต่อะไรก็ไม่รู้ ท่านทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ พวกสัตว์วิญญาณเหล่านี้ มันไม่ใช่สัตว์วิญญาณที่จะเอามาให้เด็กเลี้ยงได้เลย”
คุณพ่อคนหนึ่งพูดด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าเขาเสียเวลาไปอย่างมากในการเลือกสัตว์เลี้ยงให้กับลูก ๆ ของเขา
“ใครเล่าจะกล้าเลี้ยงสุนัขชาชีเป็นสัตว์เลี้ยง พวกมันโง่พอที่จะโจมตีเจ้านายของตัวเอง!”
“แถมพวกมันยังมีอายุขัยที่สั้นอีก !”
“นกกางเขนทรายก็ละเอียดอ่อนเอาใจยากเกินไป”
“กระต่ายแห่งแดนสาบสูญก็ตื่นคนเกินไป”
“แล้วดูราคาที่ศาลาไป่หยู่ของท่านขายสิ 1000 หินวิญญาณสำหรับกระต่ายแห่งแดนสาบสูญ 1500 หินวิญญาณสำหรับสุนัขชาชี 2500 สำหรับนกกางเขนทราย และ 2000 สำหรับหนูชางชาง!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดอยู่นั้น ลั่วอู๋ก็ได้ขอให้คนงานเอาป้ายราคาขึ้นมา
“บ้าไปแล้ว”
“ข้าไม่เคยได้ยินราคาที่เลวร้ายเท่านี้มาก่อนเลย”
“2000 หินวิญญาณสามารถซื้อสัตว์วิญญาณระดับเงินได้เลยนะ แล้วทำไมข้าต้องเสียมันเพื่อซื้อสัตว์วิญญาณระดับทองแดง”
“ข้าอุตส่าห์คิดว่าศาลาไป่หยู่เป็นร้านค้าที่ดี แต่ข้าไม่ได้คาดว่ามันจะได้ใจพอมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อยได้ขนาดนี้”
ทุกคนต่างก็ตั้งคำถามและเข้าใจในทางที่ผิด
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่เข้าร่วมกลุ่มผู้สงสัยติเตียน
อาจเป็นเพราะเหตุการณ์แมงป่องทรายและยารวบรวมวิญญาณในอดีตทำให้พวกเขาเสียหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจดูสถานการณ์ไปเงียบ ๆ ก่อน
ลั่วอู๋พูดเบา ๆ “ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็เคลือบแคลงในทักษะการปรับแต่งวิญญาณของข้าสินะ แต่มันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว ด้วยที่สัตว์วิญญาณเหล่านี้มีค่ามากกว่าที่ข้าเขียนไว้บนใบราคา”
ผู้คนมองดูลั่วอู๋ราวกับว่าพวกเขากำลังดูตัวตลกแสดงท่าทางให้หัวเราะออกมา
เขากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่
และแล้วคนที่มาพร้อมกับเจตนาร้ายก็ปรากฏออกมา
หลินตาที่เบียดเสียดฝูงชนเข้ามายืนดู พอนางได้ยินคำพูดของลั่วอู๋ นางก็กล่าวอย่างเย้ยหยัน “เจ้านี่เป็นคนบ้าแน่นอน แม้ว่าเจ้าจะสามารถทำให้สัตว์วิญญาณเหล่านี้เรียนรู้ทักษะก้าวพริบตาได้ มันก็ยังไม่คุ้มกับราคา!”
การที่ศาลาไป่หยู่สามารถฝึกฝนแมงป่องทรายให้ใช้ทักษะก้าวพริบตาได้นั้น
มันไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว
แต่หลายคนก็เชื่อว่าศาลาไป่หยู่ ทำได้แค่ให้แมงป่องทรายเรียนรู้ทักษะก้าวพริบตาเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับสัตว์วิญญาณตัวอื่น ๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นมันก็จะดูปฏิวัติหลักการจนเกินไป
ลั่วอู๋ ไม่คิดจะเสียเวลาแก้ไขความเข้าใจผิดของทุกคน เขาคิดว่ามันสำคัญมากที่จะต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้เขายังมีความสามารถในการป้องกันตนเองไม่เพียงพอ
“ดูเหมือนว่าทุกคนจะยังไม่เชื่อข้าสินะ” ลั่วอู๋พูดอย่างใจเย็น
ใบหน้าฝูงชนเริ่มจะร้อนรนอดทนไม่ไหว
หากไม่มีจุดเปลี่ยนอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ พวกเขาก็จะเดินกลับไป
ฝูงชนที่รวมตัวกันดูเหมือนจะค่อย ๆ หายไปทีล่ะนิด
“ดูกระต่ายแห่งแดนสาบสูญพวกนี้สิ” ดวงตาของเด็กชายคนหนึ่งเบิกกว้างและเขาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
สายตาของทุกคนมองไปที่ตรงนั้น
ริมฝีปากของลั่วอู๋ยกขึ้นเล็กน้อย นิ้วของเขาแตะที่ตะขอเบา ๆ เพื่อปล่อยกระต่ายกลุ่มหนึ่งที่น่ารักและมีชีวิตชีวากระโดดออกจากกรงทีละตัว
พวกมันมองไปรอบ ๆ กระดิกหูที่มีขนยาวและกระโดดโลดเเล่นอย่างมีสุข
ผู้คนที่มุงอยู่ประหลาดใจมาก
พวกเขาแปลกใจที่กระต่ายแห่งแดนสาบสูญเหล่านี้ไม่ได้เอาแต่นอนหลบอยู่ในกรง แต่ที่เห็นในตอนนี้ พวกมันกลับออกมากระโดดโลดเต้นอยู่ต่อหน้าผู้คนได้อย่างสบาย ๆ
กระต่ายแห่งแดนสาบสูญพวกนี้ไม่ตื่นคนได้อย่างไรกัน
“มาสิ มาตรงนี้หน่อย” ลั่วอู๋สั่ง
พอได้ยินดังนั้น เหล่ากระต่ายแห่งแดนสาบสูญก็เดินเรียงกันแล้วมาหยุดอย่างเป็นระเบียบเบื้องหน้าของลั่วอู๋
“ดีมาก” ลั่วอู๋ลูบหัวกระต่ายแต่ละตัวเบาๆ “เอาล่ะต่อไป ต่อไป”
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมานั้น เหมือนกับการพลิกแผ่นดินอย่างไรอย่างนั้น
ฝูงชนต่างตกตะลึง
ดวงตาของหลินตาเหมือนจะหลุดออกจากเบ้า เมื่อเห็นว่ากระต่ายแห่งแดนสาบสูญอยู่ใกล้กับผู้คนมากแค่ไหน
ทุกคนต่างก็รู้ว่ากระต่ายแห่งแดนสาบสูญนั้นเหมาะที่จะเป็นสัตว์เลี้ยง เพราะมันอ่อนโยนและน่ารัก อีกทั้งยังไม่ก้าวร้าว แต่มันก็ขี้อายเกินกว่าที่จะเข้าใกล้ชิดกับผู้คนได้
หลายคนพยายามฝึกฝนกระต่ายแห่งแดนสาบสูญให้ไม่ตื่นคน
แต่พวกเขาต่างก็ล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น
และแน่นอนผู้ปรับแต่งที่ทรงพลังคงจะยอมทำสิ่งใด ๆ ซ้ำและน่าเบื่อ
หอคอยหวงชาเองก็เช่นกันพวกเขาได้ลองพยายามแล้ว แต่ก็ล้มเหลว หลินตาไม่คิดเลยว่าคนที่จะทำมันได้สำเร็จคือศาลาไป่หยู่
“แม่ กระต่ายน้อยพวกนั้นน่ารักจัง” เด็กๆ หลายคนกระซิบบอกกับพ่อแม่
แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังคงไม่แยแส หรือทำเป็นไม่สนใจกับคำอ้อนวอนกึ่งขอให้ซื้อนั้น
ล้อกันเล่นน่า กระต่ายตัวหนึ่งมีราคาตั้ง 1000 หินวิญญาณเลยนะ
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้หญิงบางคน ก็เหมือนจะถูกกระตุ้นให้ซื้อ พวกนางไม่อาจต่อต้านสิ่งมีชีวิตที่น่ารักนี้ได้ แต่มันก็แพงเกินไป
ซึ่งลั่วอู๋ ก็ไม่ได้รีบร้อน “มู่เถา เอามันออกมา”
คนงานชายนำหินขนาดเท่ากับตัวกระต่ายแห่งแดนสาบสูญออกมา
เขาเอาสิ่งนี้ออกมาทำไม
จากนั้นคำพูดที่ออกมาจากปากของลั่วอู๋ ก็ทำให้ทุกคนตกใจ
“พุ่งชน”
ลั่วอู๋ สั่งให้กระต่ายแห่งแดนสาบสูญพุ่งชนก้อนหิน