อากาศของวันที่ออกจากโรงพยาบาลในวันนี้เมื่อเปรียบเทียบกับวันอื่นๆ แล้วไม่ถือว่าดีนัก 

 

 

ท้องฟ้ามืดครึ้ม สายฝนโปรยปราย 

 

 

สายฝนทั้งเบาและบางดั่งเส้นไหมตกลงมาไม่เกิดเสียงแม้แต่น้อย ราวกับกลุ่มหมอกปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาล 

 

 

เฉินฝานซิงชอบสายฝน ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่เกินจะบรรยาย 

 

 

แต่นาทีที่ยืนอยู่ที่ประตูสวนสาธารณะที่โรงพยาบาล เหม่อมองไปยังเงาขมุกขมัวของร่างสูงที่ถือร่มอยู่ท่ามกลางสายฝน เหตุผลอันกระจ่างชัดในใจก็ถูกเคลือบคลุม 

 

 

หยาดฝนเส้นบางโรยตัวลงมาไม่ขาดสาย รถคันสีดำที่จอดอยู่ท่ามกลางแสงสลัวแสดงให้เห็นถึงความเงียบขรึมและความสูงศักดิ์ 

 

 

ป๋อจิ่งชวนยืนกางร่มอยู่ข้างรถด้วยท่าทีเฉยเมย รูปร่างสูงสง่า แม้มองจากไกลๆ ยังรับรู้ได้ถึงความโครงหน้าที่งดงามเพียบพร้อม 

 

 

ความทะนงที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดแผ่ขยายความโอหังออกมาอย่างเยือกเย็น รังสีความกดดันแผ่ขยายออกมาโดยไม่รู้ตัว 

 

 

“ร่มครับคุณหนูเฉิน” 

 

 

อวี๋ซงโน้มตัวลงยื่นร่มให้แก่เธอ เธอหลุดออกจากภวังค์ยื่นมือไปรับร่มคันนั้นมา 

 

 

เธอสาวเท้าพลางกางร่มออก ร่างเพรียวค่อยๆ ก้าวเดินออกไปท่ามกลางฝนพรำ 

 

 

ป๋อจิ่งชวนในชุดสูทยี่ห้อแพงสั่งตัดทั้งตัวถูกรีดจนเนี้ยบ นัยน์ตาดำขลับจับจ้องหญิงสาวที่กำลังก้าวมาทางนี้ รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นจางๆ 

 

 

เฉินฝานซิงหยุดลงตรงหน้าเขา แหงนหน้าขึ้นมองร่างสูงของชายหนุ่ม 

 

 

“ไม่ต้องมาก็ได้ ฉันรู้ว่าคุณไม่มีเวลา” 

 

 

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคุณหรอก” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำชวนหลงใหลค่อยๆ แว่วดังขึ้นท่ามกลางสายฝน 

 

 

แววตาเรียบเฉยของเธอพราวประกายก่อนจะเบนหน้าไปอีกทาง 

 

 

กระชับร่มในฝ่ามือไว้แน่น เธออึ้งจนทำตัวไม่ถูกและอึดอัดใจอย่างปิดไม่มิด 

 

 

เขาไม่เคยจีบสาวมาก่อนจริงๆ เหรอ 

 

 

โปรยเสน่ห์เก่งขนาดนี้ แค่อ้าปากคำหวานก็ร่วงออกมาแล้ว 

 

 

ป๋อจิ่งชวนรับรู้ได้ถึงท่าทีเหนียมอายของคนตรงหน้า รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา 

 

 

เขาหันไปเปิดประตูรถให้เธอด้วยตัวเอง มองเธอก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ขึ้นรถเถอะ” 

 

 

เธอไม่ปฏิเสธ ก็ในเมื่อมาแล้วจะปฏิเสธอีกก็จะกวนโอ๊ยเกินไปแล้ว 

 

 

อวี๋ซงที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบรับร่มในมือของเธอมาถือไว้แล้วยืนมองจนเธอโน้มตัวขึ้นรถไป 

 

 

หลังจากนั้นป๋อจิ่งชวนจึงขึ้นมานั่งบนรถจากอีกฝั่ง 

 

 

อวี๋ซงรีบเก็บร่มทันที ก่อนจะรีบสาวเท้ามาขึ้นรถและจัดการรัดเข็มขัดให้เรียบร้อย 

 

 

มองผ่านกระจกมองหลังแล้วเอ่ยถาม 

 

 

“คุณหนูเฉินครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณกำลังจะไปที่ไหน” 

 

 

คุณผู้ชายไม่ยอมให้เขาสืบอะไรเกี่ยวกับเธอ นอกจากข่าวลือแล้วเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณหนูเฉินคนนี้เลย 

 

 

“คอนโดปี้ปัวค่ะ” 

 

 

“ครับ” 

 

 

อวี๋ซงตอบก่อนจะออกรถทันที 

 

 

ในรถเข้าสู่ความเงียบ ตั้งแต่ขึ้นรถมาเฉินฝานซิงก็เอาแต่เบนหน้ามองเมืองที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายฝนผ่านหน้าต่างรถ 

 

 

“ชอบเมืองนี้หรือชอบฝน” 

 

 

ป๋อจิ่งชวนถามพลางมองเธอด้วยท่าทางเรียบเฉย 

 

 

“ฝน” 

 

 

เธอแอบรู้สึกว่าตอบคำเดียวจะดูเย็นชาไป จึงต่อท้ายอีกหนึ่งประโยค “เมืองที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก มีอะไรให้น่าพิสมัย” 

 

 

เขาหัวเราะแผ่วเบา “พวกชอบเอาไม้ไผ่ลำเดียวสร้างเป็นเรือ” (ชอบเหมารวม) 

 

 

เธอดึงสีหน้าเรียบเฉยและเข้าใจความรู้สึกของเขาเช่นกัน 

 

 

เธอไม่ควรตัดสินเมืองนี้เพียงเพราะเธอเกลียดคนสกุลเฉิน 

 

 

เธอไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ป๋อจิ่งชวนก็ไม่ได้ว่าอะไร 

 

 

รถขับมาถึงคอนโดปี้ปอที่เฉินฝานซิงอาศัยอยู่อย่างไร้อุปสรรค 

 

 

ป๋อจิ่งชวนไม่มีทีท่าว่าจะลงจากรถ 

 

 

“วันนี้ขอบต้องคุณมากนะคะ” 

 

 

พูดเสร็จกำลังจะเปิดประตู อวี๋ซงก็ถือร่มรออยู่ข้างนอกรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

 

 

“ทำไม่ไมเปลี่ยนฝนวันนี้เป็นชีวิตใหม่ล่ะ” 

 

 

เธอชะงักก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มเจ้าของคำพูดนั้น 

 

 

เขาหันมายิ้มให้เธอ 

 

 

“เริ่มต้นใหม่ อดีตของคุณผมจะรับช่วงต่อ อนาคตของคุณผมจะรับผิดชอบเอง” 

 

 

หัวใจเธอหยุดเต้นไปชั่วขณะ! 

 

 

บนโลกนี้จะไปมีเรื่องดีๆ ขนาดนี้เสียที่ไหน 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นเธอคิดว่าแม้แต่นายทุนเองยังเสียดายเลย 

 

 

เธอเลิกคิ้วสงสัย “คุณต้องการอะไร” 

 

 

“ต้องการคุณ”