ตอนที่ 29 หัวใจเต้นตุ้บตั้บ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

หมอหนุ่มปาปากกาลูกลื่นแรงๆ ลงไปบนโต๊ะ 

 

 

คนที่เพิ่งบอกผู้ช่วยลู่ว่าไม่ให้ใจร้อนดูเหมือนจะหัวเสียด้วยเหมือนกัน 

 

 

นายน้อยเลื่อนปากกาไปอีกด้าน แล้วเอื้อมมือไปหยิบบุหรี่ แต่ไม่ได้จุด พออารมณ์เย็นลงแล้ว ควันจากๆรายล้อมใบหน้าหล่อเหลานั่นราวกับเป็นผ้าคลุม 

 

 

นายน้อยเจวี้ยนเชิดคางขึ้นเล็กน้อย “นายแน่ใจเหรอ คนนั้นดูไม่ใช่พวกชอบช่วยคนอื่นเลย” 

 

 

“เจ้าหน้าเบี้ยวเช็กข้อมูลเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นคนสืบเรื่องนักศึกษาเจ็ดคนที่หายสาบสูญไปเมื่อสามเดือนก่อนด้วยตัวเอง จึงเห็นว่าร่องรอยเหมือนกันเป๊ะ” ลู่จ้าวอิ่งคิดว่ามันผิดปกติเหมือนกัน ในขณะที่มือหนึ่งวางบนคีย์บอร์ด เขาหันไปมองเจ้านาย “ไม่น่าจะมีคนอื่นที่สกัดพวกเหยี่ยวดำได้นะครับ ผมว่าต้องเป็นเจ้าคิวแหละ คุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเจ้านั่นเป็นใคร” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนควงไฟแช็กในมือเล่น แล้วมองลอดกระจกแก้วออกไป ในขณะที่เด็กสาวคนหนึ่งกำลังเดินมาทางห้องพยาบาล 

 

 

แก้มของเธอแดงผิดปกติจนทำให้ส่วนอื่นของใบหน้านั้นดูซีดเผือด เด็กสาวข้างนอกเดินราวการลากขาอย่างอ่อนแรง เธอรูดซิปขึ้นไปจนสุด แม้ว่าข้างนอกอากาศจะร้อนอบอ้าวก็ตาม 

 

 

ด้วยอาการของเด็กน้อยในตอนนี้ทำให้เธอดูห่างเหินและเข้าถึงได้ยากน้อยลง 

 

 

โดยปกติ สาวคนนี้จะดูเย็นชาอยู่ในทีเสมอ แต่วันนี้ เด็กหน้าสวยกลับตาชื้นราวกับมีน้ำตาข้างใน และดูเปราะบางมากกว่าเวลาทั่วไป เฉิงเจวี้ยนยังคงคาบบุหรี่ไว้ในปาก โดยไม่พูดอะไร 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งปิดแล็ปท็อปและสงบปากตอนที่เห็นว่าฉินหร่านเดินเข้ามา 

 

 

เด็กสาวรู้ว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไรก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามา และดูเหมือนชายหนุ่มทั้งสองกำลังเลี่ยงการพูดจาต่อหน้าเธอ แต่ดาวโรงเรียนไม่ได้สนใจ โดยเฉพาะเวลาที่ปวดหัวตอนนี้ 

 

 

เด็กพาร์ตไทม์เดินเข้าไปยังบริเวณจัดเก็บอาหารเป็นอันดับแรก 

 

 

หมอหนุ่มเก็บเอกสาร และเคาะโต๊ะ “เธอป่วยเหรอ” 

 

 

“อืม” อีกฝ่ายพาตัวเองเดินเข้าไปในครัวอย่างเชื่องช้า เธอฟังดูเหนื่อยอ่อน “นิดหน่อยค่ะ” 

 

 

“ฉินหร่าน เธอป่วยได้ไง มาพักตรงนี้ก่อน ฉันจะวัดอุณหภูมิให้” ผู้ช่วยหนุ่มรีบยืนขึ้นให้เด็กสาวนั่ง 

 

 

เขาเดินไปหยิบเทอร์โมมิเตอร์มาวัดนักเรียนสาว 

 

 

“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ ฉันทานยาไปแล้วช่วงเช้า เดี๋ยวฉันไปทำอาหารก่อน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ 

 

 

เธอก็…ยังเท่เหมือนเดิม 

 

 

“ไม่” หนุ่มที่วัดอุณหภูมิส่ายหน้า 

 

 

“นี่เธอป่วยอยู่น่ะ อย่ามาทำเป็นแข็งแรง นั่งลงก่อน” เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้นให้เด็กสาวมานั่งที่โซฟา “ลู่จ้าวอิ่ง ให้โรงเรียนอวิ๋นอวี่ส่งอาหารมาที่นี่ด้วย” 

 

 

ผู้ช่วยหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อยตอนเห็นนายน้อยสละโซฟาให้เด็กสาว แต่เขาก็รีบเดินไปโทรศัพท์ 

 

 

“ไม่ต้องไปโรงอาหารแล้ว ที่นั่นคนเยอะเกินไป” หมอหนุ่มยื่นเทอร์โมมิเตอร์ให้เด็กสาวที่ป่วย “วัดอุณหภูมิก่อน” 

 

 

ฉินหร่านไม่เคยคิดว่าไข้มันจะเป็นเรื่องใหญ่? ไม่ใช่ว่าเธอแขนขาหักสักหน่อย 

 

 

เด็กสาววัดอุณหภูมิตัวเองได้สามสิบเก้าจุดห้าองศาเซลเซียส 

 

 

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รับเตรียมถุงน้ำเกลือมาฉีดเข้าเส้นให้ จากนั้นหนุ่มหล่อลุกไปหยิบน้ำอุ่น แล้วเติมยาน้ำเพิ่มเข้าไปในนั้นอีก เนื่องจากโดยทั่วไป คนป่วยจะรู้สึกคอแห้ง 

 

 

โซฟาตัวนี้สบายที่จะเอนตัวมาก หลังจากดื่มน้ำที่มียารสหวานลงไป ฉินหร่านรู้สึกง่วงมากขึ้น แล้วเสียงเฉิงเจวี้ยนเปิดเอกสารดูก็ค่อยลงๆ เรื่อยๆ 

 

 

หมอหน้าหล่อได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างๆ ตัว 

 

 

เขาวางเอกสารลง แล้วหันไปมองหน้าเด็กสาวที่ป่วยแทน บางทีอาจเป็นเพราะเธอป่วย แววหัวรั้นที่ปกติแผ่ออกมาจากตัวเธอหายไปหมด ขนตาคู่นั้นทิ่มลง ถุงใต้ตาดูเป็นสีเขียวซีด ซึ่งยิ่งเน้นให้เห็นว่าเด็กสาวผอมและเปราะบางแค่ไหน ตอนนี้เด็กคนงามนอนขดหัวราวกับลูกบอลตรงมุมโซฟา เพราะไม่อยากจะรบกวนการทำงานของคุณหมอ 

 

 

แขนที่วางพาดอยู่ด้านข้างของโซฟาซีดและผอม จุดที่ถูกเข็มฉีดยาเข้าไปเริ่มกลายเป็นช้ำเป็นจ้ำ 

 

 

นายน้อยมองดูเธออยู่พักหนึ่ง แล้วรู้สึกว่าบางอย่างในใจกำลังเต้นตุ้บตั้บ 

 

 

น้อยครั้งมากที่ฉินหร่านจะหลับได้เต็มอิ่มแบบนี้ พอเธอตื่นขึ้นมา ถุงน้ำเกลือหมดแล้ว และช่วงทบทวนบทเรียนตอนบ่ายก็ใกล้จะเลิกแล้วเช่นกัน ในขณะเดียวกัน โจ๊กกำลังถูกอุ่นอยู่ในเตาอบ 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเตรียมยาให้นักเรียนอีกคน 

 

 

พอเห็นว่าเด็กพาร์ตไทม์เริ่มกินโจ๊กที่โต๊ะ เขาจึงถามขึ้น “ให้ฉันเขียนใบลาป่วยให้ไหม” 

 

 

“ไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวส่ายหน้า แล้วยิ้ม เธอพูดด้วยน้ำเสียงปกติโดยไม่มีน้ำเสียงของความห่างเหินเหมือนกับตอนที่เจอพวกเขาครั้งก่อน “วันนี้ขอบคุณมากนะคะ” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนมุ่นคิ้วเล็กน้อย เขาอยากให้เด็กสาวอยู่ต่อและพักผ่อนในช่วงบ่ายให้พอ แต่ก็ไม่ได้พูดความคิดออกไป 

 

 

ตอนที่เด็กหน้าสวยเดินออกไป เขาวางเอกสารลง และจุดบุหรี่สูบในที่สุด 

 

 

เขารู้สึกหงุดหงิด 

 

 

ผู้ช่วยหนุ่มดูเหมือนกำลังคิดอะไรในใจ ในขณะที่ลูบคางตัวเอง และมองไปยังผู้เป็นนาย 

 

 

** 

 

 

บอสสาวหายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พอตกบ่าย ไข้เธอก็ลดลง แต่ถือว่ายังอ่อนแออยู่ แต่อย่างน้อยนับว่าอาการดีกว่าช่วงเช้าแล้ว 

 

 

“ฟิสิกส์ได้สิบสองคะแนน เคมีสิบแปด” เพื่อนร่วมโต๊ะช่วยแจกข้อสอบคืนให้ฉินหร่าน “หร่านหร่าน เก่งมาก” 

 

 

หากปัดเป็นเลขกลมๆ คะแนนเท่านี้นับว่าผ่านแล้ว 

 

 

เด็กสาวคนสวยมองไปยังเพื่อนกรรมการ แต่ไม่ได้พูดอะไร 

 

 

พวกเธอได้ผลสอบวิชาอังกฤษคืนในคาบสุดท้าย 

 

 

สวีเหยากวงไม่ได้ออกจากห้องทันที และไม่ได้ปรามเพื่อนสนิทจากการไปดูผลคะแนนของเด็กใหม่ด้วย สายตาเขากำลังจ้องมองไปที่ทั้งคู่ 

 

 

“ไข้ลดแล้วเหรอ” เฉี่ยวเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมไม่ลาป่วย” 

 

 

เพื่อนสาวพยักหน้า แล้วหยิบหนังสือ เธอจามอยู่เล็กน้อย “ฉันสบายดีแล้ว” 

 

 

“พักผ่อนให้มากๆ แล้วดื่มน้ำอุ่นด้วยล่ะ” หนุ่มช่างจ้อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับที่ แล้วหยิบอมยิ้มขึ้นมาจากใต้โต๊ะ เขายื่นมันให้เพื่อนสาว แล้วยักคิ้วด้วยท่าทีล้อเลียน “กินนี่สิ” 

 

 

พอถึงตอนนี้ ฉินอวี่มาถึงนอกห้องสามทับเก้าแล้ว เธอกำลังรอสวีเหยากวงและเฉี่ยวเซิง แต่ต้องตกใจเมื่อเห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

อดีตดาวโรงเรียนหันหน้าไปอีกทาง ไม่มองหน้าพี่สาว 

 

 

แต่เด็กสาวอดไม่ได้ที่จะแอบมองไปทางนั้นอีกครั้ง เฉี่ยวเซิงมักจะทำตัวเป็นนายน้อยผู้ส่งส่งเสมอ แต่วันนี้ เขาดูขี้เล่นเวลาที่คุยกับยัยนั่น เป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นเขาพูดจาอ่อนโยนกับคนอื่น 

 

 

พักหนึ่งหลังจากนั้น 

 

 

หนุ่มขี้เล่นหยิบกระเป๋า แล้วเดินออกมาทางประตูหลังห้องพร้อมเพื่อนสนิท 

 

 

สิ่งแรกที่เขาพูดคือ “นายน้อยสวี คะแนนวิชาอังกฤษของแม่เด็กใหม่พัฒนาขึ้นด้วย ได้ตั้งสามสิบคะแนนแน่ะ!” เขาพูดเชิงหยอก 

 

 

สามสิบคะแนน สวีเหยากวงขมวดคิ้ว เขาคิดเยอะเกินไปจริงๆตอนที่เห็นเพื่อนขี้เล่นเดินไปหาเพื่อนร่วมห้องคนนั้น 

 

 

“สามสิบคะแนนเหรอ” 

 

 

“อืม ถือว่าพัฒนามาไกลนะ ครั้งที่แล้วได้ศูนย์คะแนนเอง” ชายหนุ่มผู้พูดล้วงมือในกระเป๋า 

 

 

ฉินอวี่สังเกตเห็นว่านายน้อยสวียังดูเย็นชาและไม่ใส่ใจอยู่ เขาเพียงแต่ยิ้มออกมา แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ 

 

 

เธอจึงรู้สึกโล่งอก 

 

 

ทั้งสามคนเป็นไอดอลที่ทรงอิทธิพลในโรงเรียน แค่การเห็นพวกเขาคนใดคนหนึ่งก็ทำให้เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ กระซิบกระซาบกันแล้ว นี่ยังไม่นับเวลาที่สามคนปรากฏตัวพร้อมกัน 

 

 

นักเรียนบางคนถึงกับหยุดอยู่ที่ทางขึ้นบันไดเพื่อรอคนดังเหล่านี้ เพื่อจะได้เดินไปพร้อมกับพวกเขา 

 

 

ห้องห้าสำหรับเด็กเข้าใหม่ 

 

 

“มู่หยิง ไปด้วยกันเถอะ” เพื่อนร่วมเธอของเธอเป็นคนสดใส มัดผมรวบเป็นหางม้า เด็กคนนี้อยู่ในชมรมวารสารเช่นเดียวกัน ชื่อของเธอคือ หลี่อวี้หัน 

 

 

สองสาวต่างไม่ได้อยู่หอโรงเรียน 

 

 

เนื่องจากเป็นคนง่ายๆ หลี่อวี้หันจึงคล้องแขนตัวเองกับเพื่อนใหม่อย่างสบายอารมณ์ 

 

 

เนื่องจากมีนักเรียนใหม่มาถึงวันนี้ โรงเรียนจึงวุ่นวายไปด้วยผู้คนจำนวนมากทุกที่ 

 

 

ข้างหน้าถัดไปจากเด็กสาวทั้งสอง ดูจะมีเหตุชุลมุนขึ้น 

 

 

มองจากไกลๆ พวกเธอเห็นคนสามคนที่เดินเรียงแถวกันเป็นคนทำให้เกิดการมุงดู มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งในนั้นสวมชุดเดรส ที่ไม่ใช่เครื่องแบบโรงเรียน ด้านข้างเป็นเด็กหนุ่มสองคนที่ดูค่อนข้างเตะตา 

 

 

“ห หะ เห้ย!” มู่หยิงมองไปที่นักเรียนชายคนเท่ที่อยู่ตรงโน้น นั่นมัน เด็กเนิร์ดสุดล่ำของโรงเรียนนี่นา! เป็นเด็กชั้นม.หก สวีเหยากวง! ส่วนชายหนุ่มอีกคนคือ เฉี่ยวเซิง ทายาทตระกูลเฉี่ยว! หลี่อวี้หันบีบแขนเพื่อนที่มาด้วยความตื่นเต้น “ส่วนเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างพวกเขา รู้ไหมว่าเป็นใครกัน” 

 

 

“รู้สิ ดาวโรงเรียนอีจงไง…” มู่หยิงมองไปทางลูกพี่ลูกน้องด้วยความอิจฉา เธอมีความรู้สึกผสมปนเปกันเกิดขึ้นตอนที่เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อสองคนอยู่ข้างลูกพี่ลูกน้องคนสวยคนนั้น 

 

 

“นี่ ดาวโรงเรียนไหนกัน เธอนี่มาจากยุคไหนยะ” เด็กสาวหน้าตาสดใสหันหน้ามาอีกทางจากที่ฉินอวี่อยู่ “เธอไม่รู้เหรอว่าดาวโรงเรียนเปลี่ยนคนไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ชั้นมอหกเริ่ม” 

 

 

“ดาวโรงเรียนเปลี่ยนคนแล้วหรอ” มู่หยิงเพิ่งได้ยินข่าวดาวโรงเรียนเมื่อช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี่เอง ทำให้เธออึ้งกับข้อมูลใหม่ที่ได้ยินมา “แล้วตอนนี้เป็นใครอ้ะ”