ตอนที่ 26 ป่าไผ่

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เรือนหานปี้ซานนั้นกว้างใหญ่กว่าที่นางจินตนาการเอาไว้มาก เหมือนกับว่ายังมีอีกหนึ่งเรือนอยู่ทางทิศตะวันออกของป่าไผ่ นางมองเห็นดอกทับทิมสีแดงหลายดอกยื่นออกมาจากด้านหลังของกำแพงดอกไม้ 

 

 

ไม่รู้ว่าใครอาศัยอยู่ที่นั่น 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้เจตนาจะสอดส่องเรื่องของจวนหลัก นางจึงหมุนตัวไปตามเส้นทางเล็กๆ ของป่าไผ่มุ่งหน้าเดินไปทางเรือนหลัก 

 

 

ใครจะรู้ว่าระหว่างที่เดินไปเดินมานั้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้านอกจากต้นไผ่แล้วก็ยังมีแต่ต้นไผ่ ถนนที่ปูด้วยกรวดหินนั้นทอดออกไปเป็นทางเดินเส้นเล็กๆ อีกทั่วทุกมุม ไม่อาจรู้ได้ว่าทางเดินเส้นไหนไปทางใต้และเส้นไหนไปทางเหนือ ทัศนียภาพที่เห็นก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน ล้วนเหมือนกันทั้งหมด 

 

 

นางหลงทางจนได้! 

 

 

โจวเสาจิ่นชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างช่วยไม่ได้ จดจ่ออยู่กับการมองหาอยู่สักพัก ก็ยังมองไม่เห็นสีอื่นใดเลย 

 

 

จะลองหาอีกสักหนึ่งเค่อ 

 

 

หากว่ายังไม่ได้อะไร ก็จำต้องเสียหน้าร้องขอให้คนมาช่วยแล้ว! 

 

 

นางขบริมฝีปาก แล้วเลือกทางเดินเล็กๆ เส้นหนึ่งที่ดูเหมือนจะนำไปยังทิศตะวันออก 

 

 

ทางเดินเล็กๆ นี้คดเคี้ยวไปมา ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ในร่มเงาเขียวครึ้มของป่าไผ่นั้น เต็มไปด้วยเสียงหวีดหวิวของลมที่กรีดผ่านกิ่งก้านและใบไผ่ เงียบเชียบไร้ซึ่งเสียงคน 

 

 

มือของโจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยเหงื่อ 

 

 

ป่าไผ่แห่งนี้กว้างใหญ่แค่ไหนกันแน่นะ? 

 

 

ทำไมที่ผ่านมานางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจวนหลักมีป่าไผ่ที่กว้างใหญ่ขนาดนี้อยู่ที่นี่ด้วย 

 

 

อีกนานแค่ไหนกว่าจะเดินออกไปได้? 

 

 

นี่นางยิ่งเดินยิ่งไกลออกไป หรือยิ่งเดินยิ่งใกล้เข้ามากันแน่? 

 

 

โจวเสาจิ่นร้อนรนจนน้ำตาเกือบจะร่วงลงมาแล้ว 

 

 

นางลองตะโกนเสียงดังว่า “สวัสดี” ออกไปคำหนึ่ง 

 

 

น้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความหวาดกลัวสะท้อนก้องอยู่ในป่าไผ่ แต่มีเพียงนกที่ไม่รู้จักชื่อไม่กี่ตัวตกใจกระพือปีกบินข้ามศีรษะของนางไปเท่านั้น 

 

 

ด้านหน้าเป็นทางแยกสามทาง 

 

 

จะเดินต่อไปข้างหน้าหรือเลี้ยวซ้าย? หรือว่าจะเลี้ยวขวาดี? 

 

 

โจวเสาจิ่นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างตัดสินใจไม่ได้ เขย่งเท้ามองไปรอบๆ 

 

 

ทางด้านขวาของป่าไผ่เผยให้เห็นกำแพงสีขาวและหน้าต่างไม้ระแนงสีแดงที่มีลวดลายเป็นรอยร้าวของน้ำแข็งแขวนเอาไว้ด้วยผ้าม่านสีเหลืองอ่อนครึ่งบานอยู่รางๆ 

 

 

หน้าต่างไม้ระแนงของเรือนหานปี้ซานล้วนเป็นสีแดง มีลวดลายเป็นรอยร้าวของน้ำแข็ง และแขวนเอาไว้ด้วยผ้าม่านสีเหลืองอ่อน 

 

 

นางดีใจเป็นอย่างยิ่ง ยกกระโปรงเอาไว้แล้วรีบวิ่งไปทางด้านนั้นไปด้วย พลางร้องตะโกนถามเสียงดังไปด้วยว่า “มีคนอยู่หรือไม่” 

 

 

ทันใดนั้นก็มีคนพุ่งออกมาจากด้านหลังของนางและปิดปากของนางเอาไว้แน่น 

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจกรีดร้องแหลมสุดเสียง ทั้งโบกกำปั้นทุบต่อยและสะบัดเท้าถีบเตะ 

 

 

“อย่าร้องๆ!” มีคนเดินมาทางนาง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอย่างดี ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง น้ำเสียงใสกังวาน “ข้าไม่ใช่คนไม่ดี! ข้าเพียงผ่านมาทางป่าไผ่เท่านั้น เจ้าอย่าร้อง ข้าจะให้ต้าซูปล่อยเจ้าเดี๋ยวนี้!” 

 

 

โจวเสาจิ่นราวกับถูกสายฟ้าฟาด 

 

 

ทำไมนางต้องมาพบกับเขาอย่างกะทันหันเช่นนี้ 

 

 

ในเวลานี้เขาควรจะเรียนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาไม่ใช่หรือ 

 

 

นางกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่? 

 

 

โจวเสาจิ่นตัวสั่นสะท้าน ราวกับตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง 

 

 

เมื่อคนที่ปิดปากของนางเอาไว้เห็นว่านางไม่ดิ้นรนขัดขืน ก็ลองค่อยๆ ผ่อนคลายมือออก จนเมื่อเห็นว่านางไม่ขยับ ถึงค่อยปล่อยนางจริงๆ 

 

 

ตอนนี้เฉิงสวี่ถึงได้เห็นโจวเสาจิ่นแบบชัดเจน 

 

 

เขาร้อง ‘เอ๋’ ออกมาคำหนึ่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสนเท่ห์ เอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ทราบว่าน้องสาวเป็นคนของจวนไดหรือ ข้าคือเฉิงสวี่จากจวนหลัก ที่นี่คือเรือนหานปี้ซาน เป็นอาณาบริเวณของท่านย่าของข้า ไม่ทราบว่าน้องสาวชื่ออะไร ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน” 

 

 

โจวเสาจิ่นพูดไม่ออกแม้สักประโยค 

 

 

นางรู้สึกกำลังปวดไปถึงไขกระดูก 

 

 

ถึงแม้จะเคยตั้งปณิธานเอาไว้ว่า เมื่อได้พบกับเฉิงสวี่อีกครั้งจะต้องทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนแล้วยิ้มน้อยๆ เพื่อทักทาย แต่เมื่อได้พบกับเฉิงสวี่อีกครั้งแล้ว นางกลับไม่อาจทำอย่างที่กล่าวเอาไว้ได้ และสายตาของเฉิงสวี่ที่มองนางยิ่งทำให้นางรู้สึกขนลุกชันขึ้นด้วยความหวาดกลัว อยากจะวิ่งหนีไปโดยสัญชาตญาณ 

 

 

เฉิงสวี่เห็นสีหน้าของนางซีดเผือดลง ก็ให้รู้สึกละอายอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากที่หันไปส่งสายตาตำหนิต้าซูคนข้างกายของตนเองสายหนึ่งแล้ว จึงยิ้มพลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “น้องสาว ทำให้เจ้ากลัวแล้วใช่หรือไม่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าเองก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนออกมาจากป่าไผ่กะทันหันเช่นนี้ ข้าต้องขออภัยน้องสาวด้วย” ขณะที่เขาพูดนั้น ก็หันไปโค้งตัวให้โจวเสาจิ่นพลางกล่าว “น้องสาวรีบหายโกรธเถอะนะ!” 

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับหวาดกลัวจนก้าวถอยหลังไม่หยุดไปหลายก้าว จนกระทั่งมีเสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้า ถึงทำให้นางดึงสติกลับมาได้ 

 

 

ไม่กลัวๆ! 

 

 

ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น! 

 

 

ข้าสามารถช่วยเหลือตระกูลเฉิงได้อย่างแน่นอน! 

 

 

นางปลอบโยนตัวเองไม่หยุด รีบกล่าวออกไปประโยคหนึ่งว่า “ข้าเองก็เพียงผ่านมาทางป่าไผ่เท่านั้น” ก้าวเท้าวิ่งไปยังทางเดินเล็กๆ ด้านขวา แม้แต่เส้นทางก็ไม่ได้สอบถาม 

 

 

“เฮ้!” เฉิงสวี่ตะโกนไล่หลังของนางไปว่า “เดินไปตามทางเดินเล็กเส้นตรงกลาง ถึงโค้งก็จะเป็นประตูหลังของเรือนหลัก” 

 

 

โจวเสาจิ่นชะงักเท้าเล็กน้อย ครุ่นคิด สุดท้ายก็เลือกทางเดินเล็กเส้นตรงกลาง 

 

 

เฉิงสวี่มองแล้วก็ยกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก 

 

 

เดินไม่ถึงระยะหนึ่งลูกศร โจวเสาจิ่นก็มองเห็นมุมเลี้ยวหนึ่ง เมื่อผ่านไปแล้วก็เป็นประตูหลังของเรือนหลัก พื้นที่ล้อมรอบล้วนปลูกเอาไว้ด้วยต้นไผ่ 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่กล้าเดินสะเปะสะปะอีก จึงขยับขึ้นด้านหน้าไปเคาะประตู 

 

 

มีป้าคนหนึ่งที่ประดับศีรษะด้วยดอกซิ่วฉิวออกมาเปิดประตู เห็นนางแล้วก็เบิกตาโตมองด้วยความประหลาดใจ 

 

 

โจวเสาจิ่นอธิบายสถานการณ์ของตัวเองออกมาอย่างเขินอาย 

 

 

ป้าคนนั้นรีบเปิดประตูต้อนรับนางเข้าไป พลางเดินไปด้วยหัวเราะไปด้วยกล่าวว่า “คุณหนูรอง ท่านไม่ใช่คนแรกที่หลงทางอยู่ในป่าไผ่หรอกเจ้าค่ะ เมื่อก่อนคุณหนูเซิงก็เคยหลงทางอยู่ในป่าไผ่เช่นกัน หลังจากที่ฮูหยินทราบเรื่องแล้วยังพูดเอาไว้ว่าจะต้องปลูกต้นไม้เพิ่มในป่าไผ่อีกสักหลายๆ ต้น หากว่ามีใครหลงทางอยู่ในป่าไผ่อีก ก็ให้เดินไปตามแนวของต้นไม้ก็จะสามารถออกมาจากป่าไผ่ได้เจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณนางอย่างซาบซึ้งใจ ด้วยกลัวว่าสภาพของตนเองจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตกอกตกใจได้ จึงเอ่ยถามนางเสียงเบาว่าช่วยหาสถานที่ส่วนตัวให้ตนเองล้างหน้าล้างตาสักที่ได้หรือไม่ “เดี๋ยวข้ายังต้องไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อกล่าวอำลา” 

 

 

“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยเจ้าค่ะ” ป้าเดินนำนางไปที่ห้องน้ำชาห้องหนึ่งอย่างกระตือรือร้น พลางกล่าว “เมื่อก่อนตอนที่คุณหนูเซิงเล่นซนอยู่ข้างนอกแล้วไม่กล้าให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่อง ก็ล้างมือล้างหน้าอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ…ข้าจะลองหาดู น่าจะยังมีอ่างทองแดงและสบู่หอมที่คุณหนูเซิงเคยใช้เหลือเอาไว้อยู่เจ้าค่ะ” ยังกล่าวอีกว่า “มือเท้าบ่าวหยาบกร้านยิ่งนัก เกรงว่าจะทำให้ผิวหน้าของคุณหนูรองบาดเจ็บได้ สาวใช้ของท่านอยู่ที่ไหนเจ้าคะ บ่าวจะไปแอบเรียกนางมาปรนนิบัติท่านเจ้าค่ะ” 

 

 

พอป้าพูดเช่นนี้แล้ว ก็ได้เตือนให้โจวเสาจิ่นนึกขึ้นได้ 

 

 

นางรีบกล่าว “ข้าเองก็ไม่ได้บอบบางอย่างที่หมัวมัวกล่าวขนาดนั้น เพียงแต่ว่าซือเซียง สาวใช้ของข้าผู้นั้นยังรอข้าอยู่ที่ด้านนอก หากว่านางไม่เห็นข้าแล้วตะโกนเรียกขึ้นมาคงจะทำให้ยุ่งยากขึ้นเป็นแน่ ขอรบกวนหมัวมัวช่วยนำคำของข้าไปแจ้งนางสักหน่อย” 

 

 

ป้าหัวเราะร่าตอบ “เจ้าค่ะ” จากนั้นนำน้ำร้อนเข้ามา เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา ก็พาซือเซียงกลับมาด้วย 

 

 

ซือเซียงที่เห็นโจวเสาจิ่นในสภาพเสื้อผ้ายุ่งเหยิงแล้วก็ตกใจอย่างแรงไปทีหนึ่ง 

 

 

โจวเสาจิ่นไม่รอให้นางถามก็เล่าเรื่องที่นางเผชิญมาทั้งหมดให้นางฟัง ส่วนเรื่องที่นางได้พบกับเฉิงสวี่นั้น นางละไว้เอาไว้ไม่พูดถึง 

 

 

ซือเซียงอดหวาดกลัวไม่ได้อยู่ดี กล่าวว่า “ยังดีที่ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ายังสนทนากับพ่อบ้านใหญ่อยู่เจ้าค่ะ” 

 

 

นี่ถือได้ว่าน่ากลัวกว่าได้รับบาดเจ็บเสียอีก! 

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็อดยินดีขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

หลังจากที่ซือเซียงปรนนิบัติล้างหน้าล้างตาให้นางอยู่ที่ห้องด้านข้างนั้นแล้ว ด้วยการชี้บอกทางของป้าผู้นั้น พวกนางจึงออกจากประตูหลังไปยังเรือนหลัก 

 

 

ไม่นาน ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ส่งหัวหน้าพ่อบ้านฉินโส่วเยว์ของจวนหลักออกมา 

 

 

โจวเสาจิ่นกลัวว่าจะได้พบกับเฉิงสวี่อีก จึงรีบเข้าไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัว 

 

 

นางรีบแต่ผู้อื่นกลับไม่รีบ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดึงนางเอาไว้แล้วสอบถามถึงเรื่องที่นางคัดลอกพระธรรมมากว่าครึ่งค่อนวัน 

 

 

โจวเสาจิ่นจำต้องระงับท่าทีเอาไว้แล้วตอบคำถามข้อแล้วข้อเล่า 

 

 

แต่ยังไม่ทันรอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามคำถามเสร็จ เฝ่ยชุ่ยก็เดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณชายใหญ่มาเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจยิ่งนัก จากนั้นก็กล่าวอย่างยินดีขึ้นมาว่า “เขามาทำอะไรที่นี่ในเวลานี้ ไม่ไปที่ห้องเซิ่นไหวหรือ” จากนั้นก็สั่งการปี้อวี้ว่า “เขาชอบกินจวี๋ปิ่ง [1] เป็นที่สุด เจ้านำจวี๋ปิ่งที่นายท่านใหญ่นำกลับมาให้ข้าจากจิงเฉิงเมื่อหลายวันก่อนจัดมาสักหน่อย…ผลไม้อบน้ำผึ้งพวกนั้นก็จัดมาด้วยสักหน่อย…ยังมีขนมงาอัดแท่ง…และชงชาต้าหงเผา [2] มาด้วย เด็กคนนี้ ข้าได้ยินจวี๋เหมยพูดว่า หลายวันมานี้เขามีอาการตัวเย็นเล็กน้อย ฉะนั้นก็อย่านำชาเขียวขึ้นโต๊ะเลย” 

 

 

ปี้อวี้ยิ้มพลางขานตอบ “เจ้าค่ะ” แล้วหมุนตัวไปจัดเตรียมชาและของว่าง 

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งร่าง ลุกขึ้นหมายจะกล่าวอำลา 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับดึงนางเอาไว้ “เป็นพี่ชายสวี่ของเจ้า ต่อไปเมื่อเจ้าคัดลอกพระธรรมอยู่ที่จวนหลัก ก็ย่อมหนีไม่พ้นต้องได้พบกับเขา” ยังกล่าวอีกว่า “ถึงแม้ว่าเขาจะมีนิสัยเป็นผู้ชอบทำลายความสงบไปบ้าง แต่กลับปฏิบัติต่อพี่สาวน้องสาวด้วยความอดทนอดกลั้น เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย” 

 

 

ในเวลานี้โจวเสาจิ่นที่อยากจะจากไปท่าเดียว ไหนเลยจะได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้พูดอะไรไปบ้าง แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าว ผ้าม่านก็ถูกเลิกขึ้น เจินจูก็ได้พาเฉิงสวี่เดินเข้ามาแล้ว 

 

 

“ท่านย่า!” เขาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างเคารพนบนอบ 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองเขา ดวงตาล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอให้เขาทำความเคารพเสร็จแล้ว ก็แนะนำโจวเสาจิ่นให้เขารู้จัก “นี่คือคุณหนูรองของป้าใหญ่จวนสี่ น้องสาวตระกูลโจว” 

 

 

เขาขยับขึ้นด้านหน้าคารวะโจวเสาจิ่น เขาคารวะโจวเสาจิ่นด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม 

 

 

โจวเสาจิ่นคารวะตอบอย่างมึนงง เงยหน้าขึ้นกลับได้พบกับเฉิงสวี่ที่ยืนหันหลังให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่นั้น หันมาขยิบตาให้นางอย่างพึงพอใจ 

 

 

นางไม่รู้ว่าเฉิงสวี่พึงพอใจเรื่องอะไร เพียงรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาทำให้ตาพร่าเล็กน้อย ตนเองขมวดคิ้วมุ่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็กล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ข้ามาเป็นวันแรก เกรงว่าท่านยายจะมีเรื่องอยากสอบถามข้า เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ!” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รั้งนางเอาไว้อีก ให้ปี้อวี้ไปส่งนาง 

 

 

โจวเสาจิ่นรีบก้าวเท้าออกจากเรือนหานปี้ซาน กระทั่งย่ำเท้าลงบนทางเดินปูด้วยหินที่จะไปยังจวนสี่แล้ว อารมณ์ของนางถึงได้สงบลงมา 

 

 

ซือเซียงกลับหวนนึกถึงตอนที่เพิ่งได้พบหน้ากับเฉิงสวี่ขึ้นมา “ไม่แปลกใจที่ผู้คนล้วนกล่าวกันว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นโปรดปรานคุณชายใหญ่สวี่มากที่สุด ท่านดูท่าทางที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองคุณชายใหญ่สวี่เมื่อสักครู่นี้สิเจ้าคะ ราวกับปรารถนาจะถือเอาไว้ในอุ้งมือด้วยกลัวตกลงไป หรืออมเอาไว้ในปากด้วยกลัวว่าจะละลายอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือคุณชายใหญ่สวี่นั้นยังไม่ถูกตามใจจนเสียนิสัย พี่ชายของชุ่ยหวนที่ประจำการอยู่ที่ประตูทางเข้าหลักกล่าวว่า คุณชายใหญ่สวี่นั้นไม่เคยกลับเข้ามากลางดึกเลยเจ้าค่ะ หากว่าออกเดินทางไกล จะต้องมีของหายากติดมือกลับมาฝากพวกเขาด้วย บ่าวพวกนั้นล้วนลับคมสมองอยากไปเป็นบ่าวรับใช้ที่เหลี่ยงอี๋เซวียนเจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นได้ฟังแล้วเพียงรู้สึกว่าไม่พอใจ และกล่าวระบายอย่างโกรธเคืองว่า “เรื่องของผู้อื่นมีอะไรดีให้ต้องพูดถึงกัน หากว่าเจ้าว่างนัก นับจากพรุ่งนี้ไปก็ช่วยข้ากับท่านพี่ถักถุงตาข่ายสักสิบยี่สิบอันก็แล้วกัน รอให้ถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างจะได้นำมาบรรจุถุงหอมมอบให้ผู้อื่นได้” 

 

 

ซือเซียงถูกตำหนิอย่างไร้เหตุผล หน้าเจื่อนไปเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะ ‘ฮ่าๆ’ ออกมาจากข้างทาง 

 

 

โจวเสาจิ่นฟังแล้วเป็นเสียงของชายผู้หนึ่ง ประสบการณ์ในชาติก่อนผุดขึ้นมาในหัว หากไม่ใช่เพราะว่าตระกูลเฉิงนั้นมีการจัดการที่เข้มงวดมาโดยตลอด นางที่อาศัยอยู่ในตระกูลเฉิงมาสิบกว่าปีไม่เคยพบผู้ชายที่เป็นคนนอกในจวนชั้นในมาก่อนเลยสักคน ไม่เช่นนั้นจะเดินตามเฉิงเจียไปที่สวนดอกไม้คนเดียวโดยไม่มีใครติดตามไปด้วยเช่นนั้นหรอกหรือ 

 

 

สีหน้าของนางฉับพลันตึงเครียดขึ้น ดึงแขนของซือเซียงเอาไว้แน่น ตะโกนเสียงดังออกไปอย่างระแวดระวังว่า “เป็นผู้ใด” 

 

 

เฉิงสวี่เดินออกมาจากดงป่าที่อยู่ข้างๆ ด้านหลังยังคงติดตามมาด้วยต้าซู คนข้างกายของเขาผู้มีรูปร่างเตี้ยและใบหน้าม่วงเข้มผู้นั้น 

 

 

“น้องสาวยามอยู่ต่อหน้าท่านย่านั้นช่างเฉลียวฉลาดและมีเหตุผล ใครจะรู้ว่าเมื่ออยู่ลับหลังท่านย่าแล้วกลับชอบสร้างเรื่องให้ผู้อื่น!” เขายิ้มพลางมองโจวเสาจิ่น แววตาสดใสราวกับแสงแดดที่สุกสว่างในฤดูร้อน “เห็นแก่ที่ข้าและน้องสาวมีวาสนาต่อกัน ข้าจะใจดีช่วยน้องสาวปิดบังเอาไว้ก็แล้วกัน” 

 

 

น้องสาวพี่สาว ที่แท้เขาก็เป็นเพียงคนที่หยิบหย่งผู้หนึ่งเท่านั้น! 

 

 

โจวเสาจิ่นคร้านจะมองเขา จึงหมุนตัวออกเดิน 

 

 

เฉิงสวี่กลับหัวเราะอยู่ด้านหลังของนางพลางกล่าว “น้องสาวไม่กลัวว่าท่านย่าจะทราบว่าเจ้าหลงทางอยู่ในป่าไผ่หรอกหรือ” 

 

 

น้ำเสียงนั้นค่อนข้างให้ความรู้สึกว่ากวนประสาทแฝงอยู่ 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] จวี๋ปิ่ง ส้มเชื่อมน้ำตาลตากแห้ง 

 

 

[2] ชาต้าหงเผา ชาอู่หลงประเภทหนึ่งที่มีราคาสูง