ตอนที่ 27 ไม่ได้เจตนา

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เมื่อได้ยินเช่นนั้นโจวเสาจิ่นก็แสดงอาการมึนตึงออกมาเล็กน้อย หมุนตัวกลับมามองเฉิงสวี่อย่างระแวดระวัง 

 

 

เขาต้องการจะทำอะไร 

 

 

อย่างไรก็ตาม การที่เขามาหาตนเอง ย่อมต้องยังมีอะไรเป็นแน่ นางไม่รู้วัตถุประสงค์ของการมาของเขา หากพูดมากไปก็จะเป็นการเผยเกือกม้าให้เขาจับจุดอ่อนได้ ไม่สู้รอให้เขาพูดวัตถุประสงค์มาให้ชัดเจนก่อนแล้วตนเองค่อยตัดสินใจอีกที 

 

 

โจวเสาจิ่นหลบอยู่ด้านหลังของซือเซียงเอาไว้ครึ่งตัว 

 

 

ซือเซียงฟังแล้วก็ใจเต้นแรงขึ้นมา 

 

 

ก่อนหน้านี้คุณหนูรองเรียกนางไปด้วยอาการตื่นตระหนกไปทั้งร่าง บอกเพียงว่าหลงทางอยู่ในป่าไผ่ เรื่องอื่นๆ กลับไม่ได้เอ่ยถึงเลยสักประโยค ตอนนี้จึงรู้สึกวิตกกังวลยิ่งนัก…หรือว่าจะเป็นอย่างที่คุณชายใหญ่สวี่กล่าว คุณหนูรองได้กระทำเรื่องอะไรที่ไม่สมควรกระทำเข้า? 

 

 

นางใจเต้นไม่หยุด ทันใดก็นึกถึงที่คุณหนูใหญ่มักจะพูดกับพวกนางอยู่ตลอดว่า ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ก็อย่ายอมแพ้ ถึงแม้คุณหนูรองจะกระทำเรื่องที่ไม่สมควรกระทำเข้า แต่ว่า หนึ่งไม่มีพยานบุคคล และสองไม่มีหลักฐาน ด้วยคำเพียงไม่กี่คำของคุณชายใหญ่สวี่ พวกนางก็ต้องยอมรับแล้วอย่างนั้นหรือ 

 

 

ซือเซียงพลันกล้าหาญขึ้นมาเป็นทวีคูณ ก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวเพื่อบังโจวเสาจิ่นเอาไว้ที่ด้านหลังของตนเอง แสร้งทำเป็นสงบนิ่งแล้วกล่าว “คุณชายใหญ่สวี่พูดถึงอะไรหรือเจ้าคะ ทำไมพวกข้าฟังแล้วไม่เข้าใจเจ้าคะ” 

 

 

เฉิงสวี่อดมองไปที่ซือเซียงครั้งหนึ่งไม่ได้ 

 

 

กล้าที่จะเอ่ยปากพูดก่อนต่อหน้าคุณหนูเช่นนี้ เห็นทีว่าสาวใช้ผู้นี้คงเป็นที่น่าเชื่อถือไม่น้อยในเรือนหว่านเซียงเป็นแน่ 

 

 

เขามองโจวเสาจิ่นด้วยรอยยิ้มจางๆ พลางกล่าว “สิ่งที่ข้าพูดไป เจ้าไม่เข้าใจ แต่คุณหนูของเจ้าต้องเข้าใจอย่างแน่นอน ข้าพูดถูกหรือไม่ น้องสาวตระกูลโจว” 

 

 

ไม่ใช่ว่าเขานั้นทั้งฉลาดเฉลียวและอ่อนน้อมถ่อมตน คนที่ได้รับคำชื่นชมจากทั้งนายและบ่าวของตระกูลเฉิงทุกคน คนที่หยวนซื่อมองว่าเป็นหลานชายคนโตของจวนหลักที่สามารถพึ่งพาได้ไปตลอดชีวิต คนที่จะเป็นผู้นำของตระกูลเฉิงในอนาคตหรอกหรือ ทำไมถึงได้ทำอะไรเหลาะแหละเช่นนี้ 

 

 

หรือว่าเรื่องทั้งหมดที่ตนเคยได้ยินมาเมื่อชาติก่อนนั้นจะเป็นเรื่องเท็จ? 

 

 

โจวเสาจิ่นเม้มปากแน่นไม่พูดอะไร ในแววตามีความระแวดระวังเพิ่มมากยิ่งขึ้น 

 

 

ซือเซียงวิตกกังวลตามไปด้วย 

 

 

แต่ว่าเฉิงสวี่นั้นเป็นคุณชายใหญ่ของจวนหลัก จะไปเปรียบกับบ่าวชายที่ทำอะไรบุ่มบ่ามพวกนั้นได้อย่างไรกัน การที่เขากล้ามาหาเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีแผนเอาไว้แล้วเป็นแน่ 

 

 

นางมองไปยังโจวเสาจิ่นที่หลบอยู่ข้างหลังของตนเองทีหนึ่ง อดวิตกขึ้นมาในใจไม่ได้ แสร้งทำใจดีสู้เสือกล่าวขึ้นว่า “ท่านคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ” 

 

 

เฉิงสวี่ไม่กล่าวอะไร ยิ้มพลางมองไปที่โจวเสาจิ่น ทว่ากลับดึงดอกซิ่วฉิว [1] ที่ทำจากผ้าไหมดอกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ 

 

 

ป้าคนที่เปิดประตูให้โจวเสาจิ่นผู้นั้น ก็ประดับผมด้วยดอกซิ่วฉิวที่ทำจากผ้าไหมเช่นนี้ดอกหนึ่ง 

 

 

ท่าทางของซือเซียงเปลี่ยนไปมาก มองไปที่โจวเสาจิ่นอีกครั้ง สีหน้าซีดขาวจนทำให้คนตกใจ ราวกับจะเป็นลมล้มลงไปในทันใดอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

นางไหนเลยจะทนนิ่งอยู่ได้ กล่าวอย่างไร้ซุ่มเสียงว่า “คุณชายใหญ่สวี่ต้องการอะไรหรือเจ้าคะ” 

 

 

เฉิงสวี่ประหลาดใจยิ่งนัก 

 

 

เขาเพียงอยากแกล้งแหย่น้องสาวตระกูลโจวผู้นี้ จากนั้นค่อยหาจังหวะดีๆ แก้ไขปมปัญหาก่อนหน้านี้ ไม่คิดว่าเรื่องกลับตาลปัตร ทำให้น้องสาวตระกูลโจวตกใจอีกครั้งจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ 

 

 

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก! 

 

 

ทันใดนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ทั้งสองพบหน้ากันเป็นครั้งแรกในป่าไผ่ 

 

 

หรือว่านางจะได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยินเข้าแล้ว? 

 

 

เขาคิดถึงตอนที่ตนเองกล่าวขอโทษโจวเสาจิ่นอย่างจริงใจ แต่โจวเสาจิ่นกลับวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับเจอผีอย่างไรอย่างนั้น…ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตอนอยู่ในป่าไผ่นั้นโจวเสาจิ่นต้องได้ยินอะไรบางอย่างแล้วอย่างแน่นอน 

 

 

เขาระงับท่าทีเอาไว้เล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ สีหน้าไม่มีท่าทีหยอกเย้าสนุกสนานเหมือนก่อนหน้านี้อีก ในทางตรงกันข้ามกลับแสดงให้เห็นถึงการมีความลุ่มลึกของเขาทั้งที่อายุยังน้อยอยู่หลายส่วนเมื่อเขาส่งสายตาไปที่ต้าซูครั้งหนึ่ง 

 

 

ต้าซูถอยไปหลบอยู่ในป่าไผ่โดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ 

 

 

เฉิงสวี่ถึงได้กล่าวกับโจวเสาจิ่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องสาวตระกูลโจว ข้าอยากคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวสักสองสามประโยค ได้หรือไม่” 

 

 

แต่โจวเสาจิ่นไม่อยากอยู่กับเขาเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่นิดเดียว การพูดคุยด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง 

 

 

“ไม่!” นางปฏิเสธข้อเสนอของเฉิงสวี่อย่างไม่อ้อมค้อม กล่าวเสียงแข็งว่า “ข้าไม่มีเรื่องอะไรที่เปิดเผยไม่ได้ จึงไม่มีอะไรต้องพูดกับท่านอีกเจ้าค่ะ!” 

 

 

เฉิงสวี่อดร้อนรนขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “น้องสาวตระกูลโจว ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ หากว่าข้าคิดจะบอกท่านย่า ก็คงไม่วิ่งตามเจ้าออกมา และยังพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าหรอก” ยังกล่าวต่อว่า “เจ้าวางใจได้ เรื่องในป่าไผ่นั้นข้าจะไม่บอกผู้ใดเป็นแน่ แต่ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า เจ้ากรุณาฟังข้าสักหน่อย ป่าไผ่นั้นเป็นสนามประลองเล็กๆ ที่หนึ่ง คนทั่วไปที่เข้าไปมักจะหาทางออกมาไม่ได้ หากว่าข้าสามารถนำดอกซิ่วฉิวดอกนี้ออกมาได้ คนอื่นก็สามารถนำออกมาได้เช่นเดียวกัน หากว่าก่อนหน้านี้ข้าทำให้เจ้าเข้าใจผิด ข้าขออภัยเจ้า เจ้ากรุณาฟังข้าพูดสักสองประโยค ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการดีต่อเจ้า หากว่าเจ้าไม่เชื่อ ข้าสาบานต่อสวรรค์ก็ได้!” 

 

 

ท่าทีที่เขาแสดงออกมานั้นจริงใจ ไม่ว่าใครพบเห็นก็ล้วนไม่สงสัยเลยว่าเขากำลังพูดปด 

 

 

แต่คนที่เขากำลังเผชิญอยู่ด้วยนี้คือโจวเสาจิ่น ต่อให้นางเชื่อว่าที่เขากล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง นางก็ไม่อาจอยู่กับเขาเพียงลำพังได้แม้แต่เค่อเดียว ยิ่งนับประสาอะไรกับคนๆ นี้ที่โจวเสาจิ่นไม่ชอบจากก้นบึ้งของหัวใจ มีอคติด้วยตั้งแต่แรกพบ จึงไม่มีทางเชื่อสิ่งที่เขาพูด 

 

 

“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ!” สีหน้าของนางเย็นชา “หากท่านไม่มีเรื่องอะไรแล้ว พวกข้าขอตัวกลับก่อน วันพรุ่งนี้ข้ายังต้องไปเรียนที่ห้องศึกษาจิ้งอันอีกตั้งแต่เช้า! ไม่เหมือนกับคุณชายใหญ่สวี่ ที่มีตำแหน่งจากราชการมาตั้งนานแล้ว จะเรียนหรือไม่เรียนล้วนไม่ต้องเคร่งครัดแล้ว” ถึงแม้ตัดสินใจเลือกที่จะลืม แต่ความขุ่นเคืองใจในชาติก่อนเหล่านั้น ไม่ใช่พอพูดว่าปล่อยไปแล้วมันจะสามารถหายไปได้เลย เมื่อพูดถึงท้ายประโยค นางจึงอดไม่ได้ถากถางเฉิงสวี่ไปประโยคหนึ่ง 

 

 

เฉิงสวี่ขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

น้องสาวตระกูลโจวผู้นี้ หน้าตาน่ารักอ่อนหวานราวกับดอกไม้ดอกหนึ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนรักใคร่ แต่ทำไมถึงได้มีนิสัยดื้อรั้นขนาดนี้ 

 

 

เขาไม่พอใจเล็กน้อย ส่งสายตาลึกล้ำมองไปที่ซือเซียงครั้งหนึ่ง 

 

 

ซือเซียงรู้สึกว่าตนเองตื่นตระหนกราวกับตอนที่ถูกคุณหนูใหญ่มองครั้งหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น จึงหมุนตัวอยากจะหลบออกไป 

 

 

โจวเสาจิ่นกลับกอดแขนของซือเซียงเอาไว้แน่น 

 

 

ซือเซียงจำต้องเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนูรอง ข้าจะยืนอยู่ข้างต้นหลิวที่อยู่ด้านหน้าต้นนั้น เพียงท่านเรียกข้า ข้าก็จะรีบมาเจ้าค่ะ” 

 

 

หากเป็นเช่นนี้ โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกกลัวเช่นกัน 

 

 

“ไม่ต้อง” นางกอดแขนของซือเซียงแน่นขึ้น “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเขา เขาอยากจะบอกใครก็บอกไป พวกเรากลับไปที่เรือนหว่านเซียงกันเถอะ!” 

 

 

ซือเซียงกลับไม่มีความกล้าเช่นนั้น 

 

 

เนื่องจากนางไม่ใช่บ่าวของตระกูลโจวและก็ไม่ใช่บ่าวของตระกูลเฉิง เดิมทีนางเป็นชาวจินหลิง ตอนอายุห้าขวบนั้นเกือบจะต้องอดตายอย่างหิวโหยเพราะในบ้านไม่มีข้าวสารพอจะกรอกหม้อ จึงถูกขายมาที่ตระกูลโจว ตระกูลโจวนั้นปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเอื้ออารีเสมอมา บิดาและพี่ชายของนางยังมาเยี่ยมนางอยู่เป็นครั้งคราว ให้นางถนอมโชควาสนานี้เอาไว้ และตั้งใจเป็นบ่าวรับใช้ที่ดีอยู่ในเรือนหว่านเซียง แต่สำหรับพวกเขาที่เป็นชาวจินหลิงดั้งเดิมนี้ ตระกูลเฉิงนั้นราวกับภูเขาที่สูงส่ง เป็นดังยักษาสูงใหญ่ที่พวกเขาไม่สามารถจิตนาการได้ ทำให้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ 

 

 

“คุณหนูรองเจ้าคะ” หลังจากที่นางลังเลไปชั่วครู่ ก็กระซิบกล่าวโน้มน้าวโจวเสาจิ่นว่า “ท่านลองฟังดูหน่อยว่าคุณชายใหญ่สวี่จะพูดอย่างไรดีหรือไม่เจ้าคะ ข้าดูแล้วเหมือนกับว่าคุณชายใหญ่สวี่มีเรื่องอยากพูดกับท่านจริงๆ เจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะอย่างดื้อดึง 

 

 

เฉิงสวี่อยากจะสะบัดมือแล้วเดินจากไปเสียจริง แต่เมื่อมองใบหน้าที่ขาวซีดดังหิมะ และท่าทีที่ว่าง่ายของโจวเสาจิ่น ราวกับมีน้ำบ่อหนึ่งกำลังเอ่อล้นอยู่ในใจ ทำให้ใจของเขาอ่อนยวบลงอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทนจากไปเช่นนี้ไม่ได้! 

 

 

“เฮ้อ!” เขาจำต้องถอนหายใจพลางตะโกนบอกต้าซูว่า “เจ้าดูเอาไว้หน่อย ข้ามีเรื่องจะพูดกับคุณหนูรอง” กล่าวกับซือเซียงอีกด้วยว่า “เจ้าก็ฟังอยู่ข้างๆ ด้วยก็แล้วกัน” กล่าวเสร็จ สีหน้าก็เคร่งขึ้น กล่าวต่อว่า “แต่ หากว่ามีบุคคลที่สามรู้เรื่องที่ข้าพูดกับคุณหนูรอง เจ้าก็รอให้ถูกตัดลิ้น ควักลูกตา แล้วถูกขายไปยังหุบเขาที่ห่างไกลเอาไว้ได้เลย!” 

 

 

ซือเซียงถูกคำพูดนั้นทำให้กลัวจนตัวสั่น อยากจะเชื่อฟังคำของเขาแล้วหลบออกไปอยู่ข้างๆ เช่นเดียวกันกับซูต้า แต่แขนกลับถูกโจวเสาจิ่นกอดเอาไว้แน่นจนขยับไม่ได้ จำต้องทำใจกล้าเอ่ยขึ้นว่า “ข้าล้วนแต่เชื่อฟังคุณหนูรองเจ้าค่ะ” แววตาที่มองโจวเสาจิ่นนั้นมีความวิงวอนเล็กน้อยอยู่ด้วยอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

โจวเสาจิ่นยังคงไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

ทั้งๆ ที่ตนเองไม่ได้ทำอะไร เพื่อข่มขู่ตนเองแล้ว วายร้ายเฉิงสวี่ผู้นี้ถึงกับกล่าววาจาข่มขู่ให้พวกนางหวาดกลัวเช่นนี้ออกมา 

 

 

นางอดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้ กล่าวขึ้น “สาวใช้ของข้า เกรงว่าคงจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณชายใหญ่จวนหลักหรอกเจ้าค่ะ!” 

 

 

เฉิงสวี่ได้ยินแล้วก็รู้สึกโกรธจน…ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี กล่าวขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าอยากจะยุ่งเรื่องของเจ้าอย่างนั้นหรือ หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเจ้าเป็นน้องสาวของข้า” 

 

 

แต่น้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาก็ไม่ได้มีแค่โจวเสาจิ่นเพียงคนเดียว หากว่ากันตามสายเลือดแล้ว โจวเสาจิ่นยังไม่อาจนับได้ว่าเป็นน้องสาวของเขาด้วยซ้ำ 

 

 

เฉิงสวี่โกรธจนพูดอะไรต่อไม่ได้อีก จึงเพียงทำใจแข็งแล้วกล่าว “เจ้าได้ยินคำพูดที่ท่านย่ากับพ่อบ้านใหญ่ฉินสนทนากันแล้วใช่หรือไม่ ท่านปู่รองของข้านั้นชื่นชอบการศึกษาและให้ความรู้แก่ผู้คน ไม่ชอบเป็นผู้นำตระกูล แต่ว่าในเวลานั้น ท่านปู่ของข้าเสียชีวิต ท่านพ่อและท่านปู่รองล้วนต้องกลับมาบ้านเกิดเพื่อไว้ทุกข์ ในจวนย่อมต้องมีคนเป็นผู้นำ ท่านปู่รองไม่มีทางเลือกจำต้องรับบทบาทผู้นำ จนกระทั่งท่านพ่อและท่านปู่รองของข้ากลับไปรับราชการอีกครั้ง ท่านปู่รองของข้าก็กลับไปเป็นซื่อตู๋เสวียซื่ออยู่ที่สำนักฮั่นหลินต่อไป ในครั้งนี้เนื่องด้วยเรื่องขององค์ไท่จื่อ องค์ฮ่องเต้ทรงกวาดล้างตำแหน่งในราชสำนักที่เมืองหลวงไปมากมาย ในบรรดาตำแหน่งเหล่านี้มีตำแหน่งจี้จิ่วของสำนักกั๋วจื่อเจี้ยนอยู่ด้วย ท่านพ่อของข้าเห็นว่าท่านปู่รองนั้นไม่เพียงมีความสามรถ ทั้งยังมีความรู้ มีคุณธรรมและยศถาบรรดาศักดิ์ที่เหมาะสมมากพอกับตำแหน่งนี้ จึงจัดแจงแผนในราชสำนักที่เมืองหลวงเอาไว้ให้ท่านปู่รอง แต่ใครจะรู้ว่าท่านปู่รองกลับไม่อยากทนทุกข์กับเอกสารทางราชการอีก จึงไม่ยินยอมรับตำแหน่งจี้จิ่วของสำนักกั๋วจื่อเจี้ยน พูดกับท่านพ่อไปแล้วหลายครั้ง แต่ความคิดท่านพ่อกับท่านอารองล้วนอยากให้ท่านปู่รองรับตำแหน่งนั้น ท่านปู่รองไม่มีทางเลือก จึงต้องมาขอร้องถึงท่านย่าที่นี่ 

 

 

“ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินอะไรไป ขอเพียงไม่เอาไปพูดกับผู้อื่นก็ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนั้นข้าเองก็อยู่ในป่าไผ่ หากว่ามีใครสงสัย ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเจ้าเพียงทำเป็นไม่รู้ก็พอแล้ว ข้าเองก็ช่วยเป็นพยานให้เจ้าได้ แต่ว่าเรื่องนี้เจ้าจะเอาไปพูดกับใครไม่ได้จริงๆ แม้แต่ท่านอาจวนสี่ เจ้าก็ไม่อาจบอกได้ ไม่เช่นนั้นอาจนำปัญหามาสู่ตนเองได้” 

 

 

ในที่สุด เขาก็สารภาพออกมาอย่างเคร่งขรึม 

 

 

โจวเสาจิ่นฟังไม่เข้าใจเลยแม้สักประโยคเดียว จึงมีท่าทีเหม่อลอยราวคนหลงทาง 

 

 

เฉิงสวี่มองลักษณะของนางเช่นนี้แล้วก็ให้เหมือนสุนัขจิงปาที่ตนเองเลี้ยงเอาไว้ เวลาที่มองไม่เห็นตนเองก็จะเมียงมองไปทั่วทุกทิศราวกับหลงทาง…ใจอ่อนยวบลงราวกับจะสามารถหยดออกมาเป็นน้ำได้ จึงอดกล่าวเสียงอ่อนโยนกับนางไม่ได้ว่า “คำพูดของข้า เจ้าจำได้แล้วใช่หรือไม่” 

 

 

เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตนเองกัน? 

 

 

โจวเสาจิ่นเบิกตากว้างจ้องมองเขา 

 

 

ซือเซียงที่ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เฉิงสวี่กล่าวมา แต่มันก็ไม่ได้ขัดขวางนางจากการเข้าใจถึงความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ 

 

 

นางเห็นโจวเสาจิ่นที่อยู่ในอาการมึนงงเช่นนั้นแล้ว ก็เกิดความกลัวว่าเฉิงสวี่จะเปลี่ยนใจ จึงรีบกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “คุณหนูรองของพวกข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่านเจ้าค่ะคุณชายใหญ่สวี่ คุณหนูรองของข้า เอ่อ รวมถึงตัวข้าด้วย จะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ หากท่านได้ยินข่าวลืออะไร เพียงมาหาพวกข้าเพื่อคิดบัญชีได้เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

มาคิดบัญชีกับพวกนางอย่างนั้นหรือ 

 

 

คุณหนูรองของพวกเขาไม่พูดอะไรเลยแม้สักประโยค สิ่งที่สาวใช้ตัวน้อยผู้หนึ่งเช่นเจ้าพูดนั้นจะนับเป็นอะไรได้? 

 

 

เฉิงสวี่อยากจะเจรจาขอคำมั่นสัญญา แต่เมื่อมองไปยังคนที่ก้มหน้าก้มตา เงียบเชียบไม่พูดไม่จา เส้นผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าของนางอย่างเงียบๆ นั้นราวกับเผยให้เห็นความอ่อนโยนและว่านอนสอนง่ายของเด็กสาวทั้งหมด เขาฝืนยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

ช่างเถอะ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร 

 

 

ตนเองจะรับผิดชอบแทนนางเองก็แล้วกัน! 

 

 

“ไปกันเถอะ!” เฉิงสวี่หันไปกวักมือเรียกต้าซู แล้วหมุนตัวเดินออกไปจากทางเดิน 

 

 

ซือเซียงหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง พนมมือขึ้นไหว้ทั้งสี่ทิศพลางกล่าวคำว่า ‘อมิตาภพุทธ’ จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างายินดีว่า “คุณชายใหญ่สวี่เป็นคนดีจริงๆ เจ้าค่ะ!” 

 

 

คนดี? 

 

 

เฉิงสวี่อย่างนั้นหรือ? 

 

 

ในสายตาของผู้อื่นนั้น เฉิงสวี่เป็นคนดีอย่างนั้นหรือ? 

 

 

โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ดอกซิ่วฉิว ดอกไฮเดรนเยีย