ท่าทีของโจวเสาจิ่นนั้นคลุมเครือยากจะเข้าใจ 

 

 

เฉิงสวี่ข่มเหงนาง นางรังเกียจเฉิงสวี่ แต่พวกเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น นางจึงเพียงรังเกียจก็เท่านั้น 

 

 

แต่กับเฉิงลู่นั้นไม่เหมือนกัน หลังจากที่เขาให้คำปฏิญาณและคำมั่นสัญญาเช่นนั้นแก่นางแล้ว แต่ในขณะที่นางตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตายนั้น เขากลับสามารถมองดูอยู่แต่กลับทำเป็นไม่เห็นคำอ้อนวอนขอความช่วยเหลือของนาง ยืนกอดอกดูโดยไม่ยื่นความช่วยเหลือมาให้ นี่อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่นางไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะต้านทานเฉิงสวี่ได้อีก 

 

 

ทุกครั้งที่นางนึกขึ้นมาได้ก็จะรู้สึกเกลียดจนอยากดื่มเลือดกินเนื้อของเขา…นั่นเป็นอารมณ์ความรู้สึกประเภทที่มากยิ่งกว่าความเกลียดชังเสียอีก ยังมีความรู้สึกเสียใจที่ตนเองนั้นมีตาแต่หามีแววไม่ ความรู้สึกสงสัยต่องานแต่งงานที่ถูกทำลายไปตอนนั้น…ทั้งหมดนี้ล้วนมาไกลเกินกว่าตัวเรื่องของมันเองไปมากโข 

 

 

เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนยังไม่เกิดขึ้นในชีวิตตอนนี้ จากที่มีบทเรียนมาแล้วจากกรณีของหยวนซื่อ นางเข้าใจว่านางสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ยามต้องเผชิญหน้ากับทุกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในชาติก่อน แต่เมื่อนางได้เผชิญหน้ากับเฉิงสวี่แล้ว นางถึงตระหนักได้ว่าตนเองนั้นยังห่างไกลจากคำว่าสงบนิ่งที่อยู่ในจินตนาการนั้นอยู่อีกมากโข 

 

 

เช่นนั้นถ้าหากว่านางได้พบกับเฉิงลู่ นางจะสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้หรือไม่ 

 

 

หรือยังจะหากรรไกลสักเล่มมาแทงเขาอีกครั้ง? 

 

 

ครั้งนี้ นางจะไม่ใช้กรรไกรอีกแล้วอย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหากริชสักเล่มหนึ่ง 

 

 

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้ซึ่งข้อจำกัด เดินไปเรือนเจียซู่ด้วยความเงียบไปตลอดทาง ซือเซียงอยากจะเอ่ยคำกับนางแต่ก็ยั้งเอาไว้หลายครั้งแล้วแต่นางกลับไม่รู้สึกตัว 

 

 

จนกระทั่งถึงเรือนเจียซู่ ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังรอนางอยู่ 

 

 

“รีบเล่าเรื่องที่เจ้าไปคัดลอกพระธรรมเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางกล่าวอย่างเป็นกังวล “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้กล่าวอะไรหรือไม่” 

 

 

“ไม่มีเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างอ่อนหวานต่อหน้าท่านยายครั้งหนึ่ง พลางกล่าว “ทุกคนล้วนดีกับข้ายิ่งนักเจ้าค่ะ” 

 

 

นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนหลักให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟังเรื่องแล้วเรื่องเล่า รวมถึงเรื่องที่หลงทางอยู่ในป่าไผ่ แม้แต่เรื่องที่พบกับเฉิงสวี่ก็ด้วย 

 

 

เฉิงสวี่กล่าวได้ถูกต้อง หากเขาสามารถรู้เรื่องที่นางประสบมาในป่าไผ่ คนอื่นก็ย่อมรู้ได้เช่นเดียวกัน ถึงเวลานั้นแทนที่จะให้คนสงสัย ไม่สู้นางพูดออกมาด้วยตนเองตั้งแต่ต้นเลยจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องรับการข่มขู่จากเฉิงสวี่อีก อย่างไรก็ตาม นางก็มีสติมากขึ้นและไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เฉิงสวี่ได้ข่มขู่นางเอาไว้เรื่องนั้น แต่ก็ไม่ใช่เพราะนางอยากจะช่วยเก็บรักษาความลับแทนจวนหลัก แต่เป็นเพราะนางรู้สึกว่าในชาติก่อนต่อให้นางไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ก็ไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับจวนสี่ เช่นนั้นในชีวิตนี้ ทำไมนางต้องทำเรื่องที่ไม่จำเป็น แล้วกวนให้จวนสี่ไม่สงบสุขด้วย 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับไม่ได้พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องที่นางหลงทางอยู่ในป่าไผ่ ในทางตรงกันข้ามกลับแปลกใจว่าทำไมนางถึงได้เจอกับเฉิงสวี่ในป่าไผ่ได้ “ทำไมเขาถึงไปเล่นซนอยู่ในป่าไผ่ได้?” 

 

 

จริงด้วย ทำไมเขาถึงไปเล่นซนอยู่ในป่าไผ่ได้! 

 

 

ก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นไม่ได้นึกถึงปัญหาข้อนี้ แต่พอฮูหยินผู้เฒ่ากวนพูดขึ้นมาในเวลานี้ นางถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ในทันที 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในป่าไผ่เพื่อแอบฟังที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสนทนากับพ่อบ้านใหญ่ฉิน ยังจะมาป่วนหาว่าตนเองนั้นแอบฟัง และยังข่มขู่ตนเองว่าห้ามพูดเรื่องนี้ออกไป…มีความเห็นว่าเฉิงสวี่ผู้นี้ก็ไม่ต่างจากเฉิงลู่ กล่าวแต่เรื่องไร้สาระ และก็ไม่ใช่คนดีอะไร 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนบอกกับนางอีกครั้งว่า “ต่อไปต้องระมัดระวัง หากว่าอยากจะไปที่ไหนเพื่อเดินเล่นผ่อนคลาย ก็ให้เรียกเสี่ยวถาน สาวใช้ที่จวนหลักจัดเตรียมเอาไว้ให้ติดตามไปด้วย อย่าเดินสะเปะสะปะคนเดียวอีกเด็ดขาด” 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเรื่องป่าไผ่นี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร! 

 

 

โจวเสาจิ่นน้อมรับคำสอนอย่างนอบน้อม ทั้งยังถากถางเฉิงสวี่อยู่ในใจไปอีกรอบหนึ่ง 

 

 

กระทั่งกลับถึงเรือนหว่านเซียง นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ 

 

 

หากว่าเฉิงสวี่มาดักนางระหว่างทางที่นางเดินไปจวนหลักทุกวันแล้วล่ะก็ นางควรจะทำอย่างไรดี? 

 

 

หรือจะไม่ไปคัดลอกพระธรรมที่จวนหลักแล้ว? 

 

 

แต่จะหาอะไรมาเป็นข้ออ้างดีล่ะ? 

 

 

ไม่สบาย? แต่นางเพิ่งจะหายป่วย ยิ่งไปกว่านั้นฝีมือการรักษาของโจวเหนียงจื่อนั้นเลื่องลือนัก และนางก็ไม่ได้มีฝืมือเท่าพี่สาวด้วย…บอกว่าสุขภาพของตนเองรับไม่ไหว? แต่ว่าเรื่องคัดลอกพระธรรมนี้เป็นนางเองที่รับปากมาตั้งแต่ต้น ยิ่งไปกว่านั้นข้ออ้างนี้จะทำให้ท่านยายกังวลใจได้ง่ายอีกด้วย 

 

 

นางนอนพลิกตัวไปมากว่าครึ่งค่อนคืนแล้วก็ยังนอนไม่หลับ กระทั่งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันถัดมา ขอบตาดำคล้ำเล็กน้อย 

 

 

โจวชูจิ่นเข้าใจว่านางเป็นกังวลเรื่องคัดลอกพระธรรม จึงปลอบใจนางว่า “ไม่เป็นไร เจ้ายังเด็ก ถึงแม้ว่าจะมีส่วนไหนที่คัดได้ไม่ดี แต่คนเช่นฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่อมไม่ตำหนิเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าเพียงตั้งใจทำให้ดีที่สุดก็พอแล้ว อีกทั้งก็ไม่ได้กำหนดวันส่งพระธรรมด้วย!” 

 

 

โจวเสาจิ่นฟังแล้วดวงตาสว่างวาบขึ้น 

 

 

ไม่สู้บอกว่าตนเองกลัวว่าจะทำให้การเรียนล่าช้า จากนั้นก็กำหนดวันส่งพระธรรมให้เรียบร้อย อย่างเลวร้ายที่สุด ตนเองก็แค่เอามาคัดลอกให้มากหน่อยในตอนกลางคืน จะได้คัดพระธรรมเสร็จเร็วขึ้นอีกหน่อย 

 

 

นางรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลวนัก ตอนที่เฉินต้าเหนียงสอนหนังสืออยู่ นางก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียด และหลายครั้งที่ใจลอย ก็จะถูกเฉินต้าเหนียงเรียกให้ลุกขึ้นมาแล้วถามคำถามนาง โชคดีที่นางเคยเรียนมาแล้วอย่างจริงจังในชาติก่อน เวลาตอบคำถามจึงถือได้ว่าตอบได้มีแบบมีแผน เฉินต้าเหนียงจำต้องให้นางฝึกคัดลายมือไปอย่างแนบเนียน แล้วสอนเฉิงเจียไปตามลำพัง เฉิงเจียที่โกรธจัดนั้นจ้องมองโจวเสาจิ่นไม่วางตา 

 

 

โจวเสาจิ่นจำต้องแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น 

 

 

ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนถึงเวลาเลิกเรียนได้ เฉิงเจียรีบวิ่งมาในทันใด ชี้นางเอาไว้แล้วกล่าวว่า “เสาจิ่น เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ทำไมถึงปล่อยให้ข้าเผชิญกับเฉินต้าเหนียงเพียงคนเดียว” 

 

 

“เรื่องพวกนี้ข้าเคยเรียนมาก่อนหมดแล้ว!” ชีวิตในครั้งนี้ โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าจะไม่ให้ท้ายแก่อารมณ์ของเฉิงเจียอีก กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ทำเช่นเดียวกับข้า นำบทเรียนพวกนี้มาเรียนด้วยตัวเองก่อนสักรอบหนึ่งหลังเลิกเรียน?” 

 

 

เช่นนี้แล้วเฉิงเจียก็จะไม่มีเวลามารบเร้าตนเองให้เล่นด้วยอีก 

 

 

เฉิงเจียกระฟัดกระเฟียดเดินจากไป 

 

 

ชุ่ยหวนกล่าวขอโทษแทนเฉิงเจียด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “คุณหนูรอง ท่านอย่านำมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ คุณหนูของข้าก็นิสัยเถรตรงเช่นนี้ แต่ลึกๆ แล้วเป็นคนจิตใจดีที่สุดเจ้าค่ะ” 

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า 

 

 

ชุ่ยหวนรีบวิ่งตามออกไป 

 

 

โจวเสาจิ่นค่อยๆ เก็บของของตนเอง เตรียมตัวกลับเรือนหว่านเซียง 

 

 

เฉินต้าเหนียงที่จากไปหลังเลิกเรียนแล้วไม่รู้ว่าย้อนกลับมาอีกตั้งแต่ตอนไหน 

 

 

นางยืนอยู่ที่หน้าประตูส่งเสียงกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง 

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเดินไปทักทาย 

 

 

เฉินต้าเหนียงเอ่ยขึ้น “ระหว่างที่เจ้าไม่สบายนี้ เจ้าเรียนหนังสือกับใครอย่างนั้นหรือ” 

 

 

โจวเสาจิ่นรู้ว่าเฉินต้าเหนียงในตอนนี้กำลังเกิดข้อข้องใจในตัวนาง ถ้าหากว่าเป็นชาติก่อน นางคงจะรีบหาข้อแก้ตัวมาอธิบายกับเฉินต้าเหนียงอย่างร้อนรนเป็นแน่ แต่ประสบการณ์จากสองชาติภพทำให้นางเข้าใจว่า บ่อยครั้งเหลือเกินที่คำถามมากมายก็ล้วนไม่มีคำตอบ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะสามารถจัดการและควบคุมเอาไว้ได้หรือไม่เท่านั้น 

 

 

นางยิ้มพลางตอบ “พี่สาวของข้าเจ้าค่ะ” 

 

 

สายตาที่เฉินต้าเหนียงมองนางนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้นมา 

 

 

โจวเสาจิ่นพยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนในยามปกติอย่างที่สุด 

 

 

เฉินต้าเหนียงมองนางได้สักพัก เห็นนางไม่ได้แสดงความผิดปกติใดๆ ออกมา ถึงแม้ว่าจะแอบสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่เหมาะที่จะซักไซ้นางต่อไปอีก 

 

 

นางย่อมไม่อาจไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า คุณหนูรองตระกูลโจวเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ต้องมาเรียนแล้วก็ได้หรอกกระมัง? 

 

 

เช่นนั้นการที่ตระกูลเฉิงเชิญนางมาจะมีประโยชน์อะไร 

 

 

แต่การที่โจวเสาจิ่นเป็นเช่นนี้ ก็ส่งผลอย่างมากต่อเฉิงเจีย 

 

 

นางจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวว่า “ต่อไปเวลาที่ข้าสอนคุณหนูเจียนั้น เจ้าก็ฝึกคัดลายมืออยู่ข้างๆ ก็แล้วกัน!” 

 

 

ก็กล่าวได้ว่า นางกับเฉิงเจียสามารถแยกกันเรียนได้ 

 

 

โจวเสาจิ่นยินดียิ่งนักอย่างคาดไม่ถึง กล่าวขอบคุณเฉินต้าเหนียงอย่างยิ้มแย้ม 

 

 

เฉินต้าเหนียงก็ยิ้มน้อยๆ แล้วหมุนตัวจากไป 

 

 

โจวเสาจิ่นเดินอย่างรวดเร็วกลับไปที่เรือนหว่านเซียง นำเรื่องการตัดสินใจของเฉินต้าเหนียงไปบอกแก่โจวชูจิ่น ยังถามพี่สาวอีกว่า “หากข้าคัดลอกพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ในห้องเรียน ไม่รู้ว่าเฉินต้าเหนียงจะโกรธหรือไม่นะเจ้าคะ” 

 

 

โจวชูจิ่นดีดหน้าผากของน้องสาวอย่างแรงไปทีหนึ่ง กล่าว “การคัดลอกพระธรรมเป็นเรื่องที่น่าเลื่อมใสศรัทธาเรื่องหนึ่ง เจ้าอย่าได้ทำเป็นเล่นๆ เป็นอันขาด!” 

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็ทราบ ไม่เช่นนั้นนางก็คงคัดลอกพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ในห้องเรียนไปแล้ว ไม่มาพูดกับพี่สาวเช่นนี้หรอก 

 

 

นางเพียงอยากช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวคัดลอกพระธรรมให้เสร็จโดยเร็ว จะได้ขีดเส้นกั้นกับจวนหลักให้ชัดเจนได้ง่ายขึ้นเสียที! 

 

 

แต่เพราะมีความหวังอยู่บ้างเล็กน้อยเช่นนี้ ทำให้นางอารมณ์ดีไปตลอดจนถึงช่วงบ่ายที่ต้องไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัว 

 

 

อาจเป็นไปได้ว่าอารมณ์ที่ดีนั้นสามารถติดต่อไปถึงผู้อื่นได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ก่อนหน้านี้มีสีหน้าขุ่นเคืองอยู่นั้น แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่สดใสของโจวเสาจิ่นแล้ว ก้อนเมฆดำทะมึนนั้นก็มลายหายไปอย่างห้ามไม่อยู่ มีรอยยิ้มน้อยๆ เผยออกมา เอ่ยถามโจวเสาจิ่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เหนื่อยหรือไม่ อยากจะดื่มน้ำชาและทานของว่างสักหน่อยก่อนแล้วค่อยเริ่มคัดลอกพระธรรมหรือไม่” 

 

 

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางตอบ ดวงหน้ายิ้มแย้มจนตาหยี เป็นความสงบและอ่อนโยนที่ไม่อาจพูดได้หมด “ข้าดื่มชาเรียบร้อยแล้วถึงได้ออกมาเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางพยักหน้า สีหน้าใจดีมีเมตตายิ่งนัก 

 

 

โจวเสาจิ่นใจเต้นแรง ลังเลอยู่ชั่วครู่ จึงกล่าวว่า “เมื่อวานข้าหลงทางอยู่ในป่าไผ่เจ้าค่ะ โชคดีที่ได้พบกับพี่ชายสวี่ ได้เขาช่วยชี้บอกทางให้เจ้าค่ะ…ตอนนั้นข้ากำลังตกใจกลัว หลังจากที่กลับไปพูดกับท่านยายถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่ได้กล่าวขอบคุณพี่ชายสวี่เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

ขณะที่นางพูดนั้น ก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย ดูท่าทีแล้วค่อนข้างขัดเขินอยู่เล็กน้อย 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจยิ่ง แต่นางก็ไม่ได้เคืองโกรธอะไร กลับหัวเราะพลางกล่าว “สวี่เกอเอ๋อร์ผู้นี้ เล่นซนทุกวันราวกับลูกลิงอย่างไรอย่างนั้น เห็นทีข้าต้องอบรมสั่งสอนเขาดีๆ สักครั้งหนึ่งแล้ว!” 

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นว่าคำพูดของตนเองสัมฤทธิ์ผลแล้ว ก็ยินดีจนเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา 

 

 

นางกลัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะสังเกตเห็นข้อบกพร่องของนาง จึงรีบยืนขึ้นมา ก้มหน้าลงพลางกล่าว “ข้าไม่ได้ต้องการจะฟ้องเรื่องพี่ชายสวี่นะเจ้าคะ” 

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะขึ้นมา 

 

 

นางไม่ได้ยินคำพูดที่เปิดเผยขนาดนี้มานานหลายปีแล้ว 

 

 

“ไม่เป็นไรๆ” นางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก “ถึงแม้ว่าเจ้าจะฟ้องเรื่องเขาก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ใครใช้ให้เขาวิ่งเล่นไปทั่วอยู่ในเรือนชั้นในกัน เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะอบรมเขาเอง” 

 

 

โจวเสาจิ่นหน้าแดง 

 

 

ตนเองเป็นคนมาสองชาติ ก็ยังถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่แค่มองครั้งหนึ่งก็เห็นความคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเก่งกาจในเรื่องวางแผนและมีเล่ห์เหลี่ยม นางควรจะเป็นคนที่ซื่อตรงดีกว่า 

 

 

นางกลับไปที่ห้องพระด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คัดลอกพระธรรมอย่างมีความสุข 

 

 

จนกระทั่งตอนที่ซือเซียงแอบมาบอกนางว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้คนไปเรียกคุณชายใหญ่สวี่มาเจ้าค่ะ’ นั้น นางยิ่งอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้น 

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่า ระหว่างทางที่นางกำลังกลับจวนสี่นั้นจะได้พบกับเฉิงสวี่อีกครั้ง 

 

 

“เจ้าผู้นี้ช่างเป็นคนที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก!” เขามีสีหน้าขุ่นมัวเล็กน้อย พอเห็นโจวเสาจิ่นก็รีบต่อว่าต่อขาน “ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ไม่น้อย เจ้าไม่เพียงไม่รู้สำนึก ยังเอาเรื่องข้าไปฟ้องท่านยาย ทำให้คำพูดก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยพูดต่อหน้านั้นไม่น่าเชื่อถือ แม้แต่จะเปิดโปงคำโกหกของเจ้าก็ยังทำไม่ได้” 

 

 

จริงๆ แล้วก็มีคนคอยจัดการเจ้าได้สินะ! 

 

 

ดวงตาของโจวเสาจิ่นกวาดมองเขาอย่างเกียจคร้านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินกลับเรือนเจียซู่ไปโดยไม่พูดไม่จาสักคำ 

 

 

เฉิงสวี่ไม่อาจตามไปจนถึงจวนสี่ได้ 

 

 

ถึงเวลานั้นจะอธิบายกับพวกผู้ใหญ่ว่าอย่างไร 

 

 

เขาโมโหไม่หยุด 

 

 

ต้าซูกระซิบเตือนเขาว่า “สื่อมามาผ่านมาขอรับ” 

 

 

เฉิงสวี่กระทืบเท้า กล่าวกับต้าซูว่า “พวกเราไปกันเถอะ” หมุนตัวแล้วรีบเดินออกไปจากทางเดินเส้นที่ตรงไปทางจวนสี่ 

 

 

โจวเสาจิ่นพึงพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้เป็นอย่างมาก ทำให้วันต่อมาตอนที่ได้พบกับเฉิงเจียนั้น สีหน้าของนางดูเป็นมิตรและอ่อนโยนไม่น้อยเลยทีเดียว 

 

 

ทว่าเฉิงเจียกลับมีท่าทีเหงาหงอยไม่มีชีวิตชีวา พิงอยู่บนโต๊ะถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ายังจำพานชิงได้หรือไม่” 

 

 

แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นจำพานชิงได้ 

 

 

นางเป็นบุตรสาวของเฉิงเสียน ท่านป้าฝั่งบิดาของเฉิงเจีย มีรูปร่างงดงามและฉลาดเฉลียว ตอนวันมหาวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของท่านผู้นำตระกูลจวนรองนั้น พานจื๋อ บิดาของนางได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอั้นฉาสื่อ [1] อยู่ที่ซานตง พานจื๋อมาร่วมงานไม่ได้ เฉิงเสียนจึงพาบุตรชายหญิงคู่หนึ่งมาร่วมอวยพรเฉิงซวี่ ยังถือโอกาสนี้มาเยี่ยมบิดามารดา พักอยู่ที่ซอยจิ่วหรูระยะเวลาหนึ่ง 

 

 

โจวเสาจิ่นส่งเสียง ‘เอ๋’ คำหนึ่ง ถามขึ้น “พานชิงจะมาที่นี่ใช่หรือไม่” 

 

 

เฉิงเจียได้ยินเช่นนั้นก็สดใสขึ้นมาเล็กน้อย กล่าว “ท่านแม่บอกว่า พวกเขาจะมาถึงช่วงบ่ายของวันนี้!” 

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าช่วงนี้องค์พระโพธิสัตว์ต้องกำลังอำนวยพรให้นางอยู่เป็นแน่ 

 

 

นางกลั้นเอาไว้ไม่ได้เผยรอยยิ้มออกมา 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] อั้นฉาสื่อ เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน