บทที่ 30 การมาถึงของวิญญาณร้าย

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 30 การมาถึงของวิญญาณร้าย EnjoyBook

บทที่ 30 การมาถึงของวิญญาณร้าย

ตัวของฉินเย่ที่นั่งอยู่ที่ปลายเตียงคนไข้ของหวังเฉิงห่าวเองก็มีท่าทีตกใจไม่แพ้กัน เขาขยี้ตาและเอ่ยว่า “ผะ…ผมเอาหนังสือเรียนมาให้เพื่อน แต่เพราะว่ามันดึกแล้ว ผมก็เลยคิดว่าจะนอนที่นี่…”

“ทำไมนายถึงไม่กลับบ้าน?!” จางเฟิงจือก้าวเท้าเข้าไปในห้องและสบตาของฉินเย่ ท่าทางของเขาแสดงให้เห็นชัดเจนว่าหากฉินเย่พูดอะไรที่ผิดหูหรือน่าสงสัย เขาจะเข้าจับกุมตัวเด็กหนุ่มทันที

ทว่าฉินเย่เพียงเกาศีรษะและตอบด้วยน้ำเสียงที่ค่อยจะพอใจ “ผมเองก็อยากจะกลับเหมือนกัน…แต่…ตอนที่ผมมาถึงที่นี่มันก็ 6 โมงเย็นแล้ว…”

ประกาศสาธารณะ…

จางเฟิงจือหลับตาลงและถอนหายใจออกมา

เขาไม่สามารถบอกได้ว่าอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ภายในใจมากมายขนาดไหน มันแทบจะเหมือนกับเขากำลังวิ่งไล่ตามดวงจันทร์ไม่มีผิด เห็นมันอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้

ตอนนี้เขานึกเกลียดประกาศพวกนั้นขึ้นมาทันที หากไม่ใช่เพราะมันถูกเปิดวนซ้ำ ๆ แบบนั้น ฉินเย่ก็คงจะไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่ตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ แต่ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น…ความน่าสงสัยของอีกฝ่ายจึงถูกตัดออกไปทันที

ทุกอย่างมันดูบังเอิญเกินไป แต่อีกฝ่ายกลับพูดว่ามันไม่ได้มีอะไรนอกจากความบังเอิญ

ที่แย่ที่สุดก็คือแม้ว่าจะมีระบบเฝ้าระวังที่พวกเขาใช้ ในการตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติจะครอบคลุมมากแค่ไหน ทว่าที่โรงพยาบาลแห่งนี้กลับไม่มีกล้องวงจรปิดภายในห้องพักเลย แต่เขาก็รู้ดี…ทางโรงพยาบาลไม่มีทางยอมให้มีอะไรแบบนี้อยู่แล้ว

เมื่อเขาพูดอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด “ถ้าอย่างงั้น พวกนายเห็นหรือว่าเจออะไร…ที่แปลกประหลาดขึ้นก่อนหน้านี้หรือเปล่า?”

“อะไรเหรอครับ?” เด็กหนุ่มทั้งสองกะพริบตาปริบ ๆ อย่างงุนงง

จางเฟิงจือมองทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะย่อตัวลง

ที่ใต้เตียงเองก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน

เขาไม่อยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ?

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความขุ่นข้องใจของเขาเพียงอย่างเดียวจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?

เขาลุกขึ้นยืนตัวตรงขณะที่ถอนหายใจออกมา วินาทีนั้น แส้ปัดเป่าวิญญาณของเขาก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อและกวาดไปใต้เตียงราวกับสายฟ้าฟาด

ก็ยังไม่เจอ

“เฮ้อออ…” เขาส่ายศีรษะและถอนหายใจออกมา ทว่าขณะที่เขาจะเดินจากไป เขาก็เดินไปที่หน้าต่าง “ฉันจำได้ว่า…นางพยาบาลบอกว่านายไม่ควรโดนลมไม่ใช่เหรอ?”

“หะ..เหรอครับ?” หวังเฉิงห่าวตอบอย่างอึกอัก “เครื่องปรับอากาศทำให้อากาศภายในห้องอบอ้าวไปหน่อย ผมก็เลยเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทเข้ามาบ้าง”

“แน่ใจเหรอว่านายเป็นคนเปิดมันเอง? ลองคิดดูดี ๆ อีกทีสิ”

หวังเฉิงห่าวขมวดคิ้ว “แน่นอนสิครับ มีอะไรหรือเปล่า?”

เงียบ

ไม่กี่วินาทีต่อมา จางเฟิงจือก็หมุนตัวและเตรียมจะเดินจากไป “นายพักผ่อนเถอะฉันไม่กวนแล้ว…”

กึก….ทันทีที่ประตูปิดลง ฉินเย่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“จบสวย” อาร์ทิสเอ่ยชื่นชมออกมาอย่างจริงใจ “อย่างแรก เจ้าสามารถปกปิดพลังหยินที่อยู่รอบตัวของตัวเองได้โดยการเอาตัวไปอยู่ท่ามกลางสถานที่ที่พลังหยินของชู้รักคนนั้นหลงเหลืออยู่ แม้ว่าเจ้าจะสามารถปกปิดตัวตนของตัวเองได้ แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าการตรวจสอบทั่วเมืองจะลงรายงานว่าเจ้าไม่ได้อยู่ที่ร้านชีวิตหลังความตายอยู่ดี และเมื่อรวมเข้ากับความจริงที่ว่า เจ้าได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยตั้งแต่ก่อนหน้านี้ มันก็ย่อมดึงความสนใจของรัฐบาลมาที่ตัวเจ้าในฐานะผู้ต้องสงสัยของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อยู่ดี”

“แต่เจ้าสามารถดึงกระต่ายออกมาจากหมวก เล่นกล ตลบหลังพวกเขาได้โดยทิ้งตัวตนที่มองไม่เห็น และปรากฏตัวต่อสายตาของคนพวกนั้นด้วยร่างอีกร่างหนึ่ง และตอนนี้พวกเขาก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคนที่พวกเขากำลังตามหาได้อยู่ตรงหน้าตัวเอง เจ้าไม่เพียงแต่หลุดจากแหขนาดใหญ่ที่พวกเขาหว่านไปทั่วทั้งเมือง แต่เจ้ายังสามารถสร้างข้อแก้ต่างที่สมบูรณ์แบบให้ตัวเองได้ด้วย….ข้าสามารถพูดได้เลยว่าการใช้ชีวิตมาหลายทศวรรษของเจ้านั้นมิได้เสียเปล่าเลยสักนิด”

ทว่าฉินเย่กลับนั่งลงที่ปลายเตียงด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน

ตอนนี้เขากำลังรู้สึกเหมือนกับปลาที่ดิ้นรนและพยายามหลบหนีการถูกจับมาตลอดทั้งคืน และในวินาทีที่ใกล้จะถูกจับ เขากลับหลุดออกมาจากแหและว่ายลงไปในท้องทะเลอีกครั้ง

รู้สึกใจชื้นขึ้นมากจริง ๆ

วินาทีนั้น น้ำแก้วหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า เมื่อฉินเย่เงยหน้าขึ้น เขาก็สบตาเข้ากับหวังเฉิงห่าว

“ตอนนี้…เราเป็นเพื่อนกันแล้วใช่หรือเปล่า?” วินาทีต่อมา อีกฝ่ายก็พึมพำเสียงเบาอย่างติดจะไม่แน่ใจ “ก่อนหน้านี้…นายบอกว่า…ถ้าฉันช่วยนาย นายจะตอบทุกอย่างที่ฉันอยากรู้ใช่ไหม….”

“…นายจะว่าอย่างนั้นก็ได้” ฉินเย่รับแก้วน้ำมาจิบ ความอุ่นของน้ำที่ไหลลงไปตามลำคอทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเขาสงบลง

“ถ้าอย่างนั้น…”

“อย่าตัดสินใจเร็วนักสิ” ฉินเย่หลับตาลง “การเป็นเพื่อนของฉันมันไม่ง่ายหรอกนะ”

“ฉันไม่กลัว!”

ฉินเย่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามองไปยังอีกฝ่ายอย่างสงสัย “ฉันจะยกตัวอย่างให้นายฟังก็แล้วกัน อย่างเช่น…ตอนนี้นายมีเพื่อนคนหนึ่งที่อายุเท่ากัน แต่หลังจากเวลาผ่านไป ตอนที่ใบหน้าของนายเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น นายได้นัดพบกับเพื่อนคนนี้อีกครั้งและพบว่าเขาไม่แก่ขึ้นเลยสักนิด อันที่จริง เขายังคงเบื่อหน่ายกับการเป็นสิวผดและเล่นอะไรแผลง ๆ ต่อหน้านายตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไป นายจะทำยังไง?”

“ฉันจะฉีกร่างมันเป็นชิ้น ๆ!!!” หวังเฉิงห่าวเอ่ยออกมาอย่างอาฆาต

“ฉันขอโทษด้วยนะที่บังคับนาย” ฉินเย่ลึกขึ้นและเตรียมจะเดินจากไป

“เห้ย…อย่าเพิ่งไป! เกิดอะไรขึ้น? ฉันพูดอะไรผิดเหรอ? ไม่ใช่ว่าเราเป็นเพื่อน…”

………………………………………………..

วี้หวอ!…วี้หวอ!…วี้หวอ!…ในเวลาเดียวกันกับที่จางเฟิงจือออกมาจากโรงพยาบาล หน่วยอาชญากรรมของนครเซี่ยเจียงก็รวมตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ถืออาวุธและยืนอยู่หน้ากองกำลังทั้งหมดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากรองหัวหน้าหลินเชาเซิง ชายผู้ซึ่งลุกตัวออกมาจากเตียงในกลางดึก

“ทุกคน” สายตาของเขากวาดไปทั่วกองกำลังตำรวจที่ยืนเป็นระเบียบอยู่ต่อหน้าตน “ผมสามารถพูดได้เลยว่าแม้จะมีการระดมพลในกลางดึกเช่นนั้น แต่พวกคุณทุกคนกลับมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและไม่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้าเลยสักนิด นั่นแสดงให้เห็นว่าผม หลิงเชาเซิง ได้เลือกคนถูกแล้ว”

“เกิดเหตุอะไรขึ้นครับ?” ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “ช่วงนี้มีเหตุการณ์แปลก ๆ เกินขึ้นตั้งเยอะ! อย่างการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นถึงสามครั้งติดต่อกันภายในนครเซี่ยเจียง แต่พวกเขากลับไม่ให้พวกเราเข้าไปตรวจสอบเลยด้วยซ้ำ!”

“ใช่ครับ” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเอ่ยสมทบ เขามีดวงตาที่เปล่งประกายแวววาวแม้ว่าสีผิวของเขาจะดูเหลืองเล็กน้อย “พวกเขามีสิทธิ์อะไรกัน? จู่ ๆ หน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาตินั่นก็โผล่ขึ้นมาและเข้าควบคุมคดีทั้งหมดของเราในคราวเดียว พวกเขาจะมาชำนาญกว่าพวกเราที่มีประสบการณ์ในด้านนี้มานานได้อย่างไรกัน?”

“พอ ๆ…” หลิงเชาเซิงเอ่ยขัดอีกฝ่ายอย่างติดตลกก่อนจะเอ่ยกับทุกคนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกคุณทุกคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของผมในเวลานี้คือเหล่าหัวกะทิ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงเชื่อมั่นว่าพวกคุณจะสามารถรับมือกับวิกฤตที่กำลังใกล้เข้ามาถึงได้ ทิ้งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเมืองเซี่ยเจียงซะ แล้วไปที่เมืองชิงซีทันที”

“เกิดเรื่องขึ้นในเมืองชิงซีเหรอครับ?” ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าซีดเหลืองเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

หลินเชาเซิงขมวดคิ้วยุ่งและเอ่ยต่อว่า “คุณลืมกฎพื้นฐานไปแล้วหรือ? อย่าถามในสิ่งที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ ไปที่รถและเตรียมมุ่งหน้าไปที่เมืองชิงซีเดี๋ยวนี้! นี่คือคำสั่ง!”

เมื่อได้รับคำสั่ง กองตำรวจทั้งหมดต่างก็แยกไปทำหน้าที่ของตนโดยเร็ว สิ่งที่ทำให้พวกเขาตื่นเต้นมีที่สุดก็คือความจริงที่ว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้ใช้กระสุนจริงเสียที ซึ่งมันหมายความว่ามันมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะได้ใช้ปืน!

โอกาสที่จะได้ยิงนั้นเป็นแค่เรื่องรอง เรื่องสำคัญที่ต้องรู้ก็คือระดับความรุนแรงของสถานการณ์ที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มันสำคัญยิ่งกว่าคดีฆาตกรรมสามคดีติดที่เมืองเซี่ยเจียงเสียอีก!

“ฉันล่ะเคารพรองหัวหน้าหลินจริง ๆ!” ทันทีที่ขึ้นมาบนรถ ตำรวจหนุ่มคาบบุหรี่อยู่ที่ปากเอ่ยกับเพื่อนร่วมงานของตน “เขาสามารถรับมือกับคดีอาชญากรรมใหญ่ ๆ ที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าอยากได้! แม้ว่าเขาจะอายุ 45 แล้วแต่เขาก็ดูมีแรงกว่าคนหนุ่มอย่างฉันเสียอีก! ประวัติของเขาเองก็แทบจะสมบูรณ์แบบ ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นผู้บัญชาการคนต่อไปนะ ฉันขอลาออกเลย!”

“นั่นสิ เขาสุดยอดมากจริง ๆ” เพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยพร้อมกับสตาร์ทเครื่องยนต์ “อย่างคดีปริศนานั้น ไม่มีใครว่าเธอจะถูกฆาตกรรม แต่รองหัวหน้าหลินกลับสามารถต่อสู้กับความเป็นไปได้ทั้งหมดและพิสูจน์ให้เห็นว่าทุกคนนั้นคิดผิด แถมเขายังได้คำสารภาพทั้งหมดของเธอมาอีกด้วย สุดยอด สุดยอดมาก จริง ๆ”

…………………………………………….

บนรถของรองหัวหน้าหลินเชาเซิง ตำรวจหนุ่มนายหนึ่งพึมพำเสียงเบา “รองครับ…วันนี้คุณเป็นคนขับรถได้หรือเปล่าครับ?….ผะ ผมรู้สึกว่าตัวเองอาจจะไม่สบาย…”

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” หลินเชาเซิงค้นหาบางอย่างภายในรถอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นยาแก้หวัดให้กับอีกฝ่าย “ถ้าไม่สบายคุณก็ไม่ควรไป ร่างกายของคุณสำคัญที่สุด เข้าใจหรือเปล่า?”

“เดี๋ยวผมก็ดีขึ้น! เดี๋ยวผมก็ดีขึ้นแน่นอนครับ ให้ผมไปด้วยเถอะครับ!”

“ผมรู้ว่าผมสามารถไว้ใจคุณได้” หลินเชาเซิงหัวเราะออกมาเล็กน้อยและสตาร์ทรถทันที

ขบวนรถตำรวจทั้งหมดเริ่มเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบ ปิดเสียงไซเรน และมุ่งหน้าสู่ทางหลวง

หลินเชาเซิงจุดบุหรี่ขึ้นสูบและขับตามขบวนรถเป็นลำดับสุดท้าย รักษาความเร็วคงที่ไปตลอดทาง

กองหลัง นี่คือตำแหน่งของเขาในขบวนรถนี้ รวมถึงหน้าที่ของเขาในฐานะรองหัวหน้าด้วยเช่นกัน

หมวกตำรวจของเขาถูกวางอยู่บนแผงหน้าปัดโดยที่ตราประจำชาติหันหน้าเข้าหาเขา ภายในใจของรองหัวหน้าหน่วยเวลานี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เมื่อไม่นานมานี้มีหลายอย่างเกิดขึ้น พวกระดับสูงต่างปฏิเสธที่จะให้เหตุผลในเรื่องนี้ แต่มันก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหน่วยงานที่ชื่อว่าหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติได้รับมือกับ “คดียาก ๆ” ทั้งหมดที่เป็นของหน่วยอาชญากรรมไปจนหมด ซ้ำร้ายยังกันพวกเขาออกมาจากกระบวนการสืบสวนทั้งหมดด้วย เมืองเซี่ยเจียงนั้นตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสองจังหวัด นั่นจึงหมายความว่ามันตกอยู่ภายในขอบเขตอำนาจของหน่วยอาชญากรรม การถ่ายโอนคดีก็เป็นเหมือนกับการแย่งอาหารของพวกเขา และมันก็ทำให้สมาชิกในหน่วยต่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ในฐานะของเจ้าหน้าที่ตระเวนชายแดน มันก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องเชื่อฟัง

ดังนั้นเขาจึงเก็บความคิดเห็นทั้งหมดไว้กับตัว

“อีกเพียงไม่กี่ปี มันก็จะถึงเวลาเปลี่ยนผู้บัญชาการแล้วใช่หรือเปล่านะ?” บนทางด่วนในยามกลางคืนนั้นเงียบสงัด เขามองไปรอบ ๆ อย่างใจเย็น ยังคงขับรถอยู่ในเลน ด้วยความเร็วที่คงที่

“เรา หลินเชาเซิง ได้พิสูจน์ตัวเองในทั้งคุณสมบัติและความสามารถ ไม่ว่าจะยังไง มันก็ถึงคราวที่เราจะได้ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์บ้างแล้วไม่ใช่หรือ?”

ชายวัยกลางคนยิ้มกับตัวเอง แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็นึกถึงภรรยาและลูกสาวที่อยู่ที่บ้านขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกผิดเล็กน้อย

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเคาะเบา ๆ ดังขึ้น ก๊อก ก๊อก….

เสียงอะไร?

เขาหันไปมองทางซ้ายและขวา ไม่มี….

เขายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจและขับรถต่อ ทว่า….เสียงเคาะนั้นกลับดังขึ้นอีกครั้ง ก๊อก ก๊อก….ครั้งแล้วครั้งเล่า และความถี่ของมันก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน! จนครั้งล่าสุด เสียงเคาะนั้นดูเหมือนกับมันดังมาจากข้างหูของเขานี่เอง!

ภายในค่ำคืนที่มืดสนิท รถสีดำสนิทได้ขับผ่านไปบนทางด่วนที่มืดมน

เสียงเคาะที่ดังขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปดังก้องราวกับเสียงของระฆังมรณะ…!

ก๊อก ก๊อก….หลินเชาเซิงเริ่มวิเคราะห์ความถี่ของเสียงเคาะดังกล่าว มันดังขึ้นทุกๆ 5 วินาที และมันก็มักจะดังมาจากทางซ้าย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหันศีรษะไปมองนอกหน้าต่างทางซ้ายมือของตนทันที ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องร้องออกมาอย่างหวาดกลัว หักพวงมาลัยรถด้วยความตกใจ ส่งผลให้รถหลุดออกนอกเส้นทาง!

โครมมมมม!

“อ๊ากกก…..!!!” รถของเขาพุ่งเข้าชนข้างทาง ใบหน้าผากของชายวัยกลางคนเปียกชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ ขณะที่หัวใจของเขาแทบจะทะลุออกมาจากอก

เมื่อครู่นี้….วินาทีที่เขาหันไปมอบด้านข้าง เขาเห็น…ผู้ชายในชุดเสื้อโค้ทสีดำ สวมหมวกดำและแว่นกันแดดสีดำกำลัง…ใช้มือเคาะกระจกอยู่แม้ว่าเขาจะกำลังขับรถด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง!

เป็นไปได้ยังไง?!

ก๊อก ก๊อก….เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ มันก็ทำให้ร่างของเขาชะงักไป

ครั้งนี้…เสียงมันไม่ได้มาจากนอกรถ

แต่มันดังมาจากภายใน

กึกกก…..ทันใดนั้น รถก็ดับลง

แม้ว่าหลินเชาเซิงจะกล้าหาญและใจกล้าเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้สั่นได้เมื่อต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ความรู้สึกหวาดกลัวเข้าเกาะกุมทุกอณูผิวของเขา ความรู้สึกเย็นวาบไหลลงไปตามกระดูกสันหลัง

ด้วยมือที่สั่นเทา เขาเปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาและใช้ไฟฉายในโทรศัพท์เพื่อมองกระจกหลังของตน

“อ๊ากกกกก!!!”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นไปทั่วรถ

ภาพที่สะท้อนจากกระจกหลังคือภาพของตำรวจหนุ่มที่ในเวลานี้กำลังมีเลือดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ดวงตาของเจ้าหน้าที่หนุ่มเต็มไปด้วยเลือด ผิวของเขาซีดขาวและไร้สีเลือด ปากเปิดกว้าง เผยให้เห็นฟันซี่ขาวสองชุด อีกฝ่ายนั่งนิ่งอยู่กับที่นั่งของตน แต่ดวงตาของเขากลับจับจ้องมาที่ชายวัยกลางคน!

จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากศพ!

เขาขับรถมากับศพตลอด 10 นาทีที่ผ่านมา!

และสิ่งที่ทำให้มันแย่กว่าเดิมก็คือมันคือศพร่างนี้นี่เอง…ที่เคาะกระจกทุก ๆ 5 วินาที

“คุณรู้หรือเปล่า…ว่าทำไมพวกวิญญาณร้ายถึงไม่ไปปรากฏตัวที่ค่ายทหารและสถานีตำรวจ?” น้ำเสียงแหบแห้งดังมาจากร่างของตำรวจหนุ่ม ทว่าริมฝีปากและลำคอของศพกลับไม่ขยับเลยสักนิดขณะที่เอ่ยออกมา กลับกัน ดวงตาที่แดงก่ำของเขานั้นดูเหมือนจะนูนออกมาอย่างน่ากลัวราวกับจะหลุดออกมาจากเบ้า

“คะ คุณ…เป็นตัวอะไรกันแน่?!” ในเวลานี้ หลินเชาเซิงรู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาได้หยุดเต้นไปแล้ว จากนั้นเขาจึงรีบเอื้อมมือไปหยิบหมวกตำรวจของตนทันที

“อย่าเข้ามานะ….ผมมีปืน…และนี่ก็ตราประจำชาติ….”

เขาเคยได้ยินมาว่าผู้ร้ายไม่สามารถเข้าใกล้สัญลักษณ์ประจำชาติได้ นอกจากนั้นพวกมันยังไม่สามารถเข้าไปในสถานที่อย่างค่ายทหารหรือสถานีตำรวจได้ด้วย!

ทว่าตำรวจหนุ่มเพียงหัวเราะออกมา มือของเขาวางลงบนหัวเข่าและหลังเหยียดตรง มีเพียงส่วนปากของเขาเท่านั้นที่แย้มยิ้มแปลกประหลาดและน่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ

“มันก็เพราะว่าในสถานที่พวกนั้นมีพลังหยินที่เข้มข้นอยู่ แต่คุณ ในทางกลับกัน…หลินเชาเซิง…เมื่อ 7 ปีที่แล้ว คดีฆ่าหั่นศพที่คุณรับผิดชอบในเขตหม่าโค่ว ตอนนั้น คุณได้บังคับให้แม่หม้ายตระกูลจางยอมรับความผิดโดยการใช้ประโยชน์จากลูกชายปัญญาอ่อนของเธอ หลังจากนั้นเธอก็ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต และคุณก็ได้ให้สัญญากับเธอว่าคุณจะดูแลลูกชายของเธอ แต่อีกสามปีต่อมา เด็กคนนั้นกลับต้องอดตายจนเสียชีวิตอยู่บนท้องถนน”

ตัวของเขาสั่นเทา และชายวัยกลางคนกลับไม่สามารถหาคำใด ๆ มาพูดโต้แย้งได้เลย

“เมื่อ 4 ปีที่แล้ว…ชื่อเสียงของคุณโด่งดังขึ้นมาเมื่อคุณไขคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนั้นได้….เมื่อได้ลิ้มรสความสำเร็จที่หอมหวาน คุณก็ยังคงใช้ ‘การลองผิดลองถูก’ นี้ต่อไป คุณได้บีบบังคับชายวัย 60 ปีให้สารภาพผิดกับความผิดของเขาโดยการสัญญาว่าคุณจะดูและหลายชายวัย 7 ขวบของเขา แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งปี หลังจากที่เขาถูกสั่งโทษจำคุกตลอดชีวิต หลานของเขาก็ถูกขายให้กับพวกค้ามนุษย์…รู้สึกว่าราคาน่าจะประมาณ 100,000 หยวน…”

“ผมอาจจะไม่กล้าไปปรากฏตัวบนรถคันอื่น ๆ ในขบวนนี้…แต่รถของคุณนั้นดูเหมือนจะส่งเสียงเรียกหาผมนะ….บอกผมทีสิ คุณคิดว่าตราประจำชาติจะปกป้องเศษสวะอย่างคุณอย่างนั้นเหรอ?”

ด้วยมือที่สั่นระริก หลินเชาเซิงยิงไปที่เบาะหลัง “กะ กะ แก…แกเป็นตัวอะไรกันแน่?!!”

“ผมเป็นหมอ….” ศพด้านหลังหัวเราะออกมาเบา ๆ “หมอที่เชี่ยวชาญในการรักษาสิ่งมีชีวิต…และซากศพ”

“และบังเอิญ…ว่าผมเองก็คิดว่าจะเดินทางไปที่เมืองชิงซีเช่นกัน และรูปร่างอันอัปลักษณ์ของคุณก็เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นภาชนะของผม….”

ซ่าาาา! เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วหน้าต่างของรถยนต์คันสุดท้ายในขบวน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชของหลินเชาเซิงที่ดังก้องท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสนิท