บทที่ 37 ความวุ่นวายในช่วงตั้งครรภ์
ขณะที่ซูตานหงตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน คุณแม่จี้ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ทุกคนในหมู่บ้านสังเกตเห็นได้ว่าช่วงนี้คุณแม่จี้มาหาเธอบ่อยมากถึง 4-5 ครั้งต่อวันเลยทีเดียว
ผู้คนในหมู่บ้านเริ่มพูดคุยกัน และมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไปทุกรูปแบบ ยิ่งกว่านั้นยังมีบางคนสงสัยแล้วว่าหรือเป็นเพราะซูตานหงถูกคุณแม่จี้จับได้ว่ามีความสัมพันธ์คลุมเครือกับบรรดาพวกคนเกียจคร้าน จึงถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
คุณแม่จี้แทบจะกรีดร้องกับเรื่องนี้ รอกินข้าวเสร็จก่อนเถอะนางจะไปสั่งสอนบรรดาสวะพวกนี้ให้รู้สำนึกเสียบ้าง!
“พี่สาว เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ? ที่บ้านคุณมีเรื่องอะไรเหรอ คุณถึงได้เทียวมาเทียวไปไม่หยุดแบบนี้?” คุณแม่จี้โมโหเสียจนไม่มีที่ระบาย และแม่เฒ่าสวี่ก็เป็นคนที่มาถามเรื่องนี้เป็นคนแรก
“ฉันจะบอกให้นะ ว่าเป็นสะใภ้ของเธอเองต่างหากที่แย่งสามีคนอื่น สะใภ้สามของฉันวางตัวดีจะตาย เธออย่าปล่อยให้สะใภ้ขี้เกียจของเธอว่างงานเลย ใช้ให้ไปดูแลที่ดินไม่กี่หมู่ของบ้านเธอจะดีกว่า อย่ามาแกว่งเท้าหาเสี้ยนที่นี่!” คุณแม่จี้ด่ากราดตรง ๆ หากไม่มีคุณป้าหยางมาช่วยห้ามไว้ นางก็คงจะถลันเข้าไปหยิกทึ้งหนังหน้าเหี่ยวราวเปลือกส้มของแม่เฒ่าสวี่แล้ว
ในวันสิ้นปีคราวที่แล้วครอบครัวสามจับไก่ฟ้าได้แต่ไม่ได้เอามาขึ้นโต๊ะด้วย ซึ่งหลังจากนั้นนางก็รู้ว่าเป็นแม่เฒ่าสวี่ขี้ขโมยคนนี้ที่จงใจเสี้ยมลูกสาวของนางให้ก่อปัญหา นางเฒ่าคนนี้มีจิตใจอย่างไรกัน เรื่องเก่ายังไม่ทันได้สะสางก็สร้างเรื่องน่ารังเกียจเรื่องใหม่ขึ้นอีกแล้ว!
แม่เฒ่าสวี่แค่นเสียงเมื่อเห็นคุณแม่จี้ทำท่าจะเข้ามาสู้ นางเองก็ฉุนเหมือนกัน แต่ทำเพียงผละจากไปโดยไม่ต้องพูดซ้ำ ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ และเที่ยวโพนทะนาเรื่องที่เกิดขึ้นไปทั้งหมู่บ้าน
“พวกคุณไม่รู้หรอกว่านางจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นั่นเป็นขโมยในตอนกลางคืน หล่อนเพิ่งส่งใครบางคนออกจากบ้านแต่ก็ถูกยายเฒ่านั่นจับได้เสียก่อน จากนั้นยายเฒ่านั่นก็กลัวว่าเรื่องนี้จะฉาวโฉ่ไปทั่วเลยปิดเอาไว้ เพื่อไม่ให้หล่อนแย่งคนของใครไปอีก!”
แม่เฒ่าสวี่พูดราวกับว่านางได้ไปเห็นเหตุการณ์ด้วยตาของนางเอง และนางก็พูดเช่นนี้ไปทั่วหมู่บ้าน
แต่คนที่ประพฤติดีย่อมไม่เชื่อในเรื่องนี้ ความจริงแล้วคุณพ่อกับคุณแม่จี้มีชื่อเสียงในหมู่บ้านดีมากทีเดียว
นอกจากนี้พวกเขายังปฏิบัติดีกับคนบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะครอบครัวของสวี่อ้ายตั๋งกับครอบครัวของจี้หงจวิน ที่พวกเขาต่างรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของซูตานหงกับคุณพ่อคุณแม่จี้
การได้เงินเดือน 10 หยวนต่อเดือน ทำให้พวกเขาสามารถประทังชีพอยู่ได้อย่างมั่นคง
ชาวบ้านทั้งหลายล้วนมีอาหารการกินอยู่ในบ้านของตัวเอง จึงไม่จำเป็นต้องซื้อแตง ผลไม้ หรือผักใด ๆ เลย ที่ต้องซื้อก็มีเพียงเนื้อจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น เช่นเดียวกับถั่วเหลือง ข้าว น้ำมัน เกลือ และน้ำ แถมในยุคนี้ยังไม่มีไฟฟ้าใช้จึงไม่ต้องจ่ายค่าไฟฟ้า เงิน 10 หยวนถือว่าเพียงพอต่อการใช้ชีวิตแล้ว
อย่างมากก็ใช้จ่ายได้สูงสุด 5 หยวน ส่วนที่เหลืออีก 5 หยวนก็เก็บออมไว้ได้
ในยุคนี้เงิน 5 หยวนถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก ถ้าเก็บเงินได้ 5 หยวนต่อเดือนก็เท่ากับว่าในปีหนึ่งพวกเขาจะมีเงินเก็บถึง 60 หยวน นับว่าเป็นเงินจำนวนมากขนาดไหนกัน?
เฝิงฟางฟางกับจี้มู่ตานแยกบ้านกันนานเท่าไรแล้ว? พวกหล่อนเก็บเงินได้ราว 70-80 หยวนต่อปี และในวันปีใหม่ปีนี้ก็ได้รับส่วนแบ่งจากซูตานหงมาอีกคนละ 200 หยวน เรื่องนี้ทำให้พวกหล่อนออกอาการยืดตัวเชิดหน้าดูถูกคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านได้เลยทีเดียว
เนื่องจากทั้งสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินเป็นคนงานของซูตานหง พวกเขาจึงเป็นคนจัดการใครก็ตามที่มาพูดไม่ดีใส่นายจ้างสาว บรรดาผู้หญิงต่างไม่กล้าสู้กับพวกเขา แต่บรรดาชายผู้เกียจคร้านทั้งหลายกลับกล้าพูดหยาบโลนใส่ว่าทั้งสองคงจะได้ทำอะไรต่อมิอะไรกับหล่อนบนภูเขาแล้ว
กำลังกายของชายทั้งสองไม่ได้ด้อยกว่าใครคนอื่น แม้สุดท้ายแล้วพวกเขาจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่ก็ทำให้เรื่องซุบซิบนี้ยุติลงอย่างชะงัด
ซูตานหงยิ้มเมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น และพาคุณแม่จี้ไปกับเธอด้วย ครอบครัวของชายทั้งคู่ได้เนื้อหมูกันคนละ 2 ชั่ง และยังเป็นเนื้อชิ้นใหญ่!
เรียกได้ว่าทั้งสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินมีท่าทางราวกับถูกฉีดเลือดไก่*เลยทีเดียว ทุกวันหลังกลับมาจากการทำงาน พวกเขาก็จะแทบจะออกลาดตระเวนไปทั่ว ใครก็ตามพูดจาว่าร้ายนายจ้าง พวกเขาก็พร้อมที่จะจัดการ
*ตื่นเต้น กระตือรือร้น มีพละกำลัง
ผู้คนต่างหวาดเกรงมากเสียจนไม่มีใครกล้าแพร่งพรายเรื่องนี้อีก ทำให้ภรรยาสวี่อ้ายตั๋งกับจี้หงจวินรู้สึกเสียใจ เพราะคิดว่าตนจะได้มีเนื้อหมูให้กินมากกว่า 2 ชั่ง แต่แล้วคนพวกนั้นกลับเงียบปากกันโดยไม่คาดคิด
ทั้งสองครอบครัวมีชีวิตที่ยากลำบาก ต้องแยกทางกันอยู่เนื่องจากความยากจนข้นแค้น ต่อให้พวกเขาจะยากจน พวกเขาก็ไม่ใช่สุนัขและแมวที่จะให้ใครมารังแกได้
ตอนนี้ผู้ชายของหล่อนทำงานกับนายจ้างสาวแล้ว พอเกิดปัญหาขึ้นมาจะให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง?
ภรรยาของสวี่อ้ายตั๋งคือหลี่อวี้ซุ่ย และภรรยาของจี้หงจวินคือหวังหงฮวา และทั้งคู่ก็ได้มาเจอกันในวันนี้
ซูตานหงต้อนรับพวกหล่อนเข้าบ้าน เมื่อทั้งคู่เห็นว่าเธอกำลังตัดเสื้อผ้าเด็กเล็ก พวกหล่อนก็อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “พี่สะใภ้กำลังทำเสื้อผ้าเด็กอยู่เหรอคะ?”
ซูตานหงยิ้ม “ตอนนี้ใกล้สี่เดือนแล้วน่ะจ้ะ เลยต้องรีบเตรียมพร้อมเอาไว้”
หลี่อวี้ซุ่ยกับหวังหงฮวาจึงรู้ในทันทีว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ คุณแม่จี้จึงมาหาบ่อย ๆ ผู้เป็นสามีทำงานอยู่ข้างนอก แล้วคนที่เป็นแม่สามีจะมาดูแลสะใภ้ที่กำลังท้องบ่อย ๆ ไม่ได้เหรอ?
ดูสิ่งที่คนข้างนอกพูดกันสิ ไร้สาระทั้งนั้น!
“พี่สะใภ้เองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ ทำไมไม่ออกไปอุดปากสุนัขของคนพวกนั้นหน่อยล่ะคะ?” หลี่อวี้ซุ่ยบอก
ถ้าลองนับเวลาดูแล้ว ไม่ใช่ว่าตั้งครรภ์มาแล้วตั้งแต่ปีใหม่เหรอ?
หวังหงฮวาเองก็พูดเสริม “นั่นน่ะสิคะ พี่ออกไปตอกพวกปากหอยปากปูให้เงียบไปเลย”
“อย่าสนใจคำพูดพวกนั้นเลยจ้ะ พวกเธอมาดูเสื้อผ้าที่ฉันทำดีกว่าว่าเป็นอย่างไรบ้าง ควรจะให้ใหญ่กว่านี้ไหมจ๊ะ?” ซูตานหงเอ่ยและให้พวกหล่อนดูเสื้อผ้าที่เธอทำ
พวกมันล้วนเป็นเสื้อผ้าสำหรับเด็กอ่อน แต่ในตอนที่หลี่อวี้ซุ่ยกับหวังหงฮวามีลูกนั้น พวกหล่อนไม่ได้มีความเป็นอยู่แบบนี้ ดังนั้นแล้วจะตัดเสื้อผ้าให้ลูกของพวกหล่อนใส่ได้อย่างไร?
แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ พวกหล่อนต่างก็เป็นแม่คนแล้ว แต่ตอนนี้ลูก ๆ ของพวกหล่อนกำลังอยู่ในวัยส่งเสียงดัง ซึ่งทั้งคู่ก็ฝากเพื่อนบ้านเลี้ยงชั่วคราวและไม่ได้พามาด้วย
ทั้งสองช่วยกันและพูดคุยในหลายเรื่องที่ควรใส่ใจในช่วงตั้งครรภ์ แม้พวกหล่อนจะไม่เคยเจออุปสรรคทั้งหลายตามที่พูดมา แต่ก็ยังบอกว่าถ้าสภาพต่าง ๆ เอื้ออำนวยแล้วก็ควรใส่ใจกับการใช้ชีวิตสักหน่อย
เสื้อผ้าเด็กไม่จำเป็นต้องทำเตรียมไว้หลายชุดนัก เพราะเด็ก ๆ โตเร็วราวสายลมพัด ถ้าพวกเขาโตแล้วก็ไม่อาจใส่เสื้อผ้าได้อีก ดังนั้นจะทำเผื่อไว้มาก ๆ ทำไมกัน?
ซูตานหงรับฟังข้อเสนอแนะมากมายแต่ก็ไม่ได้ฟังมากนัก เธออยากทำเสื้อผ้าให้ลูกของเธอมากหน่อย อย่างเช่นผ้าอ้อมที่เตรียมไว้มากกว่า 20 ผืน นับว่าเพียงพอต่อเจ้าตัวน้อยแล้ว
ที่ผ่านมาเธอปักผ้าได้ 2 ชิ้นต่อเดือน ตอนนี้เธอมีลูกอยู่ในท้องแล้วและต้องทำเสื้อผ้าให้กับเจ้าตัวน้อย เธอจึงลดความเร็วในการปักผ้าลงเหลือ 1 ชิ้นต่อเดือน ได้เงินชิ้นละ 200 ถึง 300 หยวนและใช้เป็นค่านมผงสำหรับเจ้าตัวน้อย และเมื่อลูกของเธอคลอดแล้ว เธอก็ไม่มั่นใจว่าจะปักดอกไม้ได้หรือไม่
ในชีวิตชาติที่แล้ว พี่สะใภ้ของเธอได้ให้กำเนิดเด็กชายตัวอ้วนใหญ่ เสียงของทารกน้อยดังจ้าเสียจนแทบทำให้ฟ้ารั่ว กระทั่งเขามีอายุได้ 2 หรือ 3 ขวบถึงนับว่าดีขึ้น แต่พออายุได้ 2 หรือ 3 ขวบนี้เขาก็ซุกซนอย่างกับปีศาจ
ซูตานหงคลำท้องและเอ่ยขึ้น “แม่หวังว่าลูกจะเป็นเด็กผู้หญิงนะ” ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็คงจะไม่เสียงดังมาก…ใช่ไหม?
“ไปขึ้นเขาดูต้นกล้าผลไม้กันเถอะ” ในเย็นวันนั้นเอง ซูตานหงก็หยิบบัวรดน้ำและพาต้าเฮยกับเจ้าตัวขาวไปด้วย ส่วนเจ้าเหลืองกับเจ้าน้ำตาลให้อยู่เฝ้าบ้าน
ผ่านมาเกือบ 1 เดือนแล้วนับตั้งแต่ที่เลี้ยงพวกมัน ตอนนี้สุนัขทั้งสามเปลี่ยนไปมากเพราะได้กินอาหารดี ๆ และยังเป็นเพราะได้ดื่มน้ำวิเศษแถมได้รับการคุ้มกันจากต้าเฮยด้วย พวกมันจึงแข็งแรงมีชีวิตชีวาอย่างมาก
…………………………………