ตอนที่ 36 ทัศนคติของคุณแม่จี้

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 36 ทัศนคติของคุณแม่จี้

‘ภรรยา คุณอยู่ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง? ผมโทรหาเหล่าฉินและเขาก็บอกว่าได้ส่งต้นกล้าผลไม้ไปให้คุณแล้ว คุณปลูกไหวไหม? คงไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าผมไม่ได้ไปช่วยปลูก เรายังอายุน้อยกันทั้งคู่ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเงินเล็กน้อยเหล่านั้นหรอก ตอนนี้ผมรับภารกิจใหม่แล้วนะ แต่คุณไม่ต้องกังวล งานนี้ไม่อันตรายมากนัก แต่ผมจะได้เงินเดือน 50 หยวนต่อเดือน ซึ่งผมจะส่งกลับไปให้คุณ ผมรู้ว่าคุณหาเงินเองได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องผิดวิสัยหรอกถ้าผมจะทำเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่ผมหามาได้และอยากให้คุณไว้ใช้ คุณซื้ออะไรก็ได้ที่คุณอยากได้เถอะนะ อย่าทำให้ตัวเองลำบากเลย’

ทุกข้อความที่กระจายเต็มหน้าจดหมายกำลังพูดคุยกับเธอ และทุกคำพูดในแต่ละบรรทัดก็บ่งบอกได้ว่าเขากำลังคิดถึงเธอ

ซูตานหงมองมันผ่านดวงตา ความรู้สึกหวานล้ำก่อตัวขึ้นในใจ เธออ่านอยู่หลายครั้งก่อนจะพับเก็บจดหมายลง

เธอเขียนตอบจดหมายเป็นอย่างแรก จากนั้นก็หยิบรองเท้าออกมาเย็บต่อ เธอต้องเย็บรองเท้าให้เสร็จเพื่อจะได้ส่งไปให้เขา

ไม่กี่วันต่อมา รองเท้าสองคู่ก็เย็บเสร็จเรียบร้อย และถูกจัดส่งไปที่องค์กรของเขาพร้อมกับจดหมาย

“นั่นพัสดุของเจี้ยนอวิ๋นเหรอ? เจี้ยนอวิ๋นออกไปทำภารกิจอยู่และไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่น่ะ” สหายคนหนึ่งพูดขณะมาดูพัสดุ

แต่นั่นก็เป็นอย่างที่พูด พัสดุถูกส่งไปถึงแล้วและอยู่ในแผนกรับฝากของ พร้อมที่จะส่งมอบให้ผู้รับเมื่อคน ๆ นั้นกลับมาถึง

“ภรรยาของเจี้ยนอวิ๋นเหมือนจะส่งของมาอีกแล้วเหรอ? เนื้อแดดเดียวที่ส่งมาคราวที่แล้วมันอร่อยมากเลย” สหายคนหนึ่งหัวเราะ

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นล่ะ เว้นแต่ว่าภรรยาของเขาไม่ได้ส่งของมาบ่อยนักหรอก” สหายอีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจี้ยนอวิ๋นกำลังก้าวหน้า ตอนนี้ภรรยาของเขาเป็นคนมีเหตุผลและรู้สึกดูแลเขามากขึ้น เขาต้องขยันทำงานมากขึ้นจนได้เลื่อนอีกขั้นแน่นอน”

พวกเขาต่างเป็นสหายสนิทกัน จะไม่รู้ว่าชีวิตสมรสในสองปีแรกของเพื่อนรักอย่างเจี้ยนอวิ๋นนั้นเป็นอย่างไรเชียวเหรอ? สำหรับนิสัยของสหายนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องบอก แต่ไม่ใช่กับภรรยาที่เขาแต่งงานด้วยเลย

ทว่าตอนนี้อะไร ๆ ก็ดีขึ้นแล้ว หล่อนส่งของมาที่นี่บ่อยขึ้น พูดได้ว่าไม่ใช่เพราะสิ่งของไม่ดีพอที่จะส่งมา หากแต่เป็นทัศนคติของคนส่งต่างหากถูกไหม?

ดูจี้เจี้ยนอวิ๋นสหายของพวกเขาที่กลับมาจากบ้านหลังปีใหม่คราวนี้สิ เขาดูน้ำหนักเพิ่มขึ้นหลายเท่า และยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้ามากขึ้นด้วย

ดูราวกับสั่งได้เลยทีเดียว!

โดยไม่รู้ว่าสหายของสามีกำลังพูดถึงพวกเขาอยู่ และไม่รู้ว่าสามีกำลังติดภารกิจอยู่ ซูตานหงก็กำลังใช้ชีวิตอย่างปกติสุขในหมู่บ้านต่อไป

ที่ผ่านมาในตอนที่เธออยู่คนเดียวเธอจะกินน้อยกว่านี้ แต่ในเมื่อตอนนี้มีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้องอีกคนหนึ่งแล้ว เธอก็ไม่กล้ากินเหมือนอย่างที่เคยกินอีก ในมื้อหนึ่งเธอจะกินข้าวอย่างน้อยหนึ่งชาม บวกกับผลไม้และอาหารว่างอีกนิดหน่อย ซึ่งทุกวันเธอเอาแต่กินอย่างไม่หยุดปาก

ครั้นไม่ได้เห็นเธอมานานหลายวัน คุณพ่อจี้ก็พูดกับคุณแม่จี้กันสองคน “คุณควรไปเยี่ยมบ้านสามบ้างนะ พวกหนุ่มโสดในหมู่บ้านเหล่านั้นจะได้ไม่มารังควาญหล่อน!”

คุณแม่จี้เดินผ่านบ้านนั้นทุกวัน ซึ่งนางก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ แต่นางสังเกตได้ว่าสะใภ้คนนี้ดูมีความสุขมากในช่วงนี้ ใบหน้ารูปไข่นั้นดูแดงมีเลือดฝาดและยังอารมณ์ดีมากอีกด้วย

นางไม่ได้ขัดคำพูดของสามี และมาเยี่ยมสะใภ้สามครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อคุณแม่จี้ไปเยี่ยมในวันนั้น นางก็เห็นพุทราจีนจำนวนมากกองอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พุทราดีต่อสุขภาพก็จริง แต่เธออย่ากินเยอะนัก เดี๋ยวจะทำให้เป็นร้อนใน”

เห็นไหมว่าบ้านสามมีความสุขขนาดไหน? เพียงได้เห็นครั้งเดียวก็รู้สึกดีแล้ว

“คุณแม่กินบ้างสิคะ” ซูตานหงยิ้มก่อนจะหยิบพุทราให้นางหนึ่งกำมือ “เดี๋ยวนี้ฉันกินเก่งมากเลยค่ะ คุณแม่ไปหาถั่วลิสงให้ฉันหน่อยสิคะ ถ้าเจอก็ซื้อกลับมาให้ฉันด้วยค่ะ”

“กินเก่ง?” คุณแม่จี้เหมือนจะจับอะไรบางอย่างได้ ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับเอ่ยถาม “ตานหง รอบเดือนคราวที่แล้วของเธอมาตอนไหน?”

อีกไม่กี่วันก็จะครบเดือนที่สามพอดี ซูตานหงจึงไม่ปิดบังอีกต่อไป เธอยิ้มและตอบด้วยอาการเอียงอาย “คุณแม่คะ อีกห้าวันท้องของฉันจะมีอายุครบสามเดือนพอดีค่ะ”

ทันทีที่ได้ยิน คุณแม่จี้ก็นิ่งค้างไป และเมื่อมีสติกลับมานางก็รู้สึกปิติยินดีสุดขีด “ตานหง เธอท้องแล้วเหรอ? และท้องได้เกือบสามเดือนแล้ว?”

“ค่ะ” ซูตานหงพยักหน้า

คุณแม่จี้ทั้งมีความสุขและตื่นเต้นดีใจ “เด็กน้อย เธอท้องมาเกือบจะสามเดือนแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้?”

“ฉันอยากจะรอให้ครบสามเดือนก่อนน่ะค่ะถึงจะพูดออกมา” ซูตานหงยิ้ม

คุณแม่จี้ได้ยินแล้วก็ไม่ตำหนิเธอ ถึงอย่างไรเธอก็พูดออกมาแล้ว ถ้ายังไม่ถึงสามเดือนจะไม่พูดก็ไม่เป็นไร และมันไม่สายเกินไปหรอกหากจะพูดเมื่อครบกำหนดสามเดือนแล้ว

“ถึงว่าทำไมตอนนี้เธอกินแบบนี้ ปกติเธอกินข้าวได้ครึ่งชามก็อิ่มแล้ว ตอนนี้เธอกลับกินข้าวได้ถึงหนึ่งชาม แต่ข้าวชามเดียวมันไม่พอหรอก เธอยังกินได้มากกว่านี้ เธออยากกินถั่วลิสงใช่ไหม? เดี๋ยวแม่จะไปซื้อให้ ในหมู่บ้านเราไม่มีคนอื่นอยู่ แล้วจะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร?” คุณแม่จี้พูดก่อนกุลีกุจอลุกออกจากที่นั่งและใส่รองเท้าเดินออกไป

ซูตานหงมัวแต่อึ้งไปเล็กน้อยจนไม่ได้ให้เงินกับนาง

จากนั้นคุณแม่จี้ก็นำถั่วลิสงมาให้เธอ 5 ชั่ง ไม่เพียงแต่มีถั่วลิสงเท่านั้น แต่ยังมีเมล็ดงาอีก 2-3 ชั่งด้วย ซึ่งล้วนแล้วเป็นของดีทั้งคู่

“แม่บอกกับคุณป้าหยางแล้วว่าให้หล่อนเลี้ยงไก่เพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ หลังจากนั้นพวกมันก็จะถูกเชือดทันกับช่วงที่เธอต้องอยู่ไฟหลังคลอดพอดี!” คุณแม่จี้เอ่ยอย่างมีความสุข

“แม่อย่าเพิ่งบอกพวกเขาสิคะ” ซูตานหงเอ่ย

“แม่รู้จ๊ะ แม่บอกแค่คุณป้าหยาง คุณลุงหยางเขาเคยช่วยเจี้ยนอวิ๋นไว้เมื่อยังเด็กน่ะ ครอบครัวพวกเขาเลยผูกพันกับเรา เพราะงั้นไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้หรอก” คุณแม่จี้กล่าว

“แล้วมีอะไรอีกไหมคะ?” ซูตานหงชะงักไปก่อนจะเอ่ยอีก “เกิดอะไรขึ้น? คุณแม่บอกฉันเถอะค่ะ”

คุณแม่จี้จึงเล่าให้ฟังว่าในตอนที่จี้เจี้ยนอวิ๋นยังเด็กอยู่นั้นเขาเป็นคนที่มุทะลุมาก แล้วในระหว่างที่สู้กับเด็กคนอื่นก็ถูกผลักตกลงไปในแม่น้ำช่วงฤดูหนาว เป็นคุณลุงหยางนี่เองที่มาช่วยเขาขึ้นฝั่ง

ด้วยเหตุนี้ คุณแม่จี้กับคุณป้าหยางจึงสนิทกันมาก และคุณป้าหยางก็ไม่ใช่คนที่จะสนิทด้วยยากนัก

ขณะที่พูดคุยกันนั้น คุณป้าหยางก็เข้ามาพร้อมกับไข่ตะกร้าหนึ่ง

ต้าเฮยมองเห็นนางถือตะกร้าไข่มาโดยที่คุณแม่จี้ยังนั่งอยู่ในบ้าน มันก็ไม่ได้ขวางนางไว้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณป้าหยางก็ยังไม่กล้าเข้ามาและได้แต่ตะโกนเรียกอยู่ข้างนอกประตู

คุณแม่จี้จึงเป็นคนพานางเข้ามาในบ้านพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ทำไมเอาไข่มาเยอะขนาดนี้ล่ะจ๊ะ?”

“แน่นอนว่าให้ตานหงไว้กินบำรุงร่างกายน่ะจ้ะ ตานหง ไก่ห้าหกตัวที่บ้านป้าตอนนี้ออกไข่กันเร็วมาก ไม่ต้องเกรงใจป้านะจ๊ะ เธอเอาไข่พวกนี้ไปกินสองสามฟองทุกวัน ตอนนี้เธอกำลังท้องอยู่ ต้องบำรุงเด็กในท้องให้เยอะ ๆ ไม่เหมือนสมัยเรา ๆ เมื่อก่อนหน้านั้น ที่แค่มีอาหารให้เด็กกินก็นับว่าดีแล้ว” คุณป้าหยางเอ่ยอย่างขมขื่น

คุณแม่จี้ได้ยินก็สนใจเรื่องนี้ นางจึงพูดเสริมขึ้น “ใครจะปฏิเสธได้ล่ะ? สามปีนั้นที่ต้องอดอยาก ทางด้านเราถือว่ายังดีอยู่นะ อย่างน้อยก็มีข้าวต้มกับน้ำให้กินบ้าง แม้แต่เปลือกไม้ก็ยังต้องถากมากิน”

หญิงชราทั้งสองคุยกันถึงเรื่องเก่า ๆ ในวันวาน ซึ่งซูตานหงก็รับฟังอย่างเพลิดเพลิน และเมื่อคุณป้าหยางกำลังจะกลับไป ซูตานหงก็นำเนื้อแดดเดียวในห่อกระดาษไขไปให้นางครึ่งชั่งและพูดว่า “คุณป้าหยาง โปรดรับของสิ่งนี้จากฉันด้วยนะคะ เอาไว้ให้คุณลุงหยางกินแกล้มเหล้า เนื้อนี้ทำให้เลือดลมไหลเวียนดี ฉันใส่สมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงกำลังและเสริมสร้างร่างกายลงไปเป็นจำนวนมาก คุณป้าเอากลับไปกินด้วยนะคะ”

“ของนี้ถูกกว่าของที่เคยมีเสียอีกนะเนี่ย” คุณป้าหยางยิ้ม จากนั้นนางก็รับไปโดยไม่เกรงใจ

______________