เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากนำปัญหามาให้ตนเอง ด้วยเหตุนี้นางจึงคุกเข่าพร้อมหมอบกราบลง “หม่อมฉันต้องขออภัยที่กระทำหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ จวิ้นจู่โปรดทรงลงอาญาเพคะ”
“เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เหตุที่เกิดขึ้นช่างบังเอิญยิ่งนัก ในยามที่คับขันถึงเพียงนั้น คุณหนูเหยาปรากฎตัวพอดี ใครบอกว่านี่ไม่ใช่การสำแดงอิทธิฤทธิ์ของพระโพธิสัตว์กวนอิมกันเล่า?” หลิงซีจวิ้นจู่แย้มยิ้มพลางพูดขึ้น
อมิตาพุทธ! เจ้ามีความคิดเช่นนี้ช่างดีนัก! เหยาเยี่ยนอวี่เปรยบทสวดในใจ พลันทูลหลิงซีจวิ้นจู่ “จวิ้นจู่กล่าวถูกต้องแล้วเพคะ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม ทั้งยังทำบุญสุนทานสะสมในทุกวัน เทพเซียนจึงดลบันดาล พระพุทธองค์ทรงปกปักรักษา ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรอดพ้นจากภัยอันตรายเพคะ”
“คุณหนูเช่นเจ้าช่างไม่ละโมบจริงๆ” อยู่ดีๆ หลิงซีจวิ้นจู่ก็แย้มยิ้มพูดขึ้นอีกครั้ง “เหยาหย่วนจือมีบุตรีเช่นเจ้าถือว่ามีบุญวาสนายิ่งนัก”
ความปิติยินดีภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่ลดลง นางครุ่นคิดด้วยความหงุดหงิด หลิงซีจวิ้นจู่คิดจะทำสิ่งใดกันแน่!
“ไม่ว่าอย่างไร ความจริงก็คือคุณหนูเหยาเป็นผู้ช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเรา ในเมื่อเวลานี้คุณหนูเหยาพักอาศัยในจวนติ้งโหวแล้ว เช่นนั้นวันหลังข้าจะจัดเตรียมของกำนัลไปให้เจ้าที่จวนติ้งโหว เพื่อเป็นการขอบคุณในน้ำใจของคุณหนู”
“หลิงซีจวิ้นจู่เกรงใจเกินไปแล้วเพคะ!” เหยาเยี่ยนอวี่พลันโบกมือปฏิเสธอย่างเร่งรีบ พลางยิ้มบางๆ ด้วยความอึดอัด จากนั้นก็พูดขึ้น “ไม่ขอปิดบังจวิ้นจู่ หม่อมฉันเป็นบุตรีของอนุภรรยา เดิมทีการมาเยือนวัดฉือซินในครั้งนี้ก็เพื่อสวดมนต์ภาวนาให้กับอี้เหนียง หากพี่สาวของหม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันแอบหนีออกมาเช่นนี้ ต้องโกรธอย่างแน่นอนเพคะ ดังนั้น…จวิ้นจู่ช่วยเมตตาให้หม่อมฉันสมหวัง เรื่องที่จะส่งของกำนัลมาขอบคุณหม่อมฉันนั้น…ไม่จำเป็นเลยเพคะ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ มีพระพุทธองค์คอยปกปักรักษา แม้นจะไม่ได้พบเจอกับหม่อมฉัน ก็ย่อมไม่เป็นเช่นไรเพคะ”
ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่พูดนั้น ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ รอยยิ้มของนางดูไร้เดียงสา นางเป็นสตรีที่มีดวงหน้ากลมเล็ก สีหน้าของนางในเวลานี้คล้ายกับเด็กน้อยที่กระทำความผิดแล้วกลัวจะถูกลงโทษ
หลังจากที่หลิงซีจวิ้นจู่ฟังนางพูดจบ พร้อมทั้งมองสีหน้าท่าทางของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้พูดร่ายยาวเสียมากมาย แท้ที่จริงก็กลัวว่าพี่สาวของเจ้าจะลงโทษที่เจ้าไม่เชื่อฟังหรอกหรือ?”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มเล็กน้อย แล้วพยักหน้า “เพคะ ดังนั้น ขอร้องจวิ้นจู่ได้โปรดช่วยเก็บเป็นความลับให้หม่อมฉันที หม่อมฉันขอขอบพระทัยเพคะ”
“ช่างเถอะ พวกเราคงไม่อาจทำให้เจ้าต้องลำบากเพราะช่วยเหลือพวกเราไว้หรอก” หลิงซีจวิ้นจู่คิดไตร่ตรอง จากนั้นถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “แต่ถึงอย่างไรบุญคุณครั้งนี้ก็เป็นเรื่องจริง หากไม่ขอบคุณเจ้า เกรงว่าจะผิดหลักทำนองคลองธรรม เช่นนั้นกลับไปข้าจะเลือกเครื่องประดับชั้นดีสักสองสามอย่าง จากนั้นค่อยให้คนส่งมาให้คุณหนูเหยาเลือกที่วัดฉือซินก็แล้วกัน เจ้าเองก็อย่าปฏิเสธอีกเลย ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กน้อยจากข้า”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดในใจ สิ่งของที่ให้มา หากไม่รับไว้ก็คงสูญเปล่า สำหรับพวกเขา การให้สิ่งของตอบแทนมานั้นก็เพื่อความสบายใจ ทว่าสำหรับตัวข้าก็ถือเสียว่าเป็นค่าตรวจรักษา ด้วยเหตุนี้นางจึงค้อมตัวแล้วพูดตอบ “เช่นนี้ หากหม่อมฉันปฏิเสธ เกรงว่าจะเสียมารยาทแล้วเพคะ”
เวลานี้ ท้องฟ้ามืดสนิทลงแล้ว หลิงซีจวิ้นจู่และสาวใช้ไม่ทันกลับเข้าเมือง จึงต้องเข้าพักที่วัดต้าเจวี๋ย
โชคดีที่วัดต้าเจวี๋ยเป็นวัดของราชวงศ์ จึงมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ทั้งยังมีเรือนมากมาย เมื่อหลิงซีจวิ้นจู่ต้องการจะเข้าพัก เรือนนอนและเครื่องใช้จึงต้องจัดการอย่างกะทันหัน ทว่ามีผัวจื่อและสาวใช้ติดตามมามากมาย พวกนางจึงใช้เวลาเพียงไม่นานก็เก็บกวาดทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย
เฟิงเซ่าเชินสั่งให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมเรือนนอนให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับเหยียดกายลุกขึ้นแล้วกล่าวคำขอโทษหลิงซีจวิ้นจู่ “จวิ้นจู่โปรดอภัย ค่ำคืนนี้หม่อมฉันต้องฟังพระอาจารย์บรรยายธรรม จึงต้องกลับไปเพคะ”
หลิงซีจวิ้นจู่เองก็ไม่ได้ฝืนบังคับให้นางอยู่ต่อ ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “การที่เจ้ามีใจเคร่งครัดในศาสนา ถือเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก ทั้งวัดฉือซินก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เดี๋ยวหลังจากร่วมโต๊ะอาหารค่ำเสร็จ ข้าจะสั่งให้องครักษ์ส่งคุณหนูเหยาไปวัดฉือซินเอง”
การร่วมโต๊ะอาหารกับจวิ้นจู่ ถือเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารกับนางแม้แต่น้อย ทว่าจวิ้นจู่พูดถึงขั้นนี้แล้วนางเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงทำได้เพียงรับคำ
ผู้ที่ออกมาบำเพ็ญเพียรล้วนถือปฏิบัติ หลังจากเลยเวลาเที่ยงแล้วนั้นจะไม่กินอะไรอีก ทว่าหลิงซีจวิ้นจู่กลับอดทนไม่ได้ ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงจึงให้คนเตรียมอาหารมังสวิรัติ พวกผัดผักกาด ยำเต้าหู้ ผัดหมี่ อีกทั้งยังมีแตงกวาและผักกาดดองที่เหล่าพระอาจารย์หมักดองกันเอง โดยมีหมัวมัวคอยจัดจานให้หลินซีจวิ้นจู่ เมื่อยกสำรับมานั้นแลดูน่าอร่อยยิ่งนัก
หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่นั่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นกล่าวอำลา ตอนที่นางเดินออกมาจากเรือนของหลิงซีจวิ้นจู่ก็ถอนใจด้วยความรู้สึกโล่งใจ
เฝิงหมัวมัวรู้ว่าวันนี้เหยาเยี่ยนอวี่ต้องเหนื่อยมาก จึงรีบเดินหน้าแล้วพยุงแขนของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ แล้วเอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ชุ่ยเวยสะบัดเสื้อคลุม พลางคลุมบนร่างเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วพึมพำเสียงเบา “คุณหนูคงจะเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ในเวลานี้รู้สึกทั้งเมื่อยเอวปวดหลังและเจ็บขาไปหมด ทั้งร่างกายของนางปวดเมื่อยจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงเอ่ยพูดเสียงเบา “ไปกันเถอะ”
หลังจากที่นายและบ่าวเดินออกไปจากวัด ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไป ด้านหลังมีเสียงเรียกเสียงหนึ่งส่งมา “คุณหนูเหยา โปรดหยุดก่อน”
เรื่องอะไรอีกเล่า? เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความอดกลั้น จากนั้นหันหลังไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณหนูเหยา” เฟิงเซ่าเชินเดินหน้า พร้อมยิ้มและพูดขึ้น “ท่านย่าบอกให้ข้ามาส่งคุณหนูเหยาน่ะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงใจมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ มิบังอาจรบกวนคุณชายหรอก คุณชายส่งเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่รีบโน้มตัวลง
“ข้าไปส่งคุณหนูเหยาขึ้นรถม้าเอง” เฟิงเซ่าเชินยิ้มแล้วผายมือ “คุณหนูเหยา เชิญ”
“คุณชาย เชิญ” เหยาเยี่ยนอวี่ปรายตามองเฟิงเซ่าเชิน แสงจันทร์สลัวทำให้เห็นภาพตรงหน้าไม่ชัด วัดบนหุบเขาที่เงียบสงัด เบื้องหน้ามีบุรุษรูปงาม ดวงหน้าคมคายดุจมงกุฎหยกงาม คล้ายพฤกษาในฤดูใบไม้ผลิ คิ้วโก่งราวกับภาพวาด ดวงตาใสวาว ริมฝีปากหยักกระตุกยกสูงเล็กน้อย แม้เขาไม่ได้พูดสิ่งใด ทว่าคล้ายกำลังส่งยิ้ม ร่างสูงโปร่งมีเสน่ห์ชวนหลงใหล แม้แต่ตุ่มแดงบนหน้าผากที่ถูกผึ้งต่อย ทำให้เขาแลดูซุกซน ทว่าเขากลับไม่ได้ดูน่าเวทนาแม้เพียงน้อย
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจ หนุ่มน้อยผู้นี้ช่างมีเสน่ห์ชวนมองยิ่งนัก
เฟิงเซ่าเชินและเหยาเยี่ยนอวี่เดินเคียงข้างไปพร้อมๆ กัน เหยาเยี่ยนอวี่ในเวลานี้อ่อนเพลียจนเกียจคร้านจะพูด ทว่าเฟิงเซ่าเชินเองก็นิ่งเงียบไม่กล่าววาจาอันใดแล้วเดินเป็นเพื่อนไปตลอดทาง ทางด้านชุ่ยเวย ชุ่ยผิงและเฝิงหมัวมัวเดินตามอยู่ด้านหลัง
คนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เดินออกไปจากประตูวัดต้าเจวี๋ย วัดต้าเจวี๋ยสร้างอยู่บนไหล่เขา เมื่อสองร้อยปีก่อน พระบรมอรรคราชบรรพบุรุษของฮ่องเต้ต้าอวิ๋นรับสั่งให้คนขนย้ายหินมาสร้างวัดอยู่บนไหล่เขา แม้ว่าตรงประตูวัดจะมีพื้นที่เป็นลานกว้าง ทว่ารถม้ากลับไม่อาจขึ้นมาได้ รถม้าจึงต้องจอดอยู่ตรงลานกว้างถัดจากบันไดขั้นที่หนึ่งร้อยแปด และทุกคนต้องเดินลงบันไดหินเพื่อไปรถม้า
เหยาเยี่ยนอวี่หยุดเดินครู่หนึ่ง จากนั้นหันกลับมาพูด “คุณชายส่งถึงเท่านี้ก็พอเจ้าค่ะ”
เฟิงเซ่าเชินมองดวงหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ แววตาของเขาเหม่อลอย คล้ายกำลังครุ่นคิดบางสิ่งครู่หนึ่งจู่ๆ เขาก็ยิ้ม “ไปกันเถอะ ข้าไปส่งคุณหนูขึ้นรถม้าเอง”
เจ้าเป็นเพียงบุรุษที่ยังไม่โตเป็นหนุ่ม เหตุใดจึงเคร่งขรึมเช่นนี้! เหยาเยี่ยนอวี่ต่อว่าเขาในใจ จากนั้นก็ทำได้เพียงเดินต่อไป
เมื่อตอนกลางวันเหยาเยี่ยนอวี่ปีนขึ้นเขา จึงทำให้เท้าของนางปวดเมื่อยยิ่งนัก คล้ายตะคริวกิน เมื่อครู่ตอนที่เดินบนพื้นราบนั้นยังดีหน่อย ทว่าเวลานี้ต้องเดินลงเขา ทุกย่างก้าวที่ลงบันไดไปนั้น หัวเข่าและกล้ามเนื้อตรงด้านหลังเท้าปวดเมื่อยจนอ่อนแรง นางต้องเม้มปากกัดฟันจึงจะสามารถฝืนเดินต่อไปได้
คนที่เดินอยู่ข้างๆ กลับเป็นคุณชายตระกูลสูง นางจำต้องรักษาภาพลักษณ์ของตน ไม่สามารถที่จะทิ้งตัวให้แม่นมและสาวใช้ช่วยกันพยุงนางเดินได้
เดินลงบันไดไปประมาณสิบกว่าขั้น เฟิงเซ่าเชินที่เงียบอยู่นานอยู่ดีๆ ก็เอ่ยวาจาขึ้นฉับพลัน “คุณหนูเหยา?”
“หืม…” ด้วยความไม่ระวังของเหยาเยี่ยนอวี่ เท้าของนางอ่อนแรงทำให้เสียการทรงตัว นางจึงตะโกนขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วยความตกใจ “อ๊า…!”
“คุณหนูเหยา!” เฟิงเซ่าเชินนั้นมือไวเป็นอย่างมาก คว้าจับแขนของเหยาเยี่ยนอวี่เข้ามาทำให้นางตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา เหยาเยี่ยนอวี่พลันจับเสื้อบริเวณเอวของเฟิงเซ่าเชิน ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ซ้ำยังทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนตัวเฟิงเซ่าเชิน
“คุณหนู!” ตอนที่ชุ่ยเวยได้สติพลันยื่นมือไปด้านหน้า เพียงเพื่อพบว่าตนเองสายไปครึ่งก้าวเสียแล้ว