“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” เฝิงหมัวมัวรีบเข้ามาจับแขนของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ แล้วดึงร่างคุณหนูของนางออกจากอ้อมกอดของคุณชายเฟิง ภายใต้แสงจันทร์กลางป่าเขาเช่นนี้ หนุ่มสาวไร้คู่ครอง โอบกอดกันเยี่ยงนี้…จะเป็นเรื่องที่เหมาะสมได้อย่างไร
เฟิงเซ่าเชินกลับไม่ยอมปล่อยมือ เขาเพียงแต่โอบกอดเหยาเยี่ยนอวี่ไว้พร้อมยังเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “คุณหนูเหยา ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”
สติของเหยาเยี่ยนอวี่กลับมาแล้ว นางพยายามพยุงตัวเองออกจากอ้อมกอดของเฟิงเซ่าเชิน แล้วหมุนตัวไปพิงอยู่บนร่างของเฝิงหมัวมัว พร้อมตบหน้าอกของตนเบาๆ ด้วยความตื่นตกใจ “คุณชายเฟิง จู่ๆ ท่านก็เรียกข้า ทำให้ข้าตกใจแทบตาย”
“ข้าขอโทษ ข้าแค่อยากคุยบางอย่างกับท่าน” เฟิงเซ่าเชินรีบค้อมตัวแสดงท่าทีขอโทษ ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่เพียงน้อย แค่คลี่ยิ้มพลางมองดวงตาของเหยาเยี่ยนอวี่ “คุณหนูเหยา ท่านกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ถึงได้เหม่อลอยเยี่ยงนี้”
“คุณชายเฟิงมีเรื่องอะไรก็ว่ามาเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่แสยะยิ้ม เมื่อครู่นางไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แค่รู้สึกเหนื่อยจนง่วงนอนก็เท่านั้น
“ข้าอยากถามว่าท่านจะพักอยู่ในวัดฉือซินอีกนานแค่ไหน”
“นี่…ข้ายังไม่แน่ใจนัก” เหยาเยี่ยนอวี่จงใจครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพึมพำเสียงเรียบ จากนั้นก็เอนกายพิงเฝิงหมัวมัวแล้วเดินลงไปต่อ
เฟิงเซ่าเชินพยักหน้า และไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติมอีก เขาคิดว่าเหยาเยี่ยนอวี่ต้องทำอะไรผิดหรือพูดอะไรผิดไปในจวนติ้งโหวแน่ๆ ถึงได้ถูกพี่สาวของนางส่งมาอยู่ที่วัดฉือซิน เลยคิดว่าหลังจากที่เขากลับไป ก็จะส่งคนไปสืบหาเรื่องนี้ พอทำความเข้าใจทุกอย่างแล้ว จะได้ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยออกหน้าแทนนาง ให้นางได้กลับเมืองหลวงโดยเร็ว
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่รู้ว่าเฟิงเซ่าเชินกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ พอเห็นเขาเงียบไป เลยเกียจคร้านที่จะพูดอะไรออกมา
พวกเขาค่อยๆ เดินลงบันไดร้อยกว่าขั้น ในที่สุดก็เห็นรถม้าเสียที เหยาเยี่ยนอวี่ดีใจราวกับเห็นญาติมิตร จึงรีบขึ้นรถม้า แล้วเลิกม่านรถม้าพลางอำลาเฟิงเซ่าเชิน “คุณชายกลับไปเถอะเจ้าค่ะ ลาก่อน” และอย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย
“คุณหนูเหยาดูแลตนเองดีๆ ด้วย” เฟิงเซ่าเชินหันไปโบกมือให้เหยาเยี่ยนอวี่ แล้วมองผู้คุ้มกันที่กำลังขับเคลื่อนรถม้าออกไป หลังจากที่รถม้าหายลับไปในป่าแห่งนี้ เขาจึงค่อยๆ หันหลังกลับและเดินย้อนกลับไป
“คุณชายเจ้าคะ” สาวใช้หน้าตาสะสวยคนหนึ่งออกมาจากไหล่เขาอย่างร้อนใจ และวิ่งมาอยู่ตรงหน้าเฟิงเซ่าเชิน พลางย่อตัวคำนับเล็กน้อย
เฟิงเซ่าเชินยิ้มจับมือของสาวใช้คนนั้นไว้ แล้วถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ชิงโย่ว ไฉนเจ้าถึงมาที่นี่ได้”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นคุณชายออกมานานแล้วยังไม่กลับไป เลยรู้สึกเป็นห่วง จึงสั่งให้บ่าวมาดูเจ้าค่ะ” ชิงโย่วดึงมือกลับไป ทว่าเฟิงเซ่าเชินกลับกุมมือของนางไว้แน่น เพราะเหตุนี้ดวงหน้าของนางจึงแดงระเรื่อขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่ว “คุณหนูเหยากลับไปแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม ไปแล้ว” เฟิงเซ่าเชินหันข้างมองดวงหน้าอันอ่อนเยาว์ที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ของชิงโย่ว จู่ๆ ก็นึกถึงดวงหน้ากลมเล็กของเหยาเยี่ยนอวี่ จึงเผยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนมากขึ้น
“ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานคุณหนูเหยายิ่งนัก” ชิงโย่วคลี่ยิ้มพลางพูดด้วยเสียงเบา
“อืม ข้าเองก็เห็น” เฟิงเซ่าเชินพยักหน้า
“แต่น่าเสียดาย” ชิงโย่วถอนหายใจเบาๆ
“เสียดายอะไร” เฟิงเซ่าเชินปล่อยมือชิงโย่ว และสาวเท้าเดินไปยังบันไดหินที่มีแสงจันทราคอยส่องทาง
ชิงโย่วเม้มปากพลางยิ้มอ่อน “เสียดายที่คุณหนูเหยาเป็นบุตรีอนุภรรยา มิเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะส่งแม่สื่อไปเจรจาสู่ขอแล้วเจ้าค่ะ”
เฟิงเซ่าเชินที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดฝีเท้าลง พร้อมหันกลับมาก้มหน้าลงมองชิงโย่วที่อยู่ต่ำกว่าด้วยท่าทางเป็นผู้ใหญ่ พลันยื่นมือดีดหน้าผากของชิงโย่ว “ไปเถอะ! ถ้ายังไม่กลับไปอีก แม้แต่เสด็จแม่ก็คงต้องส่งคนมาตามข้าแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่กลับถึงวัดฉือซิน สิ่งแรกที่นางทำก็คือสั่งให้คนยกน้ำอุ่นมาให้นางอาบน้ำ
ชุ่ยเวยเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน เหยาเยี่ยนอวี่เลยให้นางไปพักผ่อนก่อน แล้วให้ชุ่ยผิงมาชำระล้างเรือนร่างให้ตน ส่วนเฝิงหมัวมัวก็สระผมอันยาวสลวยให้นาง ในน้ำโรยด้วยดอกมะลิตากแห้ง ไอร้อนที่ลอยขึ้นมาจากน้ำร้อน อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม กลิ่นหอมนั้นลอยวนเวียนตรงปลายจมูกของนาง ทำให้นางที่แช่น้ำอยู่ งีบหลับในอ่างอาบน้ำสักครู่หนึ่ง
เฝิงหมัวมัวสระผมยาวสลวยของเหยาเยี่ยนอวี่ให้สะอาด จากนั้นเอาผ้ามาเช็ดให้แห้ง แล้วก็มวยผมหลวมๆ ให้นางไว้ ตอนที่ใช้ปิ่นปักลงไปบนผมที่มวยเสร็จ ศีรษะของเหยาเยี่ยนอวี่จึงได้เอียงไปด้านข้าง ทำให้เฝิงหมัวมัวสะดุ้งตกใจทันที “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู? เหตุใดถึงได้หลับไปเช่นนี้!”
ชุ่ยผิงถอนหายใจเสียงเบา “วันนี้คุณหนูคงจะเหนื่อยมากจริงๆ”
เฝิงหมัวมัวจึงเรียกนางอีกสองครั้ง ก็รู้ว่าตนคงทำอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงปล่อยให้เหยาเยี่ยนอวี่หลับคาอ่างอาบน้ำ พร้อมกับพึมพำขึ้น
“ข้าจะไปเรียกคนมาช่วยประคองคุณหนูขึ้นเตียงนอน” สิ้นเสียงชุ่ยผิง ก็ออกไปตามคนอื่น เฝิงหมัวมัวรีบไปปูผ้าบนเตียงนอนให้เรียบร้อย จากนั้นก็เตรียมเช็ดตัวให้เหยาเยี่ยนอวี่
ชุ่ยผิงและสาวใช้อีกสามคนช่วยกันอุ้มเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นจากอ่างอาบน้ำไปบนเตียง จากนั้นก็เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวในให้นาง แล้วขยับหมอนพลางห่มผ้าให้นาง
“สวรรค์ พระโพธิสัตว์กวนอิม! อมิตาพุทธ! วันนี้คุณหนูคงเหนื่อยจริงๆ” เฝิงหมัวมัวมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่ยังคงหลับสนิท จึงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้พลางพูด “ตั้งแต่เล็กจนโตมาถึงอายุสิบหกปี คุณหนูยังไม่เคยหลับสนิทเยี่ยงนี้มาก่อน”
การนอนหลับครั้งนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่นั้นสนิทยิ่งนัก นางหลับตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจากท้องฟ้าจนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วตกอีกรอบ นางลืมตามองมุ้งสีเขียวเพียงแวบหนึ่ง แล้วหลับตานอนต่อ
นางเพิ่งจะรู้สึกปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว และรู้สึกแน่นท้องน้อย และไม่อาจนอนหลับได้อีก ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นพลางสวมเสื้อคลุม แล้วก็หากระโถน เพื่อถ่ายเบา จากนั้นค่อยกลับเข้าไปในมุ้งแล้วหลับต่อ อืม วันนี้ข้าจะหลับทั้งวัน ไม่ว่าใครจะให้เงินกี่ตำลึงก็อย่าคิดมาปลุกข้าให้ตื่น
ตอนเที่ยงชุ่ยเวยเข้ามา แอบเลิกม่านขึ้นก็เห็นนางนอนเบิกตากว้างเหมือนกำลังเหม่อลอยอยู่บนเตียง จึงยิ้มพลางถามขึ้น “คุณหนู เหตุใดท่านตื่นแล้วไม่เรียกใครเยี่ยงนี้ล่ะเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ พูดขึ้นด้วยสีหน้าขมขื่น “ข้าไม่มีแรงตะโกนเรียกผู้อื่น”
“ตอนเช้าบ่าวเข้ามาก็เห็นว่าคุณหนูหลับอยู่ เลยสั่งให้พวกนางห้ามเข้ามารบกวน เป็นบ่าวที่ละเลยคุณหนูเองเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็เพิ่งตื่นเช่นกัน” เหยาเยี่ยนอวี่ถูกชุ่ยเวยพยุงให้ลุกขึ้น ชุ่ยเวยเห็นนางหมดเรี่ยวหมดแรง จึงรีบเอาหมอนใบหนึ่งมาหนุนหลังนางไว้
“คุณหนูหิวหรือไม่ ดื่มน้ำก่อนเจ้าค่ะ นี่ก็ได้เวลากินอาหารแล้ว” ชุ่ยเวยยื่นน้ำอุ่นให้เหยาเยี่ยนอวี่ดื่ม ชุ่ยผิงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงรีบเข้ามาช่วย
เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ ยังไม่ทันได้หวีผม ก็มีคนเข้ามารายงาน “คุณหนูเจ้าคะ จวนอัครเสนาบดีส่งคนมา บอกว่ามาส่งของกำนัลให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มเจื่อน พร้อมถอนหายใจพลางกล่าวขึ้น “พวกเขาช่างว่องไวเหลือเกิน”
“คุณหนูเจ้าคะ” ชุ่ยผิงที่กำลังหวีผมให้เหยาเยี่ยนอวี่พลันบอกเตือน “พวกเราไม่ควรดูแลคนของจวนอัครเสนาบดีไม่ทั่วถึง คุณหนูยังจัดเกล้าผมมวยไม่เสร็จ ให้พวกนางคอยกันไปก่อนดีหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ผายมือพลางพูดขึ้น “ไม่เป็นเช่นไร ข้าก็แค่นอนตื่นสาย เชิญพวกนางเข้ามาเถอะ”
ผู้ที่มาเยือนคือหมัวมัวสองคนที่อายุราวๆ สี่สิบกว่าปี พวงนางมีรูปร่างท้วม และดูภูมิฐานเสมอกัน หน้าตาท่าทางดูสุภาพเรียบร้อย อีกทั้งยังสวมใส่ชุดผ้าต่วน ดูเป็นเสื้อผ้าชั้นดี ผมของพวกนางมวยขึ้นอย่างเรียบร้อย ไม่มีลูกผมร่วงหล่นลงมา ทั้งศีรษะประดับด้วยไข่มุกและหยก ทั้งสองย่อตัวน้อมคำนับพร้อมกัน จากนั้นก็กล่าวว่า “บ่าวขอคารวะคุณหนูรอง ขอให้คุณหนูรองมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ทันเกล้าผมยาวดำสลวยของนางให้เป็นมวย ทำได้เพียงถักเปียหลวมๆ ธรรมดาพาดลงจากไหล่ไปตรงหน้าอก นิ้วมือของนางกำลังลูบจับเชือกถักเปีย พร้อมยิ้มจางๆ “หมัวมัวทั้งสองไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองนัก เชิญนั่งเถอะ”
พวกนางทั้งสองกล่าวขอบคุณเสร็จก็ยังไม่เร่งรุดที่จะนั่ง ทว่าหันข้างไปโบกมือให้กับคนด้านหลัง หมัวมัวอีกสี่คนต่างก็ยกหีบไม้แล้วเดินเข้ามา พร้อมกับยืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานอย่างเป็นระเบียบ หมัวมัวคนแรกยิ้มบางๆ พลางพูดขึ้น “นี่เป็นของที่จวิ้นจู่ทรงรับสั่งให้พวกบ่าวส่งมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ หวังว่าคุณหนูจะชื่นชอบเจ้าค่ะ”