ตอนที่ 36 ต่างจิตต่างใจ

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานหลิงซีจวิ้นจู่กล่าวว่าจะส่งของกำนัลจำพวกเครื่องประดับมาให้กับตน ด้วยเหตุนี้นางจึงยกยิ้มพลางลุกขึ้น จากนั้นย่อตัวลงขอบคุณไปยังทิศที่ตั้งของเมืองหลวง “หม่อมฉันขอบพระทัยสำหรับของกำนัลที่จวิ้นจู่มอบให้เพคะ”

เฝิงหมัวมัวผายมือขึ้น ชุ่ยเวย ชุ่ยผิงและผัวจื่อสองคนเดินเข้าไปรับหีบกล่องเครื่องประดับทั้งสี่กล่องไว้

เหยาเยี่ยนอวี่เชิญหมัวมัวทั้งสองคนให้นั่งลงอีกครั้ง จากนั้นก็สั่งให้สาวใช้ยกน้ำชามาให้ หมัวมัวทั้งสองนั่งลงพลางจิบชาไม่กี่คำ เหตุเพราะจวิ้นจู่ยังคอยพวกนางกลับไปรายงาน จึงไม่กล้าชักช้า พวกนางเลยกล่าวอำลาทันที

หลิวซีจวิ้นจู่ช่างใจกว้างยิ่งนัก แม้นเครื่องประดับในหีบทั้งสี่นั้นมีจำนวนไม่มากนัก ทว่าเครื่องประดับทุกชิ้นล้วนเป็นของล้ำค่า หนึ่งในเครื่องประดับเป็นสร้อยทองหนึ่งเส้นที่มีจี้ไข่มุกขนาดใหญ่เท่าดวงตามังกร สีของไข่มุกวาววับยิ่งนัก ช่างเป็นไข่มุกที่หายากมากจริงๆ

เหยาเยี่ยนอวี่หยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมามองอย่างคิดพิจารณา จากนั้นคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยถามเฝิงหมัวมัว “หมัวมัว ท่านว่าของเหล่านี้มีมูลค่ามากเท่าใด?”

“สร้อยคอทองคำคงไม่ต้องเอ่ยถึง ทว่าไข่มุกเม็ดนี้เกรงว่าจะมีมูลค่าอย่างน้อย…” เฝิงหมัวมัวพูดพลางชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว

“สามร้อยตำลึงเงิน?”

“โธ่ คุณหนูผู้แสนดีของบ่าว! เงินเพียงสามร้อยตำลึงเงินจะซื้อไข่มุกเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ” เฝิงหมัวมัวอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็พูดตัวเลขด้วยเสียงเบา “เกรงว่าสามพันตำลึงเงินก็ไม่อาจซื้อมาได้ สร้อยเส้นนี้น่าจะเป็นของพระราชทานจากวังหลวง ไข่มุกเช่นนี้ ปุถุชนคนทั่วไปจะมีใครกล้าสวมใส่เล่า คุณหนูเก็บเอาไว้ให้ดีเถอะเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินเช่นนี้ก็อดเศร้าใจไม่ได้ “เช่นนั้น สร้อยเส้นนี้ก็ขายไม่ได้แล้วสิ?”

“ขาย?” เฝิงหมัวมัวยิ้มอย่างประหลาดใจ “สร้อยเส้นนี้เป็นของหายากยิ่งนัก เหตุใดคุณหนูไม่เก็บเอาไว้เจ้าคะ อีกอย่างคุณหนูเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง จนถึงขั้นต้องขายเครื่องประดับ หากนายท่านและฮูหยินทราบเรื่องเข้า ต้องไม่พอใจแน่นอน คุณหนูอย่าคิดทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ”

“แต่ว่า ท่านเป็นคนกล่าวว่าบ้านในไร่นาตามแถบชานเมืองหลวงล้วนมีราคาสูงลิ่ว เงินแค่สามถึงห้าพันตำลึงเงินซื้อไม่ได้สักหลังมิใช่หรืออย่างไร”

ในที่สุดชุ่ยเวยก็เข้าใจ “คุณหนูอยากจะขายเครื่องประดับเหล่านี้เพื่อไปซื้อที่นาหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่มองเฝิงหมัวมัวและชุ่ยเวย พลางย้อนถาม “มิเช่นนั้น พวกเจ้าอยากจะกลับจวนติ้งโหวอย่างนั้นหรือ”

ชุ่ยเวยรีบส่ายหน้าทันที “บ่าวไม่อยากกลับจวนติ้งโหวแม้แต่น้อย แม้ว่าคุณหนูใหญ่จะดีกับคุณหนูเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรือนของตนเอง ไม่ว่าจะทำการใดก็ต้องคอยระมัดระวัง มิอาจทำตัวตามสบายได้เท่าตอนอยู่ในวัดฉือซินเจ้าค่ะ”

“ชุ่ยเวย!” เฝิงหมัวมัวปรามนางเสียงเบา แล้วหันหลังรีบเดินออกไปเปิดประตูห้องพลางมองออกไปด้านนอก จากนั้นก็ปิดประตูห้องพร้อมเดินกลับมา “คำพูดเช่นนี้กล่าวเรื่อยเปื่อยได้ด้วยหรือ?!”

ชุ่ยเวยแลบลิ้น ไม่กล้ากล่าวมากความอีก เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มเล็กน้อย “หมัวมัว เหตุใดท่านต้องดุว่านางด้วย นางกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ตัวข้าเองนั้นยังไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกเลย”

“คุณหนูใหญ่บอกแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่านางจะเก็บกวาดเรือนของตระกูลที่อยู่ในเมืองหลวงให้เรียบร้อย จากนั้นให้คุณหนูรองย้ายเข้าไป?”

“คำพูดเช่นนี้ท่านก็เชื่อ?” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มเล็กน้อย “นางยังกล่าวอีกว่าเรือนหลังนั้นถูกบ่าวรับใช้ลอบปล่อยเช่า ต้องยึดกลับมาก่อนแล้วค่อยซ่อมบำรุง หลังจากที่ตกแต่งเรือนเสร็จ ค่อยให้ข้าย้ายเข้าไป เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้ามิต้องรอจนถึงปีหน้าหรอกหรือ”

“ทว่า แม้คุณหนูจะซื้อที่นาไว้แล้ว ใช่ว่าคุณหนูใหญ่จะยินยอมให้คุณหนูย้ายเข้าไปอยู่ได้นี่เจ้าคะ” เฝิงหมัวมัวขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “ข้ามีวิธีที่ทำให้ไม่ต้องกลับไป แต่ก่อนอื่นข้าต้องมีที่อยู่ของตนเสียก่อน”

“อีกไม่นานอากาศก็คงจะหนาวแล้ว บ้านในที่สวนที่นานั้นเรียบง่าย อีกทั้งยังไม่มีพื้นอุ่น คุณหนูเข้าพักอาศัยจะต้องลำบากสักเพียงใดกันเจ้าคะ” เฝิงหมัวมัวพูดอย่างไม่วางใจ

“เพราะแบบนั้นถึงต้องรีบซื้อ รีบเก็บกวาดเรือนให้เสร็จก่อนเข้าสู่เหมันต์ฤดู แม้นไม่มีพื้นอุ่นก็ไม่เป็นไร ค่อยคิดหาวิธีอื่น!”

เฝิงหมัวมัวถอนหายใจเบาๆ พลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อคุณหนูตัดสินใจดีแล้ว เช่นนั้นบ่าวก็จะไปคิดหาวิธีเจ้าค่ะ”

ในเมื่อนายหญิงคิดอยากจะซื้อที่นา เฝิงหมัวมัวที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ก็มิอาจพูดสิ่งใดได้ นางจึงรีบสั่งให้คนไปเสาะหา

สามีของเฝิงหมัวมัวนามว่าเฝิงโหย่วฉุนคือคนที่พึ่งพาได้ ภายในสามเดือนที่เขามาที่เมืองหลวง เฝิงโหย่วฉุนกลับจัดการขยายการค้าของร้านค้าทั้งสี่แห่งให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ได้ อีกทั้งยังอาศัยโอกาสนี้ทำความรู้จักกับผู้คนหลายระดับชั้นจำนวนไม่น้อย

ก่อนหน้านี้ เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวว่าอยากซื้อที่นา ทว่าเฝิงหมัวมัวกลับไม่ได้คิดจริงจัง ด้วยเหตุนี้เฝิงโหย่วฉุนจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่ไถ่ถามผู้อื่นอย่างผิวเผินเท่านั้น เขารู้แค่ว่าที่นาส่วนมากที่อยู่รอบเมืองหลวงนั้นล้วนเป็นที่ดินของเหล่าราชนิกุล เฉกเช่นท่านอ๋องที่เก็บไว้เพื่อสร้างสวนพฤกษาและจวนตากอากาศ ทางฝั่งฮ่องเต้เองก็ทรงสร้างให้เป็นตำหนักพักร้อน ด้วยเหตุนี้ที่นานอกเมืองจึงมีราคาสูงลิ่ว

    ดังนั้นเฝิงโหย่วฉุนจึงบอกภรรยาของตนว่า ทางที่ดีที่สุดอย่าซื้อที่นาบริเวณนอกเมืองเลย หากมีเงินสู้ซื้อเรือนอาศัยในเมืองหลวงยังจะดีกว่า ทั้งยังสะดวกสบายกว่าบ้านนามิใช่หรือ ทว่าวันนี้คุณหนูบอกแล้วว่าจะซื้อ เฝิงโหย่วฉุนจึงป่าวประกาศออกไป กล่าวว่าไม่ว่าต้องใช้เงินมากเท่าใด ก็ต้องซื้อบ้านนามาให้ได้

หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่พักผ่อนไปหนึ่งวันเต็ม นางยังคงพาชุ่ยเวยขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร โดยบอกว่านางจะนำไปปรุงเป็นยาที่มีประโยชน์ ด้วยเหตุนี้เฝิงหมัวมัวทำได้เพียงตามใจนาง

หมัวมัวสองคนที่เหยาเฟิ่งเกอส่งมาคอยดูแลรับใช้เหยาเยี่ยนอวี่นั้น ก็ไม่ได้มาอย่างเปล่าประโยชน์ เรื่องที่หลิงซีจวิ้นจู่เจอกับเหยาเยี่ยนอวี่ที่วัดต้าเจวี๋ย อีกทั้งเรื่องที่เฟิงฮูหยินผู้เฒ่าจวนอัครเสนาบดีส่งของมาให้เหยาเยี่ยนอวี่ เรื่องทั้งหมดนี้ เช้าวันถัดมาก็ถึงหูของเหยาเฟิ่งเกอแล้ว

หลังจากไปปรนนิบัติรับใช้ลู่ฮูหยินกินอาหารเที่ยงที่เรือนหลักเสร็จ เหยาเฟิ่งเกอก็สั่งให้สาวใช้ออกไป จากนั้นนางก็กล่าวกับหลี่หมัวมัวว่า “เจ้าว่าเหตุใดอยู่ดีๆ หลิงซีจวิ้นจู่ถึงไปพบปะกับเยี่ยนอวี่ อีกทั้งยังให้ของกำนัลมากมายกับนาง”

หลี่หมัวมัวพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “บ่าวได้ยินมาว่าสาเหตุที่เฟิงฮูหยินผู้เฒ่าไปวัดต้าเจวี๋ย เป็นเพราะสุขภาพของฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่สู้ดีนัก หรือว่า…พวกเขาอยากให้คุณหนูรองไปตรวจอาการป่วยของฮองเฮาเหนียงเหนียงเจ้าคะ”

“เหลวไหล” เหยาเฟิ่งเกอกล่าวเสียงเบา “แม้แต่ตัวข้ายังไม่รู้ว่านางมีความสามารถด้านการแพทย์ คนของจวนอัครเสนาบดีและหลิงซีจวิ้นจู่จะรู้ได้อย่างไร”

“หรือจะเป็นตอนที่คุณหนูรองไปวัดฉือซิน เพราะไม่ทันระวังจึงเผลอพูดออกไป ทำให้พระอาจารย์ที่นั่นทราบเรื่องเข้า?”

“ความเป็นไปได้นี้น้อยมาก น้องรองเป็นคนไม่ค่อยพูด ข้ารู้สึกว่านางระมัดระวังกิริยาท่าทางและคำพูดเป็นอย่างมาก” เหยาเฟิ่งเกอใช้มือด้านหนึ่งจับแหวนไพลินเล่น แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “นางศึกษาวิชาแพทย์ที่เรือน ทว่าคนในตระกูลกลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เจ้าคิดว่านางมีความต้องการสิ่งใดกันเล่า”

“นายหญิงพูดถูกเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวตอบอย่างรวดเร็ว

“อีกอย่าง…” เหยาเฟิ่งเกอพูดเสียงเบา “ข้าควรจุดธูปขอบคุณสวรรค์ ที่นางไม่ได้มีใจให้กับคุณชายสาม และไม่มีใจที่จะแก่งแย่งกับข้า ไม่เช่นนั้นข้าไม่รู้เลยว่าตนจะสิ้นใจอย่างไร”

เหตุเพราะเหยาเยี่ยนอวี่ช่วยรักษาจนเหยาเฟิ่งเกอหายป่วย หลี่หมัวมัวจึงรู้สึกดีกับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างมาก หากไม่มีคุณหนูรอง ชีวิตที่เหลือของนางเกรงว่าคงจะจบสิ้นแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “นายหญิงพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”

เหยาเฟิ่งเกอหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ผู้ที่มีทักษะด้านการแพทย์อย่างลึกซึ้ง หากคิดอยากทำร้ายใคร เกรงว่าแม้แต่เทพเซียนก็คงไม่อาจสืบรู้ได้กระมัง”

หลี่หมัวมัวนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นยกยิ้มอย่างเสียไม่ได้ “นายหญิงเจ้าคะ แต่คุณหนูรองไม่เคยคิดจะทำร้ายใครนะเจ้าคะ”

“ดังนั้น!” เหยาเฟิ่งเกอถอนหายใจ “ดังนั้นข้าจึงบอกว่าข้าควรที่จะจุดธูปขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณพระพุทธองค์ ขอบคุณพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่น้องสาวบุตรีอนุภรรยาของข้าไม่มีใจคิดจะทำร้ายข้า!

หลี่หมัวมัวกลัวเหลือเกิน หากนายของตนมีใจคิดจะทำอะไรคุณหนูรองนั้นตนจะทำเช่นไร จึงรีบพูดขึ้น “นายหญิงเจ้าคะ แม้ว่าคุณหนูรองจะมีความรู้ด้านการแพทย์ แต่นางก็ต้องพึ่งพิงท่านจึงจะมีชีวิตในเมืองหลวงได้ นางไม่ใช่สตรีโง่เขลา แล้วนางจะทำร้ายท่านได้อย่างไรเจ้าคะ แม้ว่าหลิงซีจวิ้นจู่และจวนอัครเสนาบดีจะมองนางสูงขึ้นขั้นหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าจวนติ้งโหวและจวนข้าหลวงใหญ่ หากพูดตามตรง ก็คือเห็นแก่หน้าของนายหญิงนั่นเองเจ้าค่ะ”