เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้าเล็กน้อย “อืม สิ่งที่เจ้าพูดนั้นถูกต้องยิ่งนัก”
“เช่นนั้น เรือนหลังเก่าของตระกูลยังต้องเก็บกวาดอีกหรือไม่เจ้าคะ หลังจากที่คุณหนูรองกลับมาจากวัดฉือซิน มิสู้ให้นางย้ายไปที่เรือนหลังนั้นไม่ดีกว่าหรือ จะได้ไม่ต้องย้ายไปย้ายมาให้เหน็ดเหนื่อยเจ้าค่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอย่นหัวคิ้วกดลึก “เจ้าแก่เฒ่าจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว! นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง จะให้นางไปอาศัยตามลำพังได้อย่างไร หากผู้อื่นเล่าลือเรื่องนี้ขึ้นมา เกรงว่าทุกคนคงไม่หาว่านางมีนิสัยสันโดษ ทว่ากลับตำหนิข้าที่เป็นพี่สาวที่ไม่อาจให้นางร่วมชายคาเดียวกัน! นางยังเล็กจึงมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่เจ้ากลับคอยตามใจนางเช่นนี้ หลังจากที่นางกลับมา ก็ต้องพักอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนเดิม ใช่ว่าข้าจะไม่ยินดีให้นางอยู่ร่วมชายคาเดียวกันสักหน่อย”
“คุณหนูกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ” เดิมทีหลี่หมัวมัวรู้สึกผิดที่ตนไม่อาจทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับเหยาเยี่ยนอวี่ได้ จึงอยากจะถือโอกาสนี้เกลี้ยกล่อมเหยาเฟิ่งเกอ จะได้อนุญาตให้เหยาเยี่ยนอวี่ไปพักอาศัยข้างนอก ทว่าเวลานี้เกรงว่าจะไม่อาจทำได้แล้ว
“เพียงแต่ว่าหากนางอยู่ภายในบริเวณลานเรือนของข้า ก็ไม่สะดวกเท่าใดนัก ประเดี๋ยวข้าจะไปบอกท่านแม่ สั่งให้บ่าวรับใช้เก็บกวาดเรือนชิวอวิ๋นในสวนพฤกษาแล้วให้นางอาศัยที่นั่น”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวจะให้คนไปทำความสะอาดพวกหน้าต่าง ประตูและผนังในเรือนก่อนนะเจ้าคะ?”
“อืม เวลานี้อากาศหนาวเย็นแล้ว เมืองหลวงมีเหมันต์ฤดูที่เหน็บหนาวมากกว่าเขตทางใต้ เจ้าสั่งให้คนนำกระดาษผ้าฝ้ายไปติดตามบานประตูและหน้าต่างเพิ่มอีกสองชั้นด้วย”
“บ่าวจะจำเอาไว้เจ้าค่ะ งั้นบ่าวขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” หลี่หมัวมัวขานรับพลางค้อมตัวลง แล้วเดินออกไป
ณ สนามฝึกต้าอวิ๋นที่ไกลจากตัวเมืองนับสิบลี้
เว่ยจางในชุดนักรบที่คลุมทับด้วยชุดคลุมสีเทาหม่น ควบม้าสีขาวสง่ามาพร้อมกับคุณชายอีกสองคน ทั้งสามกระโดดลงจากหลังม้า จากนั้นโยนแส้ม้าออกไป โดยมีทหารเดินเข้ามาข้างหน้ารับไว้
“เสี่ยนจวิน เจ้าจงใจออมมืออีกแล้ว” บุรุษที่อยู่ในชุดนักรบเหมือนกัน ด้านหลังของเขาคลุมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าต่วนสีไพลินปักลายเมฆ บุรุษผู้นี้คือเฉิงอ๋องซื่อจื่อ อวิ๋นคุน เขาหันกลับมาแย้มยิ้มแล้วมองดูเว่ยจาง
มือข้างหนึ่งของเว่ยจางถือแส้เอาไว้ พลางประสานมือขึ้น “กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังจะบอกว่ามิบังอาจอีก เจ้าเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง” อวิ๋นคุนกล่าว จากนั้นหันไปมองหันซังเกอที่สวมชุดนักรบและเสื้อคลุมผ้าต่วนสีไพลิน “ซู่จือ เจ้าว่าอย่างไร”
หันซังเกอพยักหน้าใส่เว่ยจางด้วยรอยยิ้ม “หากครั้งหน้าเจ้ายังจงใจออมมือให้พวกเรานั้น พวกเราจะแตกคอกับเจ้าแน่นอน”
เว่ยจางคลี่ยิ้มบางๆ “กระหม่อมไม่ได้ทำเยี่ยงนั้นจริงๆ พะยะค่ะ ฝีมือการขี่ม้าของซื่อจื่อทั้งสองพัฒนาขึ้นมาก เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมานี้เว่ยจางมีเรื่องวุ่นๆ จึงทำให้ไม่ได้จับแส้ม้ามานานนับสิบวัน ฝีมือการขี่ม้าเลยด้อยลง”
อวิ๋นคุนยกยิ้มพลางนำแส้ม้าในมือยื่นให้กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วรับถุงหนังใส่น้ำที่ทหารยื่นมาให้ เขาเงยหน้าขึ้นดื่มไปสองอึก แล้วเอ่ยถามขึ้น “ก็ว่า เมื่อหลายวันก่อนไม่เจอตัวเจ้าเลย เจ้ามัวแต่ยุ่งอะไร”
หลังจากที่หันซังเกอดื่มน้ำเสร็จ เขายิ้มแล้วพูดขึ้น “เขามัวแต่ยุ่งเรื่องในตระกูล ว่าไปคงน่ารำคาญนัก” ขณะที่พูด ก็หันไปเอ่ยถามเว่ยจาง “ท่านอาสารเลวของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
“เขาวิ่งวุ่นไปทั่วสารทิศ เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรม” เว่ยจางคลี่ยิ้มแล้วยกมือขึ้น เพื่อบอกกับทหารที่ยื่นน้ำมาว่าไม่เอา
ดวงหน้าของอวิ๋นคุนนิ่งขรึมในทันที “สิ่งที่เจ้าทำยืดเยื้อไม่เด็ดขาด ข้าคิดว่าควรไปบอกจิงจ้าวอิ่นให้ส่งตัวเจ้าสารเลวนี่เข้าคุกหลวง จากนั้นทวงคืนทรัพย์สมบัติของเจ้ากลับมาให้หมดก็สิ้นเรื่อง แต่เจ้ากลับทำให้ตนเองต้องเปลืองแรง”
“สิ่งที่ท่านซื่อจื่อกล่าวมานั้นไม่ผิดเลย ตอนที่สู้รบอยู่ในสงครามก็ไม่มีผู้ใดโหดเหี้ยมเท่ากับเจ้า เหตุใดตอนที่จัดการเรื่องในตระกูลจึงยืดเยื้อเช่นนี้” หันซังเกอยิ้มพลางเกลี้ยกล่อม “หลายปีมานี้เจ้าทำสงครามจนได้รับชัยชนะมานับไม่ถ้วน จึงไม่ได้ขาดแคลนสิ่งของเล็กน้อยเหล่านั้น เจ้ารีบจัดการทวงจวนกลับคืนมาให้เสร็จ พวกเราจะได้ไปร่วมยินดีกับเจ้าตอนย้ายกลับไป หืม?”
เว่ยจางยกยิ้มอย่างจนปัญญา “เรื่องนี้ใช้เวลาเพียงไม่นาน อีกสิบกว่าวันก็คงเสร็จ ถึงเวลานั้น ขอเชิญซื่อจื่อทั้งสองท่านเป็นเกียรติมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
อวิ๋นคุนยิ้มในทันที “นั่นมันแน่นอน! หากเจ้าขาดเหลือสิ่งใดก็บอกมาได้เลย เดี๋ยวข้ากลับไปจะสั่งบ่าวรับใช้ส่งมาให้เจ้า พวกเราเป็นมิตรสหายกัน ก็อย่าได้เกรงใจกันเลย”
เว่ยจางยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กระหม่อมต้องขอบพระทัยท่านซื่อจื่อเป็นอย่างสูง”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ เจ้ายังจะกล่าวมากความอีก” อวิ๋นคุนยกมือรับแส้ม้า นั้นชี้ไปยังลานที่ยกสูง “ไป พวกเราไปประลองกันสักสองกระบวนท่า”
เว่ยจางเงยหน้ามองลานกว้าง แล้วยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ”
ภายในเรือนแห่งหนึ่งที่อยู่ในตรอกซอย ณ เมืองหลวง
ชายชราเคราแพะคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าหยาบ และเหยียบส้นรองเท้าผ้าพลางนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย เขาคาบท่อยาสูบเอาไว้ในปาก ปรายตามองเฝิงโหย่วฉุนที่สวมผ้าต่วนสีเทาหม่นตัวยาว ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงเอ่ยถาม “เจ้าอยากจะซื้อที่นาตระกูลเว่ยผืนที่อยู่ทางใต้ของเมืองอย่างนั้นหรือ”
เฝิงโหย่วฉุนยิ้ม ประสานมือทั้งสองแสดงความเคารพอีกฝ่าย “ท่านเว่ยเอ๋อร์กล่าวถูกต้องแล้วขอรับ”
ก่อนที่จะมาที่นี่ เฝิงโหย่วฉุนสืบเรื่องของชายชราผู้นี้อย่างละเอียดแล้วหนึ่งรอบ ชายชราผู้นี้สกุลเว่ย เป็นบุตรชายคนรองนามว่า ‘เว่ยเอ้อร์โต้ว’ นี่ไม่ใช่นามแท้ของเขา แต่เป็นฉายาที่ทุกคนขนานนามให้เขา ชายชราผู้นี้เจ้าเล่ห์ ชอบเอาเปรียบผู้อื่น ทั้งยังเป็นคนหน้าด้านหน้าทนและไร้ยางอาย เคยฟ้องร้องญาติตระกูลตนถึงศาลาว่าการเพียงเพราะข้าวสารสองถัง ท้ายที่สุดเขาก็บีบบังคับให้คนๆ นั้นต้องออกไปจากเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเรียกเขาว่า เว่ยเอ้อร์โต้ว
ผู้ที่เป็นคนรับรองยืนอยู่ถัดจากเขานั้นคือหลานชายของเว่ยเอ้อร์โต้ว นามว่าเว่ยซุ่น เขาพลันพูดแทรกขึ้นมา “ท่านลุงรอง ลุงเฝิงผู้นี้มาจากทางใต้ เขาเป็นผู้ที่ให้ราคาดีที่สุดแล้วขอรับ”
เว่ยเอ้อร์โต้วหัวเราะในลำคอ “นี่ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเงินทองอย่างเดียว!”
“ข้ารู้ ข้ารู้” เว่ยซุ่นพูดขึ้น จากนั้นกระซิบเสียงเบาข้างหูเว่ยเอ้อร์โต้ว “ลุงเฝิงผู้นี้เป็นพ่อบ้านของขุนนางขั้นที่สองในราชสำนัก ได้ยินมาว่าผูกดองเป็นเครือญาติกับจวนติ้งโหว”
“หืม?” แววตาของเว่ยเอ้อโต้วเป็นประกาย เคราแพะของเขากระตุกเล็กน้อย “ไม่แปลกเลยจริงๆ ผู้ที่สามารถซื้อเรือนซื้อที่ดินในเมืองอวิ๋นของพวกเรานั้น ล้วนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป”
“ใช่แล้วขอรับ ใช่แล้วขอรับ คนทั่วไปนั้นไม่อาจมีปัญญามาซื้อได้” เว่ยซุ่นยิ้มแล้วหันไปพูดกับเฝิงโหย่วฉุน “บ้านนาหลังนี้ของท่านลุงรองของข้า เป็นบ้านนาที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ด้านหลังรายล้อมด้วยภูเขาและแม่น้ำ มีห้องหนึ่งร้อยหกสิบกว่าห้อง กว้างหนึ่งร้อยยี่สิบห้าไร่ อีกทั้งยังมีไร่ผลไม้กว้างใหญ่ เป็นดินดีที่อุดมสมบูรณ์ ในหุบเขายังมีบ่อน้ำพุร้อนที่สามารถสร้างทางน้ำมาถึงเรือน…”
คำพูดเหล่านี้เฝิงโหย่วฉุนได้ยินมาแปดถึงเก้ารอบ จนเขาสามารถท่องจำได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่รีบร้อน ทำเพียงยิ้มบางๆ ฟังไปด้วยพยักหน้าไปด้วย
อันที่จริงเฝิงโหย่วฉุนไม่อยากจะซื้อบ้านนาหลังนี้ เหตุเพราะเว่ยเอ้อร์โต้วตั้งราคาสูงลิ่ว เขาเคยไปดูบ้านนาหลังนี้ด้วยตนเอง ตำแหน่งที่ตั้งของเรือนถือว่าไม่เลว ทว่าห้องหับต่างๆ ชำรุดทรุดโทรมมาก ที่นาก็แห้งแล้งไปกว่าครึ่ง ผู้ที่เช่าที่นาเพื่อทำนาก็หายไปเกือบหมด
หากซื้อที่นี่จริงๆ ยังต้องใช้เงินอีกจำนวนหนึ่งในการซ่อมบำรุง ทว่าคุณหนูรีบเร่ง เรือนที่อยู่แถบชานเมืองนั้นมีผู้ที่ต้องการมากมาย เขาจึงไม่อาจทำสิ่งใดได้ แม้นราคาแพงไปเล็กน้อยก็ต้องสมยอม
“ไอ้หยา ข้าไม่อาจทนขายบ้านนาหลังนั้นจริงๆ!” เว่ยเอ้อร์โต้วกล่าวอย่างเศร้าโศก พร้อมทั้งถอนหายใจ
เฝิงโหย่วฉุนหัวเราะในลำคอ ทว่าสีหน้ากลับยังคงเคร่งขรึม “นักปราชญ์ไม่แย่งชิงของที่คนรัก หากท่านเว่ยเอ้อร์เสียดาย เช่นนั้นข้าก็ขอตัวลา”
“เดี๋ยว! เดี๋ยว!” เว่ยซุ่นรีบพูดขึ้น “ลุงเฝิง ลุงเฝิง! อย่าเพิ่งใจร้อนสิ! พวกเราสามารถเจรจากันได้!”
เฝิงโหย่วฉุนยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ข้าจริงใจอย่างมาก จึงได้มาเยือนถึงเรือนของท่านเว่ยเอ้อร์ แต่ท่านเว่ยเอ้อร์กลับพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากขาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปดูบ้านนาของตระกูลหลิว”
“ไอ้หยา บ้านนาของตระกูลหลิวอยู่ทางทิศเหนือของเมือง! ที่นั่นเป็นที่เช่นไร” เว่ยซุ่นตบมือเฝิงโหย่วฉุนแล้วเกลี้ยกล่อม “ผู้คนกล่าวว่า อาศัยอยู่ทางตะวันออกของภูเขาคงไม่ไปอาศัยอยู่ทางตะวันตก ใช่หรือไม่ บ้านนาของพวกเขาอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาพอดี จึงไม่สามารถเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในทุกวัน ฮวงจุ้ยเช่นนี้ไม่ดี!”