“ข้าชื่นชอบบ้านนาของท่านเว่ยเอ้อร์ ทว่าน่าเสียดายที่ท่านเว่ยเอ้อร์ไม่อยากขาย เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็มิอาจบีบบังคับเพื่อทำการซื้อขายได้”
“เปล่า ไม่ใช่เช่นนั้น! บีบบังคับซื้อขายอะไรกัน! ท่านลุงรองของข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!” เว่ยซุ่นรีบหันหน้ากลับไปถามเว่ยเอ้อร์โต้ว “ใช่ไหมขอรับ ท่านลุง”
เว่ยเอ้อร์โต้วพลันหัวเราะขึ้นมา “เป็นเช่นนั้น! ที่นานี้ย่อมขายเป็นแน่ เพียงแต่เรื่องราคานั้น”
เฝิงโหย่วฉุนด่าทอเว่ยเอ้อร์โต้วในใจ เว่ยเอ้อร์โต้วช่างละโมบโลภมากไร้ยางอายเสียจริง ทั้งที่รับปากกับข้าแล้ว เรื่องราคานั้นก็ตกลงกันไว้อย่างดิบดี อีกทั้งคุณหนูก็บอกแล้วว่าไม่สามารถให้เพิ่มราคาได้อีก
ทว่าท้ายที่สุดหลังจากพูดคุยกันไปมา เฝิงโหย่วฉุนก็ต้องเพิ่มเงินอีกยี่สิบตำลึงเงินจากราคาเดิมกว่าจะจบเรื่องนี้ได้ ตอนที่ลงลายมือชื่อและประทับลายนิ้วมือนั้น เฝิงโหย่วฉุนยังอดไม่ได้ที่จะด่าทอในใจ เว่ยเอ้อร์โต้วผู้นี้ต่อรองได้ยากจริงๆ
หลังจากที่ลงลายมือชื่อและประทับลายนิ้วมือแล้วนั้น เฝิงโหย่วฉุนจึงหยิบโฉนดที่ดินของบ้านนา จากนั้นพาตัวเว่ยเอ้อร์โต้วไปยังที่ว่าการกระทรวงการคลังเพื่อทำเรื่อง เว่ยเอ้อร์โต้วจ่ายเงินให้กับเจ้าพนักงานกระทรวงการคลังห้าตำลึงเงิน ทางด้านเฝิงโหย่วฉุนก็ก่นด่าภายในใจทั้งแปดชั่วโคตรของเว่ยเอ้อร์โต้วไปยกหนึ่ง
ค่ำคืนนั้น เฝิงโหย่วฉุนขี่ม้าเร็วนำโฉนดที่ดินที่มีตราประทับจากกระทรวงการคลังไปให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ที่วัดฉือซิน
ในเวลาเดียวกัน เว่ยจางที่พักอาศัยในจวนตากอากาศของเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อเป็นการชั่วคราวนั้น ก็ได้ทราบข่าวว่าเว่ยเอ้อร์โต้วนำโฉนดที่ดินบ้านนาซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของครอบครัวเว่ยจางที่เขาลอบฮุบเอาไว้ขายทิ้งไปเสียแล้ว
ผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ลอบสืบที่มาที่ไปเกี่ยวกับสมบัติที่นาของจวนแม่ทัพติ้งหย่วนเป็นการส่วนตัวนั้น คือบุตรชายของพ่อบ้านคนเก่าคนแก่ของจวนแม่ทัพติ้งหย่วน เขามีนามว่าฉังเหมา ฉังเหมาไปอยู่ในค่ายทหารพร้อมกับเว่ยจางตั้งแต่อายุสิบสามปี ในตอนนั้นเขาถือว่าเป็นบ่าวรับใช้คู่ใจ เวลานี้ก็ได้กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว เว่ยจางให้เขาทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ ภายในจวนแม่ทัพ หลังจากที่จวนแม่ทัพซ่อมบำรุงเสร็จแล้วย้ายไปนั้น เขาก็จะกลายเป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนแม่ทัพ
เว่ยจางฟังฉังเหมาเล่าทุกอย่างด้วยความละเอียดไปหนึ่งรอบ สุดท้ายก็ยกยิ้ม “เจ้าบอกว่า ผู้ที่ซื้อบ้านนาหลังนั้นเป็นเครือญาติของจวนติ้งโหว งั้นรู้หรือยังว่าเป็นเครือญาติคนใด”
“ได้ยินมาว่าเป็นเครือญาติที่มาจากทางใต้ขอรับ” ฉังเหมาค้อมตัวลง “บ่าวให้คนออกไปสืบแล้ว หากบ่าวคาดการณ์ไม่ผิด คิดว่าน่าจะเป็นตระกูลเดิมของฮูหยินน้อยสามแห่งจวนติ้งโหวขอรับ บรรดาเครือญาติที่เกี่ยวดองกับจวนติ้งโหวนั้น นอกจากตระกูลของท่านผู้เฒ่ารองที่อยู่ทางใต้แล้ว ก็มีเพียงตระกูลเหยาของข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองเท่านั้นขอรับ”
“อืม!” เว่ยจางพยักหน้า ครอบครัวบุตรคนรองของตระกูลซูนั้นไม่มีวันซื้อบ้านนาที่อยู่ชานเมืองแน่นอน แม้นจะซื้อขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีวันไปซื้อกับเว่ยเอ้อร์โต้วที่คดโกงหรอก ผู้ที่ซื้อบ้านนานั้นต้องเป็นคนของจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองเป็นแน่
“ท่านแม่ทัพขอรับ บ้านนาหลังนั้นจะปล่อยให้ขายไปเช่นนี้เลยหรือ” ฉังเหมารู้สึกขุ่นเคืองใจ บ้านนานี้เป็นถึงบ้านนาที่ดีที่สุดของจวนแม่ทัพติ้งหย่วน แม้นไม่ใหญ่มาก ทว่าทำเลที่ตั้งดียิ่งนัก หลายปีมานี้ถึงแม้ที่นาจะแห้งแล้ง ทว่าขอเพียงตั้งใจดูแล บ้านนาหลังนี้ก็ยังคงเป็นที่พักผ่อนที่ดี
เว่ยจางคลี่ยิ้มบางๆ “ที่ว่าการกระทรวงการคลังได้ประทับตราไปแล้ว จะทำเช่นไรได้อีกเล่า”
“เรื่องนี้…” ฉังเหมาร้อนใจเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้นายของตนกำชับให้อยู่นิ่ง มีหรือที่เขาจะยอมให้การซื้อขายครั้งนี้สำเร็จ? เขาคงไปขัดขวางไม่ให้ซื้อขายสำเร็จไปนานแล้ว
“ขายไปแล้วก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแค่ให้เขาคายเงินที่ขายบ้านนาออกมาก็พอแล้ว”
ฉังเหมาพลันแผดเสียงขึ้นอย่างกระวนกระวาย “ท่านแม่ทัพ! พวกเราไม่ได้ขาดแคลนเงินเพียงไม่กี่ตำลึงเงินนั่น! บ้านนาหลังนั้น…บ้านนาหลังนั้นหาได้ยากมาก เกรงว่าหากอยากจะซื้อคืนมาคงไม่ง่ายแน่นอน”
“ข้านำทหารออกนอกเมืองตลอดทั้งปี จวนแม่ทัพหนึ่งหลังยังไม่พอให้อาศัยหรือไร จำเป็นต้องทำตามเหล่านักปราชญ์ที่ชอบโอ้อวด และสร้างจวนพักผ่อนของตน?” นิ้วมือของเว่ยจางกดเล่นของชิ้นเล็กๆ พลางคลี่ยิ้ม ภายในใจของเขานั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องบ้านนาแม้แต่น้อย
ฉังเหมาถอนหายใจเสียไม่ได้ เขาประสานมือทั้งสองข้างขึ้น “หากท่านแม่ทัพไม่มีสิ่งใดจะสั่งการอีก บ่าวขอตัวก่อนขอรับ”
เว่ยจางผายมือขึ้น เมื่อเห็นฉังเหมาเดินออกไปแล้วนั้น นิ้วมือของเขาจึงเผยให้เห็นของชิ้นเล็กนั่น เขาอาศัยแสงไฟจากเทียนมองดูสิ่งของนั้นอย่างคิดพิจารณา
นี่คือต่างหูหนึ่งข้าง เป็นต่างหูทองคำที่ห้อยระย้าด้วยหยกน้ำแข็งสีเขียววาวใสประดุจน้ำค้าง
ภายใต้แสงเทียน หยกใสสีเขียวต้องกับแสงเทียน ทำให้เปล่งประกายแวววาวงดงามสะท้อนเข้าไปยังนัยน์ตาที่ลึกล้ำของเว่ยจาง ส่องสว่างเป็นประกายประดุจดาวศุกร์ที่จีรังยั่งยืน
วัดฉือซิน ณ เรือนหลังเล็ก ด้านในเรือนนอนของเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเยี่ยนอวี่ในเวลานี้อาบน้ำชำระกายเสร็จเรียบร้อย นางสวมชุดสีขาวนวลจันทร์สำหรับใส่นอน ในมือถือตำราไว้เล่มหนึ่ง นางอ่านตำราเล่มนั้นด้วยความตั้งใจ
เฝิงหมัวมัวเดินเข้าไปข้างเตียงอย่างเงียบงัน นางโน้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อประชิดเข้าใกล้หูของเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นยื่นสัญญาให้กับคุณหนูของตน “คุณหนู ดูเจ้าค่ะ”
“โฉนดที่ดิน?” เหยาเยี่ยนอวี่มองสัญญาซื้อขายที่ดิน บนกระดาษแผ่นนั้นมีลายลักษณ์อักษรและลายนิ้วมือของผู้ซื้อและผู้ขาย อีกทั้งยังมีตราประทับสีแดงสดจากกระทรวงการคลัง ใบหน้าของนางจึงเปี่ยมด้วยความยินดีปรีดา “ซื้อได้แล้วหรือ”
เฝิงหมัวมัวกระซิบด้วยเสียงเบา “ต้องใช้เงินสี่พันหกร้อยยี่สิบตำลึงเงินเจ้าค่ะ ได้ยินมาว่าชายชรานามว่าเว่ยเอ้อร์โต้วผู้นี้เป็นคนไม่เอาไหน ทรัพย์สมบัติที่นาต่างๆ ที่บรรพบุรุษเหลือไว้นั้น เขาขายทิ้งจนหมด เหลือที่นาผืนนี้เป็นผืนสุดท้าย ทีแรกเขาก็รู้สึกเสียดายจึงไม่อยากขาย ทว่าอาจเป็นเพราะร้อนเงินกระมังเจ้าคะ เลยรีบขายทิ้งแบบนี้ แม้นราคาค่อนข้างแพง ทว่าทำเลที่ตั้งของบ้านนาหลังนี้นั้นดียิ่งนัก ตาเฒ่าของบ่าวบอกว่าเรือนในบ้านนาถูกสร้างอย่างพิถีพิถัน แม้ว่าจะเก่าและทรุดโทรมไปแล้ว ทว่าโครงสร้างของบ้านนั้นดีมาก เป็นรูปแบบที่ตระกูลชนชั้นสูงนิยมสร้างเจ้าค่ะ”
“อืม เช่นนั้นก็ให้เหล่าเฝิงหาช่างฝีมือไปซ่อมแซมเถอะ!” เหยาเยี่ยนอวี่ปลื้มปิติยิ่งนัก นับตั้งแต่วันนี้นางก็มีที่ดินเป็นของตนเองแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่ามีที่อยู่อาศัยเสียที
เฝิงหมัวมัวยิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ บ่าวก็บอกเขาไปเช่นนี้แล้ว โชคดีที่เวลานี้ยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยของแคว้น จวนอ๋อง จวนกง จวนโหวและจวนปั๋วต่างๆ ล้วนถือเคล็ดไม่ปลูกสร้างและซ่อมแซมจวนหรือเรือนใดๆ ทำให้สะดวกในการหาช่างเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นต้องใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดกี่วัน” เหยาเยี่ยนอวี่อยากรีบย้ายไปให้เร็ว แม้นวัดฉือซินแห่งนี้จะเงียบสงบ ทว่าก็เป็นเพียงแค่การมาขออาศัยอยู่ชั่วคราว อย่างไรก็อยู่ไม่สบายเท่าเรือนของตน
“ห้องหับหนึ่งร้อยหกสิบกว่าห้อง หากตั้งใจซ่อมแซมให้สภาพอยู่อาศัยได้จริง เกรงว่าอย่างน้อยคงต้องใช้เวลาครึ่งค่อนปี”
“ข้าไม่อาจรอนานเช่นนั้นได้ เจ้าไปบอกกับเหล่าเฝิงให้ซ่อมแซมส่วนที่ง่ายที่สุดและให้เพียงพอต่อการให้พวกเราไม่กี่คนไปพักอาศัยก่อน หลังจากที่พวกเราย้ายเข้าไปค่อยซ่อมแซมส่วนที่เหลือก็ไม่สาย” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวจบ จู่ๆ ก็นึกเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง นางหันหลังไปหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นที่อยู่ข้างเตียง แล้วยื่นให้กับเฝิงหมัวมัว “นี่คือภาพวาดเตาเผาให้ความอบอุ่นที่ข้าออกแบบขึ้นเอง ต้องสร้างให้ชิดติดผนัง มีปล่องไฟและสามารถเผาไฟด้านในนี้ ปล่องไฟต้องขึงทับด้วยทองแดง ตัวเสาที่ทำเป็นปล่องสามารถกระจายความร้อนได้ จะได้ทำให้ทั่วทั้งห้องอบอุ่น ส่วนเรื่องขนาดและวัสดุที่ใช้นั้นข้าได้เขียนกำกับเอาไว้แล้ว เจ้าให้เหล่าเฝิงนำไปให้ช่างดูเถอะ”
บนกระดาษแผ่นนั้นเป็นภาพวาดเตาผิงไฟสไตล์ยุโรป เพียงแต่ลวดลายตกแต่งต่างๆ เป็นเหยาเยี่ยนอวี่ดัดแปลงเอง นางเลือกใช้ลวดลายโบราณที่ชาวต้าอวิ๋นชื่นชอบ
หลังจากที่เฝิงหมัวมัวมองอย่างละเอียด นางยิ้มพลางพูดขึ้น “คุณหนูวาดรูปได้ละเอียดยิ่งนัก บ่าวมองเพียงแวบเดียวก็เข้าใจแล้ว ฉะนั้นพวกช่างต้องเข้าใจแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ความจริงมันก็คล้ายคลึงกับพื้นไฟที่ทางตอนเหนือใช้กัน เพียงแต่พื้นไฟต้องสร้างตั้งแต่ตอนสร้างบ้าน พวกเราคงไม่อาจรื้อบ้านแล้วสร้างใหม่ได้”
“อย่างที่คุณหนูพูดเจ้าค่ะ”
เช้าตรู่วันถัดมา เหยาเยี่ยนอวี่ตื่นขึ้นในแสงยามเช้าที่สดใส หลังจากที่นางลืมตาขึ้นก็พลันแย้มยิ้มทันทีทันใด
นางออกมาจากจวนติ้งโหวได้ห้าวันแล้ว เหลือเวลาอีกเจ็ดวันเหยาเฟิ่งเกอก็น่าจะส่งคนมารับตนกลับไป เวลานี้บ้านนาก็ได้ซื้อเอาไว้เรียบร้อย เช่นนั้นแผนการของตนก็ควรเริ่มได้แล้ว
วันนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ลอบออกไปข้างนอก แต่นำสมุนไพรที่นางและชุ่ยเวยไปเก็บในป่าออกมา จากนั้นแยกเป็นส่วนๆ ด้วยจำนวนที่เหมาะสม แล้วสั่งให้ชุ่ยเวยนำไปล้างน้ำให้สะอาดค่อยนำไปต้ม