บทที่ 29 ทวงความเป็นธรรม

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

บทที่ 29 ทวงความเป็นธรรม Ink Stone_Romance

เฉิงเจียวเหนียงถูกพยุงกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ในเมื่อเป็นคนสติไม่ดี นางจึงไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมกับเรื่องของคนปกติ

เฉิงเจียวเหนียงนั่งอยู่หลังฉากกั้น เอนกายพิงโต๊ะเตี้ย เสื้อคลุมตัวหลวมถูกปูไว้ที่พื้น ผมถูกปล่อยสยาย นางแน่นิ่งราวกับขอนไม้ หากใครได้พบเห็นนางในตอนนี้ คงต้องถอนหายใจแล้วพูดว่านี่มันตุ๊กตาไม้เป็นแน่

แต่ก็ไม่แน่เสียทีเดียว ท่านชายโจวหกหันหลังกลับมามองที่ห้องโถง

“คนบ้าคนหนึ่ง” เขาชี้นิ้วอย่างเกรี้ยวกราดแล้วมองไปยังนายรองเฉิง “จะโกหกได้อย่างไร”

นายรองเฉินหน้านิ่ง คนมากมายกรูเข้ามาจากประตูด้านนอก

“มีอะไรหรือ” ฮูหยินเฉิงและฮูหยินรองเฉิงรีบถาม

ผู้ติดตามของท่านชายโจวหกเองก็มาด้วย พร้อมกับโยนข้าวของในห้องครัวออกมา

ถังข้าวสารที่มองเห็นก้นถัง หัวผักที่เหี่ยวแห้ง ปลาที่กำลังจะตายแหล่มิตายแหล่ที่ลอยอยู่ในน้ำ

สาวใช้ทั้งหมดและปั้นฉินคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน

ท่านชายโจวหกเตะอ่างน้ำคว่ำต่อหน้าทุกคน ฮูหยินเฉิงและฮูหยินรองเฉิงที่กำลังเดินเข้ามาตกใจจนต้องรีบหลบ

“เจ้าคนแซ่เฉิง ข้าเรียกท่านว่าท่านลุง แต่นี่เป็นวิธีที่ท่านปฏิบัติต่อลูกสาวของป้าข้าที่กำพร้าแม่อย่างนั้นหรือ! ” ชายหนุ่มตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว เอื้อมมือไปชักดาบที่เอว แต่พบว่าไม่มีดาบจึงกลับมาเตะบ่าวรับใช้แทน “ไปเอาดาบของข้ามา”

ตระกูลโจวเป็นทหารและพูดจาด้วยหมัดเท่านั้น ลักษณะของคนตระกูลเป็นเช่นนี้ ในเวลานี้ด้วยอารมณ์ของคนหนุ่มเขากล้าที่จะทำทุกอย่าง

ฮูหยินเฉิงรีบเรียกให้คนมาจับท่านชายโจวหกไว้

“ท่านชายหก มีเรื่องอะไรก็ให้พูดจากันดีๆ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ” นางเอ่ย

“มีอะไรงั้นหรือ” เขาเอ่ยอย่างโมโหพร้อมกับชี้นิ้วไปที่สิ่งของที่กระจัดกระจายบนพื้น “นั่นเป็นวิธีที่ท่านปฏิบัติต่อลูกพี่ลูกน้องของข้าหรือ หากนางมีมือมีเท้าเหมือนคนธรรมดาก็ว่าไปอย่าง แต่ท่านทำกับคนบ้าพูดไม่ได้ เดินไม่ได้แบบนี้ ท่านไม่กลัวฟ้าผ่าตายเอาหรือไง”

ฮูหยินเฉิงและฮูหยินรองดูลุกลี้ลุกลน

“พวกเจ้ามีเรื่องอะไรกับ” นายใหญ่ตระกูลเฉิงหันกลับมาตะโกนถาม

เหล่าบ่าวใช้และสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยนั้นก็คุกเข่าลงทันที

“เป็นเพราะบ่าวไร้ความสามารถ จึงดูแลนายหญิงให้ดีไม่ได้เจ้าค่ะ ” ปั้นฉินเอ่ยสะอื้น

นางไม่อยากร้องไห้ แต่เมื่อมองไปที่เศษอาหารที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น พลางคิดถึงความยากลำบากแต่ก่อน และความวุ่นวายหลังจากนี้ โดยเฉพาะตอนที่โดนตบหน้าอย่างไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยนั่นอีก นางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนใต้แสงอาทิตย์ ที่ดูจะห่างเหินออกไปเรื่อยๆ

“หากไม่อาจเรียกร้องให้แก่น้องสาวได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นลูกผู้ชาย!” เขาตะโกนอย่างโกธรเกรี้ยว

น้ำตาของปั้นฉินไหลออกมาดั่งสายฝน

“เป็นเพราะบ่าวไร้ความสามารถเจ้าค่ะ” นางฟุบลงกับพื้นพูดและร้องไห้

ฮูหยินใหญ่เฉิงพอรู้บ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น นางโกรธจนตัวสั่น หนึ่งคือโกรธสาวรับใช้ที่นางส่งไปนั้นสร้างความเดือดร้อน สองคือหญิงสาวคนใช้ของนังคนบ้านั่นจงใจสร้างเรื่อง เรื่องแบบนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นมาแค่วันสองวัน เหตุใดถึงมาพูดเอาวันนี้เล่า! เมื่อครู่ได้โอกาสพูดกลับไม่พูด แต่กลับจะมาพูดเอาตอนนี้! จะให้ไว้ใจได้อย่างไรเล่า

“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า” ฮูหยินรองเฉิงกล่าว

ท่านชายโจวหกมองดูนางด้วยสายตาเย้ยหยันและดูถูก

“ท่านคือเมียใหม่สินะ! อย่างที่เขาว่าไม่มีผิดเมียใหม่ไร้หัวใจ” เขากล่าว

ใบหน้าของฮูหยินรองเฉิงซีดเผือด หากคำพูดเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงของนางคงต้องป่นปี้

“ท่านชายหก เรื่องยังไม่ได้ถามอย่างกระจ่าง ท่านอย่าพูดใส่ความกัน!” นายรองเฉินตะโกนอย่างบึ้งตึง

” มีแม่เลี้ยง แต่มีพ่อกลับไม่เลี้ยง!” ท่านชายโจวหกหันไปยิ้มเย้ยให้แก่เขา ” ข้าแค่พูดว่าเมียใหม่คำเดียว ท่านก็ทนไม่ได้แล้วหรือ ลูกพี่ลูกน้องของข้าทั้งหิวและถูกรังแก และท่านก็ทำเหมือนคนตาบอดไม่รับรู้!”

หยาบคาย! หยาบคาย! ท่าทีแบบนี้ไม่มีความเป็นผู้น้อยเลย

นายรองเฉิงตัวสั่นด้วยความโกรธ มันเป็นเรื่องที่มีเหตุผลแต่ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้

“เดิมทีข้ามาเพื่อดูว่าลูกพี่ลูกน้องของข้ากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยหรือไม่ ข้าไม่คิดเลยว่าระหว่างทางที่มานั้นจะปลอดภัยดี แต่เมื่อกลับมาเจออันตรายที่บ้านแทน ข้าเป็นเพียงหลานชายไม่มีสิทธิที่จะพูด …” ท่านชายโจวหกไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้พูดแถมยังหัวเราะเย้ย

เจ้าไม่มีสิทธิพูดงั้นรึ จนถึงตอนนี้ก็มีแต่เจ้านั่นแหละที่เอาแต่พูด

คนในตระกูลเฉิงตะโกนอยู่ในใจ

“…ข้าจะกลับไปเรียกผู้ใหญ่ในตระกูลมา ให้พวกผู้ใหญ่อย่างท่านทั้งหลายได้นั่งคุยกัน!” ท่านชายโจว

หกเอ่ยขึ้นแล้วเดินออกไป

ขนาดเด็กยังยโสโอหังมากเพียงนี้ หากโตเป็นผู้ใหญ่แล้วพูดจาดีก็คงแปลกพิลึก!

นายใหญ่ตระกูลเฉิงหมือนจะเห็นกลุ่มทหารกำลังเดินเข้ามาทางประตูบ้านของตระกูลเฉิง

“ช้าก่อน มีอะไรค่อยพูดค่อยจา หากบ่าวชั่วหลอกนาน ก็ไล่ออกไปเสีย! ” เขาเอ่ยคิ้วขมวด

แต่ท่านชายหกก็ไม่ได้หยุดเดิน

“ชิงเหนียงละเลยหน้าที่ ไปที่หอบรรพบุรุษแล้วทบทวนตัวเองเสีย! ” นายใหญ่ตระกูลเฉิงกัดฟันพูด

ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนในเรือนต่างตกใจก่อนจะมองไปทางฮูหยินรอง

ทันใดนั้นฝีเท้าของนายน้อยโจวหกจึงหยุดลง

ฮูหยินรองเฉิงกัดริมฝีปากล่างของตน นางรู้สึกถึงสายตาที่แผดเผารอบตัว ทำเอานางร้อนรนกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข

นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกตำหนินับตั้งแต่ที่นางเดินเข้ามายังตระกูลนี้ อีกทั้งการกล่าวหาครั้งนี้แสนรุนแรง แถมยังทำต่อหน้าบ่าวไพร่อีก

แล้วต่อไปนางจะปกครองคนได้อย่างไร

“เจ้าค่ะ” นางตอบรับอย่างกลั้นกลืนฝืนทน

“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับชิงเหนียง!” นายรองเฉิงรีบกล่าวอย่างกังวล

“ใช่ เจ้าเองก็ด้วย!” นายใหญ่ตระกูลเฉิงกล่าว เวลาเช่นนี้นายรองเฉิงยังต้องปกป้องเมียอยู่ น่ารำคาญนัก

ไม่ดูเวล่ำเวลาเอาเสียเลย! ไม่รู้หรือว่าเรื่องใดสำคัญกว่า!

“พี่ใหญ่ ชิงเหนียงร่างกายไม่แข็งแรง เด็กคนนั้น…ต้องให้พี่สะใภ้ใหญ่ดูแลแทน” นายรองเฉิงยังคงพูดอยู่อย่างนั้น เมื่อพูดจบก็ก้มหน้าลง

นายใหญ่ตระกูลเฉิงทำหน้าไม่ถูก

ฮูหยินใหญ่เฉิงถอนหายใจยาว

ช่างมันเถอะ เรื่องก็เป็นไปอย่างนี้แล้ว ชื่อเสียงหน้าตาทั้งภายในภายนอกตระกูลต่างป่นปี้ไปแล้ว

“ใช่ มันเป็นความผิดของข้า ไม่เกี่ยวกับชิงเหนียงจริงๆ” นางพูดพร้อมกับก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วคำนับให้แก่ท่านชายโจวหกอย่างสุภาพ “ท่านชายหก ป้าขอยอมรับผิด”

ท่านชายหกคำนับคืน

“ข้าไม่สนหรอกว่าใครผิด แต่ข้าหวังว่าภายหน้าจะไม่มีความผิดพลาดแบบนี้เกิดขึ้นอีก” เขาเอ่ย “เกิดเป็นคนต้องรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา กราบพระที่วัดได้บุญก็จริง แต่ทำดีกับคนในครอบครัวนั้นสร้างกุศลง่ายกว่ามิใช่หรือ”

ชายหนุ่มคนนี้ รู้จักพูดจา

เฉิงเจียวเหนียงเม้มปากเน้น นางลดสายตาลงแล้วค่อยๆ วาดภาพต่อไปด้วยมือซ้ายของตน

นางสามารถเขียนตัวอักษรตามบทกวีนี้ได้แล้ว ควรใช้โอกาสนี้ขอหนังสือมาฝึกฝนเพิ่มเติมหรือไม่

เรือนของคนบ้าไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะจะพูดคุยกัน ไม่นานผู้คนก็รีบออกไป ผ่านไปเพียงครู่หญิงคนงานและสาวรับใช้ก็ถูกพาตัวออกไป พวกนางไม่มีแม้แต่โอกาสจะร้องไห้ นอกจากตัวพวกนางแล้ว ครอบครัวของพวกนางก็ถูกขับออกเรือนตระกูลเฉิงเช่นกัน บ่าวไพร่ในเรื่องต่างตื่นกลัวเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกคนมองไปที่เรือนของคนบ้าด้วยความหวาดผวา

ไม่นานข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทุกเรือนในตระกูลเฉิง แม่นางเฉิงเจ็ดที่อาศัยอยู่ในบ้านขอฮูหยินรองเฉิง กำลังนั่งกอดเข่าด้วยความกังวล

“แม่นางเฉิงเจ็ดไม่ต้องกังวลนะเจ้าคะ” แม่นมปลอบ “ฮูหยินและฮูหยินรองไม่ได้ไปที่หอบรรพบุรุษเพื่อสำนึกตนหรอกเจ้าค่ะ เพราะคนจากตระกูลโจวยอมความแล้ว”

แม่นางเฉิงเจ็ดตกใจตะลึงเล็กน้อย

แม่นางเฉิงสี่ที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นว่า

“แน่นอนสิ” นางกล่าว “ท่านป้าและท่านแม่เป็นนายหญิงของตระกูล จะให้ผู้อาวุโสสำนึกตนได้เพียงเพราะคำพูดของเด็กเมื่อว่าซืนอย่างไร หากผู้อาวุโสของตระกูลโจวมา ก็ยังเป็นไปไม่ได้”

แม่นมพยักหน้า

“แม่นางเฉิงสี่พูดถูกแล้วเจ้าค่ะ” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แม่นางเฉิงเจ็ดยกมือออกจากเข่าแล้วนั่งลง จากนั้นจึงดึงสติกลับมา

“มีพี่ชายนี่ดีเสียจริง” นางพูด ทันใดนั้นดวงตาของนางก็สดใสขึ้นมา “มีพี่ชายแบบนี้ดีจริงๆ”

พูดถึงเรื่องนี้นางก็ดูเศร้า

“น่าเสียดายที่ข้าไม่มีพี่ชายแบบนี้” นางบ่นพึมพำ

เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกอิจฉานังบ้านั่น น่าโมโหเสียจริง

คนบ้าเช่นนั้นแต่กลับมีพี่ชายแสนดีเช่นนี้ น่าเสียตายจริงๆ!

………………………………………………..