บทที่ 30 ช่องว่าง Ink Stone_Romance

มีพี่ชายแบบนี้นั้นดีจริงๆ

ปั้นฉินมองดูอาหารแสนอร่อยตรงหน้า ก่อนจะหันหลังกลับไปยิ้มอย่างมีความสุข

“นายหญิง ทานอาหารกันเจ้าค่ะ ” นางพูดแล้วนั่งคุกเข่าลง

แม่นมและสาวใช้คนใหม่ช่วยกันออกแรงย้ายโต๊ะอาหาร

หลังม่านไม้ไผ่นั้น มีร่างของนายหญิงนอนตะแคงอยู่บนฟูก

“พวกเจ้าออกไปเถอะ” ปั้นฉินกล่าว

คนงานหญิงและสาวรับใช้ตอบรับ

“ไม่รู้ว่านายหญิงถูกปากรสชาติแบบไหน ขอนายหญิงชี้แนะด้วย” แม่นมเอ่ยอย่างนอบน้อม

“ได้สิ” ปั้นฉินกล่าวพยักหน้าเป็นการตอบ

แม่นมและสาวใช้ถอยออกไป เมื่อม่านประตูถูกเปิดออก ปั้นฉินก็พยุงร่างของหญิงผู้หนึ่งมานั่งที่กลางโถง

สาวใช้สงสัยอยากจะเห็นหน้าของนางชัด แต่กลับถูกแม่นมจ้องตาเขม็ง จึงทำได้เพียงรีบก้มหน้าเดินออกไป

“นายหญิงหน้าตาเช่นไร” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย

“คนบ้าจะเป็นอย่างไรได้เล่า! อย่าก่อเรื่องเลย ถ้าเราทั้งสองถูกคุณชายตระกูลโจวจับได้อีก เจ้าและข้าจะซวยแน่ ” สาวใช้เตือน

เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสองตระกูลทำให้คนถึงเจ็ดคนต้องถูกไล่ออกจากบ้านไป ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกบ่าวรับใช้ที่ถูกเจ้านายไล่ออกไปบัดนี้จะมีชะตากรรมอย่างไร สาวใช้ทั้งกลัวทั้งกังวล จนไม่กล้าแม้แต่จะแลตามองเรือนหลังนั้น เกรงว่าหากได้เห็นหน้าคนบ้านั่นเข้าจะทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาอีก

เมื่อทานอาหารเสร็จ ฮูหยินใหญ่เฉิงก็รอนายใหญ่ตระกูลเฉิงมา

 “เขาว่าอย่างไรบ้าง ” นางถามอย่างรีบร้อน

“ไม่ได้พูดอะไร รินเหล้าไปหนึ่งไหแล้วหลับไป” นายใหญ่ตระกูลเฉิงพูดด้วยอารมณ์ไม่ดีนัก ก่อนจะนั่งลงอย่างหงุดหงิด

เรื่องที่เกิดขึ้นวันที่ทำให้เขาหงุดหงิดตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เขากลับไม่สามารถตอบโต้ได้เลย

ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงนั่งลงตรงข้าม นางกำลังจะเอ่ยปากพูด นายรองเฉิงและภรรยาของเขาก็มา

ฮูหยินรองเฉิงเดินเข้ามาแล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้จนฮูหยินใหญ่เฉิงอารมณ์เสียมากขึ้น

“พี่สะใภ้” นางคุกเข่าลงแล้วโค้งคำนับ

การกระทำเช่นนี้ทำให้นายใหญ่ตระกูลเฉิงและภรรยาตกใจ และพวกเขาก็รีบยื่นมือเพื่อพยุงให้นางลุกขึ้น

“เจ้าทำอะไรของเจ้า” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว

“ต่อหน้าผู้คนวันนี้ ข้ามีความผิดแต่กลับผลักไปให้พี่สะใภ้ มันเป็นการดูหมิ่นจริงๆ” ฮูหยินเฉิงเอ่ยสะอื้น แต่ก็ไม่ยอมลุกขึ้น

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ท่าทางของฮูหยินให้ก็แปลกออกไป

ทางนายรองเฉิงก็โค้งคำนับ

“มันเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควร … ข้าไม่ควรพูดถึงพี่สะใภ้” เขาก้มศีรษะลงและพูด

“อย่าทำแบบนี้เลย” ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบใช้มือทั้งสองข้างพยุงตัวนาง ด้วยท่าทีตำหนิ “จะถือเป็นความผิดได้อย่างไร มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว เป็นเพราะข้าไม่จัดการครอบครัวให้ดี จึงทำให้เจ้ารู้สึกผิด “

ฮูหยินรองเฉิงจับมือฮูหยินใหญ่เฉิงแล้วร่ำไห้

“เอาล่ะ เราครอบครัวเดียวกันอย่าพูดเหมือนห่างเหิน แต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของคนนอก” นายใหญ่ตระกูลเฉิงกล่าว

จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันนั่งลง

“ตระกูลทางนู้นยังไม่รู้เลยว่า… เด็ก… เด็กคนนั้นชื่ออะไรนะ” นายใหญ่ตระกูลเฉิงถาม ที่นี่ก็ไม่มีคนนอก เขาจึงถามอย่างเรียบง่าย

พวกเขาทั้งสามคนในห้องตกตะลึงเล็กน้อย ทุกคนดูเหมือนจะสงสัยว่าคนบ้านั่นชื่อแซ่ว่าอะไร

“ชื่อเจียวเหนียงเจ้าค่ะ! ” ฮูหยินรองนึกขึ้นได้ก่อนจึงพูดออกมา ก่อนจะพูดเสริมว่า “ดูเหมือนว่าท่านยายทางตระกูลโจวเป็นตั้งชื่อให้นาง”

สีหน้าของนายใหญ่ดูไม่ชอบใจนัก

“ตั้งชื่อแปลกๆ” เขาพึมพำ ไม่รู้ว่าพูดถึงชื่อหรือว่าคนตระกูลโจว

“ที่ท่านชายโจวหกบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องการกลับมาของเจียวเหนียงนั้น เชื่อถือได้หรือไม่?” นายใหญ่ตระกูลเฉิงกล่าวต่อ

“ไม่รู้ก็แปลกแล้ว” นายรองเฉิงพูดอย่างหงุดหงิด “ไม่รู้แล้วจะวิ่งโร่มาก่อเรื่องได้อย่างไร” ในห้องเงียบไปชั่วขณะ

“เรื่องวันนี้ก็เป็นความผิดของข้าเช่นกัน ที่ทำให้ทุกคนพลอยโดนหางเลขไปด้วย จนทุกคนต้องมาขายขี้หน้าเช่นนี้” นายใหญ่ตระกูลเฉิงกล่าว “พวกเรายอมรับผิดแล้ว ก็ต้องรอดูว่าตระกูลโจวจะทำอะไรอีก”

“พวกเขาจะทำอะไรอีกหรือ” นายรองเฉิงพูดอย่างโมโห “คิดว่าตระกูลเฉิงของเราจะกลัวพวกเขางั้นหรือ”

 ฮูหยินใหญ่เฉิงพยักหน้า

“ใช่แล้ว เรื่องของวันนี้จริงที่พวกเรามีส่วนผิด แต่ถ้าพวกเขาได้คืบและจะเอาศอก แล้วจงใจสร้างความเดือดร้อน ตระกูลเฉิงของเราใช่ว่าจะยอมให้กลั่นแกล้งกันได้ง่ายๆ” เขากล่าว “สิ่งที่เสียไปไม่ใช่แค่หน้าตาของตระกูลเฉิง แต่เป็นหน้าตาของเหล่าบัณฑิตในตระกูลโจวด้วย”

แม้อีกฝ่ายจะมาจากตระกูลทหารสูงศักดิ์ แต่บัณฑิตไร้ชื่อเสียงก็ไม่กลัวขุนนางทหารหรอก

“เดิมทีก็ไม่ควรเกี่ยวดองกับตระกูลนี้แต่แรก ขายขี้หน้าชาวบ้านนัก” นายรองเฉิงบ่นพึมพำ

นายใหญ่ตระกูลเฉิงจ้องมอง

“เจ้ากำลังพูดถึงพ่อตาของเจ้ารึ” เขาเอ่ยถาม

เพราะเมื่อพูดถึงภรรยาคนแรก ฮูหยินรองก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา

ฮูหยินใหญ่เฉิงดึงสามีตน

“นายรองไม่ได้หมายความอย่างนั้น ท่านอย่าคิดไปเอง” นางพูดและมองไปที่นายรองเฉิง “เอาล่ะ

ทุกคนก็เหนื่อยแล้ว ไปพักทานอาหารกลางวันและเติมพลังงานให้เพียงพอ จะทำตัวให้พวกเขาหัวเราะเยาะเอาไม่ได้”

นายรองเฉิงและภรรยาขอตัวออกแล้วมุ่งหน้าไปยังเรือนของตน

“ช่วงนี้เจ้าก็ไปปรนนิบัติพี่สะใภ้ให้มากหน่อย” นายรองเฉินกล่าว “ให้พี่สะใภ้คลายความกังวลขึ้นมาบ้าง”

ฮูหยินรองเฉิงยิ้มเล็กน้อย

“ข้าเอ่ยปากขอโทษไปแล้วนี่ แถมยังก้มหัวคำนับขนาดนั้น ยังให้เกียรตินางไม่พออีกหรือ และอีกอย่างนั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเราแต่แรก” นางกล่าว

นายรองเฉิงหยุดเดินและหันกลับมามองนาง

“เจ้าพูดอะไรน่ะ” เขากระซิบ

“ข้าพูดอะไรน่ะหรือ แล้วข้าพูดผิดหรือย่างไร คุณงามความดีทำไมนางถึงได้ไป แล้วเรื่องที่ต้องถูกด่าก็เป็นข้าที่ต้องแบกรับไว้ เป็นเพราะนางต้องการจะรับเอานางคนบ้านั้นไปดูแลเอง ทำไมเมื่อเกิดเรื่องแล้วต้องมาด่าว่าข้า ถ้าท่านไม่ออกหน้าแทนข้าในตอนนั้น นางเองก็คงจะไม่คิดจะเอ่ยปากเองหรอก หรือนางอยากจะเห็นข้าไปสำนึกตนที่หอบรรพบุรุษ ” รองฮูหยินเฉิงกล่าวด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

“เบาเสียงหน่อย เรายังอยู่ข้างนอกนะ” นายรองเฉิงสะดุ้งและพูดอย่างรีบร้อน

สาวใช้ที่ตามมาหลีกทางให้อย่างตกใจ

ฮูหยินรองสะบัดแขนเสื้อและเดินไปอย่างรวดเร็ว

นายรองเฉิงเพียงรู้สึกปวดแปลบที่ขมับ

เรื่องปวดหัวไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที่

ยังดีๆ อยู่เลยเหตุใดเป็นเช่นนี้ไปได้ !

ตระกูลก็มีคนเพียงเท่านี้ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นย่อมปิดบังกันไม่ได้นาน เมื่อฮูหยินใหญ่เฉิงรู้เรื่องที่นายรองและภรรยาผิดใจกัน นางได้แต่ถอนใจและถอดปิ่นปักผมออก

“ออกไปเถอะ และห้ามเอาไปพูดต่อที่ไหนอีกเด็ดขาด” นางกล่าว

แม่นมตอบรับพร้อมก้มศีรษะแล้วเดินออกไป

“เหตุใดจู่ๆ ฮูหยินรองถึงได้พูดไม่รู้ความเช่นนี้” นายใหญ่ตระกูลเฉิงพูดพร้อมกับขมวดคิ้วนอนอยู่บนฟูก

 “ท่านเองก็เหมือนกัน เหตุใดถึงลืมไปว่าข้าเป็นคนเลี้ยงดูเจียวเหนียง” ฮูหยินใหญ่เฉิงพูด นางทั้งเหนื่อยหน่ายและอ่อนแรง

“ถึงแม้เจ้าจะเป็นคนเลี้ยงดู แล้วมันยังไงเล่า นางถือว่าเป็นแม่เลี้ยงของเจียวเหนียง ถ้าเจ้าไม่ลงโทษและตำนินาง ตระกูลโจวนั้นจะยอมหรือ นอกจากนี้จะลงโทษนางได้อย่างไร” นายใหญ่ตระกูลเฉิงกล่าวพลางถอนหายใจ “เรื่องไม่เป็นเรื่องเลยจริงๆ ”

ฮูหยินใหญ่เฉิงนอนลงบนฟูกอีกฝั่งพลางขมวดคิ้ว“

“อาจเป็นเพราะการกลับมาของเจียวเหนียง ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปกะทันหัน นางจึงรับไม่ไหว” นางกล่าว

นายใหญ่ตระกูลเฉิงตะคอก

“นางไม่ได้เพิ่งรู้ว่ามีเด็กคนนี้อยู่ในตระกูล ทำไมถึงรับไม่ได้เอาตอนนี้” เขากล่าว

ฮูหยินใหญ่เฉิงเม้มริมฝีปากและยิ้ม

“รับรู้ก็เรื่องหนึ่ง เจอกับตัวก็อีกเรื่องหนึ่ง” นางกล่าว

“ข้าคิดว่านางคงชินกับการใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมานานเกินไป” นายใหญ่ตระกูลเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ

คราวนี้ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่โต้เถียงแต่กลับถอนหายใจ นางยกมือขึ้นลูกหน้าผากก่อนจะหลับตาลง

………………………………………………………..