ตอนที่ 29 ก็แค่ฉุกคิดขึ้นมาโดยทันที [รีไรท์]

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 29 ก็แค่ฉุกคิดขึ้นมาโดยทันที

เขาเหลือบสายตาจ้องมองไปยังข้อมือของเธอ ก็พบว่ามีรอยแดงปรากฏขึ้นมา

ตอนที่ป้องกันไม่ให้กาแฟร้อน ๆ หกใส่ตัวเองนั้น บังเอิญเธอเผลอหมุนตัวเร็วเกินไปหน่อย จึงไม่ได้ระวังเผลอเอามือไปโดนขึ้นมา

ตอนนั้นเธอแทบไม่ได้สนใจอะไรมันเท่าไหร่นัก คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีรอยแดงปรากฏบนข้อมือของเธอแบบนี้

ขณะที่เธอกำลังจะดึงมือกลับมานั้น จิ่งเป่ยเฉินก็คว้าแขนของเธอเอาไว้ทันที

นิ้วเรียว ๆ บาง ๆ ของเขาลูบไปมาบนรอยแดง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์

ดวงตาคมและใบหน้าที่หล่อเหลาเงยขึ้นมามองและเอ่ยถามว่า “เจ็บไหม?”

เขายังไม่ทันเอ่ยถามว่าบาดเจ็บได้ยังไง แต่กลับถามว่าเจ็บไหมแทน

นี่เป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างปกติสำหรับตัวเขา ตอนแรกก็จับ จากนั้นก็ซักถาม

เธอส่ายหน้าพลางดึงมือกลับมา ก่อนจะเอ่ยไปว่า “ไม่เจ็บ ขอบคุณประธานจิ่งที่เป็นห่วงค่ะ แต่พวกเรามาคุยเรื่องโฆษกโฆษณากันก่อนดีกว่า ฉันคิดว่าเหอเฉ่านับว่าไม่เลวเลย มีนิสัยที่ค่อนข้างดี และปฏิบัติตัวน่าจะเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ค่อนข้างมาก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ………”

ยังไม่ทันเอ่ยประโยคพูดจบ เขาก็ดึงมือของเธอกลับมาด้วยความรุนแรง ใช้เวลาไม่นาน เธอก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา

เธอพยายามบิดร่างของเธอออกเพื่อให้ตนเองเป็นอิสระ แต่กลับถูกเขากดไว้จนแน่น ถูกกักขังไว้อย่างรุนแรงจนหลุดออกไปไหนไม่ได้

ราวกับว่าตอนนี้ถูกประกบไว้อย่างแน่นหนา ยากที่สลัดหลุดได้!

จิ่งเป่ยเฉินรีบเปิดลิ้นชักด้วยมือขวาและหยิบยาทาแผลขนาดเล็กออกมา ก่อนจะค่อย ๆ แตะตรงรอยแดงนั้น

กลิ่นสะระแหน่ที่สดชื่นลอยเข้ามาแตะจมูกของอันโหรว มันทั้งเย็นและหอมมาก

เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาค่อย ๆ บรรจงทาแผลไป จากนั้นก็นำปลาสเตอร์ที่อยู่ในมือมาฉีกออกและใช้มือซ้ายของเขาแปะไปที่แผลนั้นอย่างช้า ๆ และนุ่มนวล

หลังจากนั้นไม่นานรอยแดงบนข้อมือเธอก็ค่อย ๆ จางหายไปอย่างช้า ๆ ทั้งยังรู้สึกเย็นสบายมากอีกด้วย

“ไปบาดเจ็บแบบนี้มาได้ยังไง?” เขายังไม่ทันปล่อยมือเธอออก เขาก็เงยหน้ามองไปยังดวงตาของเธอ

น้ำเสียงที่เอ่ยถามนั้นค่อนข้างหนักแน่น ทัศนคติพลันเปลี่ยนไป เขาค่อนข้างระวัง เขากำลังจับสังเกตถ้าหากเธอโกหกเขาจะรู้ได้โดยทันที

อันโหรวหัวเราะเบา ๆ และเอ่ยออกไปว่า “ประธานจิ่งนับว่ามีสายตาที่หลักแหลม วันนี้ตอนเช้าทุกคนต่างก็ดื่มกาแฟกันอยู่ แต่มือของฉันนั้นไม่ค่อยระวังเลยทำแก้วกาแฟหลุดออกจากมือ มันเลยเกือบลวกมือ”

“อ๋อ เป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?” เขาเลิกคิ้วพลางมองเธอด้วยสีหน้าสงสัย ก่อนจะเอามือของเขานั้นแตะไปที่ข้อมือของเธอเบา ๆ

ราวกับต้องการสัมผัสว่าเธอกำลังโกหกอยู่หรือเปล่า

อันโหรวมองอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะพูดว่า “ทำไมฉันต้องโกหกคุณด้วย? โกหกคุณแล้วฉันจะได้อะไร หรือคุณจะให้เงินโบนัสสิ้นปี? หรือให้หุ้นส่วนเงินปันผล? หรือจะมอบบริษัทให้ฉันเลย?”

หลังจากพูดจบเธอก็พยายามอย่างมากที่จะเอามือออกจากการจับกุมของเขา

จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาค่อย ๆ เปิดรายชื่อศิลปินและมองรูปของเหอเฉ่าอย่างระมัดระวัง

ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ชื่อของเธอดี นับว่าไม่เลว”

อันโหรวพยักหน้าและเอ่ยเสริมอีกว่า “ชื่อของเธอนั้นมีคำเล่นหางในชื่อ ซึ่งส่วนนี้มันสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของเราด้วยค่ะ”

จิ่งเป่ยเฉินปล่อยมือของเธอและเอามือของเขามาประสานไว้ตรงกลางอก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “ไหนลองพูดให้ฟังทีสิ”

“บริษัทจิ่งนั้นไม่ได้มีหยกที่เกี่ยวข้องมากเท่าไร แต่ครั้งนี้ผลิตภัณฑ์นี้มีการใช้หยกเสริมเข้าไป หยกคือความประทับใจแรกที่ผู้คนคิดว่ามันสะอาดและบริสุทธิ์ เฉกเช่นเดียวกับหญ้าที่มีน้ำค้างในยามเช้า”

ประโยคนี้ค่อนข้างราบเรียบ ทุกคำล้วนสื่อตรงกับแนวคิดใหม่ของผลิตภัณฑ์ที่จะวางจำหน่าย

มันทั้งสะอาดและบริสุทธิ์ จะช่วยทำให้ผู้คนกำจัดความคิดที่ว้าวุ่นจากใจออกไปได้

“พูดได้ดี เหมาะสมแล้วที่จะให้เธอเป็นโฆษกโฆษณานี้” หลังจากที่พูดจบ เขาก็ยื่นรายชื่อศิลปินและเอกสารอีกชุดหนึ่งให้เธอ

เมื่อสังเกตดูดี ๆ แล้ว มันเต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับหยกและผู้ผลิตหยกบางกลุ่ม

เธอสังเกตเห็นบริษัทหนึ่งที่สูญเสียเงินและอยู่ในสถานะที่ไม่แสวงหาผลกำไรทางการค้า ซึ่งเป็นบริษัทที่เพิ่งก่อตั้งและทำกำไรได้ติดต่อกันมาแล้วสามไตรมาส

“ประธานจิ่ง ทำไมคุณถึงได้สนใจหยก หรือว่าคุณชอบมันงั้นเหรอ?” อันโหรวเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติจนแทบไม่เป็นเสียงที่แหบเลยแม้แต่น้อย

เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้สนใจหยกขึ้นมา ก่อนหน้านี้ตระกูลอันขึ้นชื่อในเรื่องของยุทธภัณฑ์หยก เรียกว่าเป็นผู้ผลิตรายใหญ่เลยก็ว่าได้

เครือบริษัทจิ่งคือคู่แข่งรายใหญ่ของฝ่ายกลุ่มแผนการของแผนก TE ซึ่งก่อนหน้านั้นเธอยังไม่ได้ออกจากกลุ่มของพวก TE แต่อย่างใด และนั่นก็ทำให้เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับบริษัทจิ่งมาบ้าง

แม้ว่าในแง่อื่นเขาจะหันเหไป และบริษัทจิ่งก็คุมเชิงมาโดยตลอด แต่ว่าหยกนั้นถือว่าเป็นจุดอ่อนเลยก็ว่าได้

หากครั้งนี้เขาเริ่มลงทุนจี้ไปยังจุดอ่อน เม็ดเงินของมันก็จะมหาศาลและค่อนข้างเสี่ยงมาก

จิ่งเป่ยเฉินหัวเราะเบา ๆ “ก็แค่ฉุกคิดขึ้นมาโดยทันที อีกอย่างส่วนข้อมูลนี้ก็เป็นหยกที่ไม่เคยผ่านการประมูลหรือขายทอดตลาด อุตสาหกรรมจิ่งจึงคิดอยากจะลองเหยียบเข้าไปดู