จิ้งเยว่เป็นคนมีความละเอียดรอบคอบ แม้ปกติมักจะเงียบไม่พูดไม่จา แต่ทุกคำพูดของนางกลับแทงใจเป็นอย่างมาก
คำว่าอ๋องจงซานสามคำนี้เสมือนปุ่มเปิดปิดอย่างไรอย่างนั้น นัยน์ตาของพระสนมเต๋อเฟยฉายชัดให้เห็นถึงความหวาดกลัว
แต่เพียงไม่นานก็กลับเป็นปกติ
“บนโลกใบนี้มีสิ่งที่คล้ายคลึงกันมากมายนัก อีกอย่างเด็กคนนั้นจะรู้เรื่องราวที่เป็นความลับเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าว่าเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
“เหนียงเหนียง แม่เลี้ยงของเด็กคนนั้นเป็นคนของฮองเฮานะเพคะ ถ้าเป็นฮองเฮาที่พูดออกมาแล้วละก็ เบาะแสก็หาได้ไม่ยาก!”
ฮองเฮา!
‘ตึกตัก’ หัวใจของพระสนมเต๋อเฟยสั่นระรัว นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หากฮองเฮารู้เรื่องเข้าละก็ จะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“ไม่!”
“เหนียงเหนียง ถึงอย่างไรก็ระวังเอาไว้ก่อนเถิดเพคะ” คำพูดของจิ้งเยว่ทำให้เกิดเงาดำครอบคลุมทั้งหัวใจของพระสนมเต๋อเฟย
สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย ความกระวนกระวายบนใบหน้าเมื่อครู่เริ่มจางหายไป บางทีจิ้งเยว่น่าจะเดาเรื่องเหล่านี้เอาไว้หมดแล้ว
“รอดูก่อนแล้วกัน หยาเอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด เปิ่นกงเองก็ชอบนางมาก เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
หลินเมิ้งหยาที่กำลังอารมณ์ดีมิอาจรู้เลยว่านิยายเรื่องหนึ่งที่ตนเองได้เล่าออกไป จะทำให้หัวใจของพระสนมเต๋อเฟยรู้สึกเสมือนถูกหว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปแล้ว
การซื้อข้าทาสเป็นเพียงเรื่องภายในบ้านเท่านั้น
ทำเพียงขออนุญาตท่านอ๋อง เมื่ออีกฝ่ายมิได้คัดค้าน หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว นอกจากจะพาป๋ายจื่อและหลินจงอวี้ไปด้วยแล้ว หลินเมิ้งหยายังพาน้าจิ่นเยว่และพ่อบ้านเติ้งไปด้วย
หยาหางในสมัยโบราณ อันที่จริงก็เหมือนจงเจี้ยในสมัยปัจจุบัน
โดยจะมีพ่อค้าคนกลางเป็นผู้เสนอราคาให้กับผู้ซื้อและผู้ขาย จากนั้นพ่อค้าคนกลางเป็นผู้หักกำไรออกส่วนหนึ่ง
ส่วนหยาผอ1 คือผู้รับผิดชอบทำการค้าขายข้าทาสบริวารหรือแม้กระทั่งนางบำเรอ
แน่นอนว่าการค้าขายเช่นนี้แตกต่างจากการค้ามนุษย์ หยาผอที่สามารถทำการค้าขายกับพระตำหนักของท่านอ๋องได้ ล้วนทำการขออนุญาตจากทางการแล้ว อีกทั้งยังเห็นการค้ามนุษย์ได้น้อยมาก
แม้เงินที่ได้จากบ้านเหล่าเศรษฐีจะมากมาย แต่ข้อเรียกร้องเองก็มากตามเช่นเดียวกัน ลักษณะท่าทางจะต้องสง่างาม ฝีมือกลับกลายเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญที่สุดคือจะต้องมีจิตใจบริสุทธิ์
คิดอยากเข้ามาเป็นแรงงานทาสในวัง อันดับแรกจะต้องแสดงเอกสารประจำตัวของตนเอง เมื่อหยาผอตรวจสอบแล้วจึงจะได้รับคัดเลือก ต่อมาทาสเหล่านั้นจะถูกแบ่งออกเป็นระดับสาม หก เก้าและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงด่านแรกของการคัดเลือกคน
ปกติแล้วพ่อบ้านประจำครอบครัวเศรษฐีมักจะเป็นผู้เข้ามาดูแรงงานทาสเหล่านี้ เมื่อถูกใจผู้ใด ก็จะตรวจสอบเอกสารแสดงตัวตน จากนั้นต่อรองราคา ผูกพันธสัญญา ก่อนจะพาเข้าบ้านไปทำงาน
ทว่าในกรณีอย่างเช่นหลินเมิ้งหยาที่ผู้เป็นเจ้าบ้านเดินทางมาเลือกข้าทาสด้วยตนเอง นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงตรงไปยังใจกลางหยาหางซึ่งเป็นจุดที่ใหญ่ที่สุด
เหตุเพราะไม่ชอบทำอะไรเอิกเกริก ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงนั่งเพียงรถม้าเหนี่ยวเฟิงขนาดเล็ก พวกผู้หญิงและหลินจงอวี้นั่งอยู่ภายใน ส่วนพ่อบ้านเติ้งและคนคุมบังเหียนนั่งอยู่ด้านนอก
พามาเพียงองครักษ์สองคน สวมใส่ชุดเหมือนครอบครัวธรรมดาทั่วไป มิได้แตกต่างอันใดจากคนที่ผ่านไปมาเลยแม้แต่น้อย
“พ่อบ้านเติ้ง อีกนานหรือไม่กว่าจะถึงหยาหาง?” ป๋ายจื่อเป็นคนแรกที่ไม่อาจอดทนไหว แหวกผ้าม่าน โผล่ออกไปเพียงศีรษะ ก่อนจะส่งสายตาอิจฉาผู้คนที่เดินผ่านไปมาอยู่บนถนนด้านนอก
เมื่อคืนคุณหนูมอบเงินให้นางสิบสองตำลึง นางอยากนำมันไปซื้อของกินเพื่อดับความกระหายเต็มแก่แล้ว
“ใกล้แล้วล่ะ ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น คนบนถนนจึงขวักไขว่มากมายถึงเพียงนี้ เจ้ารายงานนายหญิงหน่อยว่าอีกเพียงสิบห้านาทีก็จะถึงหยาหางแล้ว” สายตาของพ่อบ้านเติ้งแฝงไว้ซึ่งความฉงน
ปกติแล้วถนนเส้นนี้สามารถวิ่งผ่านได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง เหตุไฉนวันนี้จึง…
คงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เพราะการที่พระชายาเสด็จออกจากพระตำหนักก็เป็นการตัดสินใจกะทันหัน ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือกำชับคนคุมบังเหียนให้ขับรถให้นิ่งที่สุด เพื่อที่จะได้พาพระชายาไปยังหยาหางได้อย่างปลอดภัย
“ที่ด้านหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน? เหตุใดจึงดูคึกคักถึงเพียงนี้?” หลินเมิ้งหยาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในรถม้า อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายที่ด้านนอก
คิ้วขมวดเข้าหากัน หากนางรู้ว่าวันนี้จะมีคนเดินถนนมากมายเช่นนี้ นางคงจะอยู่แต่เพียงในตำหนักชิงหลานไม่ขยับออกไปไหน
“ทูลพระชายา มิรู้ว่าเป็นจอมยุทธ์มาจากที่ใด เขาวางลานประลองไว้ที่ด้านหน้า พร้อมทั้งยังบอกอีกว่าจะประลองยุทธ์เลือกคู่ให้กับบุตรสาว เหตุเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ดังนั้นคนจึงหลั่งไหลมาอย่างมากมาย พระชายาอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ หยาหางอยู่ทางด้านหน้าแล้ว”
ประลองยุทธ์เลือกคู่? หลินเมิ้งหยาวางหนังสือในมือลง ชาติพบก่อนนางได้เห็นภาพบรรยากาศเหล่านั้นในละครทีวีเท่านั้น
ดูเหมือนจะเป็นการดูตัวในสมัยโบราณอย่างนั้นสินะ เพียงแค่ใช้วิธีการประลองยุทธ์เท่านั้น
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด สั่งให้พ่อบ้านขับรถม้าตามหลังคนเหล่านั้นและห้ามทำให้พวกเขาตื่นตระหนก
แสงประกายจากคมหอกคมดาบเจิดจ้าอยู่บนลานประลอง หลินเมิ้งหยามิได้สนใจวิทยายุทธ์การต่อสู้ ทว่าป๋ายจื่อกลับแหวกผ้าม่านออก แล้วแอบดูเหตุการณ์ตรงหน้ากับหลินจงอวี้อย่างออกรสออกชาติ
“คุณหนู คุณหนูรีบมาดูเร็วเจ้าค่ะ จอมยุทธ์บนเวทีช่างเก่งกาจเหลือเกิน สนุกมากเลยเจ้าค่ะ!” แม้จะไม่มีเมล็ดทานตะวันให้กิน อย่างน้อยการประลองที่ดูท่าทางสนุกครึกครื้นตรงหน้าก็ยังพอจะแทนที่ได้อยู่บ้าง
สุดท้ายก็ยังเป็นเด็ก ป๋ายจื่อและหลินจงอวี้จ้องมองพลางร้องบอกสถานการณ์ตรงหน้าให้ฟัง
หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกสงสัยขึ้นมา แม้จะเป็นการประลองยุทธ์หาคู่ แต่ปกติแล้วก็ไม่ควรจะมีคนมากมายขนาดนี้มิใช่หรือ?
ทว่าอยู่ๆ เหตุการณ์ตรงหน้าก็เปลี่ยนแปลงขึ้นมากะทันหัน
ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใด อยู่ๆ กลุ่มคนจึงกรูกันเข้ามาทางรถม้าที่หลินเมิ้งหยานั่งอยู่
ทหารองครักษ์ทั้งสองถูกกลุ่มคนพุ่งเข้าใส่จนกระเด็นออกไปไกล ส่วนพ่อบ้านเติ้งและคนคุมบังเหียนพยายามบังคับรถม้าด้วยความยากลำบากเพื่อจอดลงที่ข้างทาง
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินเมิ้งหยาแหวกผ้าม่าน โผล่หน้าออกมาเพียงครึ่งเดียว คิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าเผยให้เห็นความสงสัย
“ข้าน้อยไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ พระชายาโปรดอยู่ที่นี่ก่อน อย่าขยับไปไหนนะพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะไปตรวจสอบสักเล็กน้อย คุ้มครองพระชายาให้ดี” ใบหน้าของพ่อบ้านเติ้งเปี่ยมไปด้วยความสงสัย เพียงพริบตาเดียวคนกลุ่มนั้นก็พากันหายไป
คนคุมบังเหียนรับคำสั่งและเข้าไปคุ้มครองบริเวณประตูรถม้า
หลินเมิ้งหยากลับลงไปนั่ง ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
“พวกเจ้า อีกเดี๋ยวไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ห้ามออกห่างจากตัวข้าเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?” ไม่สิ หากมาเพียงเพื่อดูการแสดง แล้วเหตุใดคนที่กำลังดูการแสดงสนุกๆ อยู่จึงพุ่งตรงมายังรถม้าของนางกัน?
หรือเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอกกันแน่?
ไม่นาน เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านนอกรถม้า
“ไอ้คนหลอกลวงให้แต่งงานอยู่ในรถม้าคันนั้น! ข้าหาเจอแล้ว! อยู่ที่นี่!” เพียงได้ฟังก็รู้สึกว่าเสียงนั้นแหบแห้งเล็กน้อย แต่เป็นเสียงของผู้ชายอย่างแน่นอน
หลินเมิ้งหยาแหวกผ้าม่านออก ทว่านางกลับได้เห็นกลุ่มคนพุ่งตัวเข้ามาทางรถม้าของนาง
อีกทั้งพวกเขายังมีท่าทางขุ่นเคือง ชายร่างกำยำสิบกว่าคนในมือถือมีดถือปืน สายตาอาฆาตมาดร้าย เพียงได้เห็นก็รู้ว่าไม่อาจจัดการได้ง่ายๆ
“บังอาจนัก นี่เป็นรถม้าของท่านอ๋อง พวกเขากล้าเข้ามายุ่งย่ามอย่างนั้นหรือ?” น้าจิ่นเยว่ที่ไม่เคยเจอกับเหตุการณ์อุกอาจเช่นนี้มาก่อนขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ราวกับว่าต้องการกำราบพวกเขา
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับจับตัวน้าจิ่นเยว่เอาไว้
คนกลุ่มนั้น…ผิดปกติ!
“เร็วเข้า พวกเราต้องลงจากรถม้า!” ยังไม่ทันจะได้คิดอะไร หลินเมิ้งหยาก็รีบดันตัวอีกสามคนลงไป
คนคุมบังเหียนไม่อาจรับมือกับคนเหล่านั้นได้ เขาทำได้เพียงถือแส้เอาไว้และคอยคุ้มกันคนทั้งสี่อยู่ทางด้านหน้า พร้อมทั้งพาพวกเขาหลบอยู่ในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เพียงพริบตาเดียว เหล่าชายฉกรรจ์ที่มาพร้อมมีดและปืนก็พุ่งตัวมาถึงรถม้า ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร รถม้าก็ถูกทุบถูกรื้อ
รถม้าที่เคยสวยงามสมบูรณ์กลับพังทลายลงเพียงชั่วพริบตา
ป๋ายจื่อ หลินจงอวี้และน้าจิ่นเยว่อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจด้วยความตื่นตระหนก
หากไม่ใช่เพราะหลินเมิ้งหยาพาพวกเขาทั้งสี่ออกมาจากรถม้าได้ทัน เกรงว่าจุดจบของพวกเขาจะไม่ได้ต่างอะไรกับรถม้าเลย
หลินเมิ้งหยาเริ่มครุ่นคิดอย่างละเอียด เหตุใดคนกลุ่มนี้จึงเข้ามาทำลายรถม้าของนาง?
อีกทั้งเมื่อครู่ยังแผดเสียงร้อง…
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่ จะต้องหนีไปแล้วอย่างแน่นอน พี่น้องทั้งหลาย สกุลตงลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่าจะต้องจับตัวไอ้บ้านั่นเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ตาม!”
พังรถม้าแต่กลับไม่เจอใคร พวกเขาจึงกลับไปยังถนนสายเดิม
พวกกลุ่มคนเหล่านั้นแอบหยิบชิ้นส่วนที่แตกกระจายของรถม้าไปด้วย แม้แต่สัญลักษณ์ของรถม้าก็พากันหยิบติดไม้ติดมือไป ไม่นานในซอยแคบๆ แห่งนี้ก็เงียบสงบลง
“ออกมากันได้แล้ว คนพวกนั้นน่าจะเดินไปไกลแล้วล่ะ” หลินเมิ้งหยาออกมาดูเหตุการณ์ ผลปรากฏว่าไม่เห็นเงาของคนเหล่านั้นแล้ว
การออกจากบ้านในคราวนี้เป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหันของนาง แต่เรื่องนี้กลับสร้างความประหลาดใจให้กับนางเหลือเกิน
“เจ้าไปแจ้งข่าวกับพ่อบ้านเติ้งว่าข้าจะไปรอเขาที่หยาหาง” คนคุมบังเหียนของตำหนักอ๋องอวี้มีวิชาการต่อสู้บ้างเพียงเล็กน้อย หลินเมิ้งหยากลัวว่าพ่อบ้านเติ้งจะไม่รู้ว่าพวกนางได้หลบหนีออกมาแล้ว
ดังนั้นนางจึงสั่งให้คนคุมบังเหียนไปแจ้งข่าว
คนคุมบังเหียนซึ่งสวมใส่เสื้อผ้าสีดำพยักหน้าลง ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากซอยเพื่อออกไปหาพ่อบ้านเติ้ง
“พระชายาเพคะ หากไปที่หยาหางตอนนี้เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ถนนสายนี้กำลังวุ่นวาย สู้พวกเราแอบหลบอยู่ในซอยนี้กันก่อนไม่ดีกว่าหรือเพคะ” จิ่นเยว่ที่กำลังมองกลุ่มคนด้านนอกพยายามพูดโน้มน้าว
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับส่ายหน้า อีกฝ่ายมาพร้อมกับอาวุธครบมือ ตอนที่เกิดเรื่องพวกนางไม่อาจออกไปปะปนกับกลุ่มคนได้
ถ้าหากพวกเขาพุ่งเป้ามาที่นางจริง เกรงว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไปคงจะไม่ต่างอะไรจากหมูในอวย
“พวกเราไปหยาหางกันเถอะ!” หลินเมิ้งหยาตัดสินใจ อย่างน้อยที่หยาหางก็ยังมีคนของทางการคอยคุ้มกัน
บนถนนค่อนข้างวุ่นวาย ความครึกครื้นสนุกสนานเมื่อครู่กลับกลายเป็นความอลหม่าน
หลินเมิ้งหยาจับคนผ่านไปมาเอาไว้หนึ่งคนเพื่อไถ่ถามสองสามประโยค
ที่แท้หญิงสาวที่ถูกจับมาประลองยุทธ์หาคู่ก็เป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงามคนหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่ถูกอันธพาลพึงใจเข้า อันธพาลคนนั้นใช้เงินในการรวบรวมกลุ่มอันธพาล และให้คนเหล่านั้นผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปต่อสู้กับพ่อและหญิงสาวจนชนะ
แม้จะไร้ยางอาย แต่เพราะลั่นวาจาต่อหน้าสาธารณชนไปแล้ว อันธพาลใจโฉดคนนั้นต้องการชิงตัวหญิงสาว หญิงสาวจึงถีบเขาก่อนจะวิ่งหนีไป
ส่วนชายร่างกำยำสิบกว่าคนนั้นเป็นลูกน้องที่อันธพาลคนนั้นจ้างวาน
เพราะเหตุนี้ฝูงชนจึงกรูกันเข้ามายังรถม้าที่นางนั่ง
เสียงร้องตะโกนที่ดังออกมาเสียงนั้นแฝงไว้ซึ่งความเลวร้าย
“พี่สาว ระวัง!”
“คุณหนู ระวัง!”
เหม่อลอยเพียงครู่เดียว หลินเมิ้งหยากลับถูกผลักอย่างแรงจนร่วงพื้น
“โอ๊ย…”
“นายน้อยอวี้!”
ด้านหลัง เสียงร้องเจ็บปวดของหลินจงอวี้ดังขึ้น หลินเมิ้งหยารีบพลิกตัวลุกขึ้น ทว่านางกลับได้เห็นก้อนถ่านร้อนฉ่าหลายก่อนถูกโยนลงบนแผ่นหลังของหลินจงอวี้
ถ่านที่ถูกเผาไหม้จนได้ที่กระทบเข้ากับเสื้อผ้าและผิวหนังจนส่งกลิ่นเหม็นไหม้
หลินเมิ้งหยารีบหันไปมองทุกทิศทาง แต่นางกลับไม่เห็นร่องรอยของผู้กระทำ
“พี่สาว พี่…ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ?” หลินจงอวี้กัดฟันแน่น ใบหน้าเรียวเล็กขาวซีด เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดออกจากหน้าผากแล้วรินไหลลงมา
“พวกเจ้ารีบเข้ามาช่วยเร็วเข้า รีบเอาเศษถ่านออกจากร่างของเสี่ยวอวี้!
*****************************
1 หยาผอคือผู้หญิงที่ทำหน้าที่จัดหาแรงงานมนุษย์เพื่อการค้าขาย