จินเฟยเหยาแล่นกลับมายังเรือนของตนเอง ก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ นางเห็นผู้อื่นทำเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกแค่ทั้งน่าขำและน่าสนุก
ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสองนางนั้นน่าจะฝึกวิชาบำเพ็ญคู่โดยเฉพาะ อาศัยการบำเพ็ญคู่กับบุรุษหาศิลาวิญญาณมาฝึกบำเพ็ญ ถึงแม้จะหาเงินได้สบายๆ และไม่มีอันตราย ทั้งตอนบำเพ็ญคู่ยังสามารถยกระดับพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเองได้ด้วย แต่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีส่วนมากยังไม่ยอมอาศัยวิธีการเช่นนี้มาฝึกบำเพ็ญ
จินเฟยเหยาก็ไม่ได้ดูถูกพวกนาง แต่ละคนล้วนมีวิธีการดำเนินชีวิตของตนเอง ไม่มีใครสูงส่งกว่าใคร ขอเพียงไม่ขัดขวางนาง ผู้อื่นจะทำอะไรล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง
หลังจากหัวเราะแล้ว นางก็กลับมายังห้องหลอมยา คิดจะทดลองหลอมยาดูสักเตาก่อน
ที่จริงการใช้ไฟพิภพง่ายดายยิ่ง เพื่อจะได้เห็นท่าทางขัดเขินของนางติงจี้จึงบอกเล่าประสบการณ์ตอนหลอมยาของตนเองให้นางฟัง ถึงจะเป็นเพียงประสบการณ์หลอมยาที่ล้าสมัย ก็ดีกว่าจินเฟยเหยาที่ไม่รู้อะไรเลยมากนัก
เตรียมทุกอย่างพรักพร้อมแล้ว นางร่ายอาคมก่อน รวมพลังวิญญาณเป็นบอลแสงเล็กๆ บนนิ้วมือ จากนั้นดีดไปยังหัวพยัคฆ์ซึ่งเป็นทางออกไฟในหลุมไฟพิภพ ทางออกถูกพลังวิญญาณกระตุ้นก็พุ่งเปลวเพลิงอันร้อนผ่าวออกมา นางเปิดทางออกไฟทั้งหกทางตามวิธีนี้ พริบตาก็มีคลื่นความร้อนในห้องหลอมยาอย่างต่อเนื่อง พักหนึ่งก็ทำให้นางร้อนจนเหงื่อออกเต็มศีรษะ
จินเฟยเหยาพับแขนเสื้อขึ้น นำเตาหลอมยาทองม่วงออกมาอุ่นกลางไฟพิภพก่อน จากนั้นนั่งลงขัดสมาธิ หลับตาอ่านขั้นตอนการหลอมสร้างยาขับสิ่งปนเปื้อนในสมองอย่างละเอียด หลังจากทั้งภายในและภายนอกของเตาหลอมยาทองม่วงถูกเผาจนแดง นางก็ลืมตาขึ้นเตรียมหลอมยา
ใช้พลังวิญญาณเปิดฝาเตาหลอมยาออก จากนั้นนางทำตามขั้นตอน ใส่หญ้าซิงหมาง ผลลิ่วลิ่ว โสมดินเหลือง และตัวยาสำคัญอื่นๆ สิบชนิดลงในเตาหลอมยาตามลำดับ จากนั้นปิดฝา ให้พวกมันค่อยๆ หลอมละลายในเตา จากนั้นใช้อัตราเร็วทุกครึ่งชั่วยามใส่หญ้าวิญญาณชนิดหนึ่งลงในเตาหลอมยา จนกระทั่งใส่หญ้าวิญญาณทั้งหมดลงในเตาหลอมยา จากนั้นจินเฟยเหยาก็รอให้เตาหลอมยาหลอมละลายหญ้าวิญญาณทั้งหมดเข้าด้วยกัน นางนำอาวุธเวทน้ำเต้าที่บรรจุน้ำบ่อออกมา จับจ้องเตาหลอมยาอย่างตึงเครียด ได้แต่รอเวลาให้ยาหลอมสำเร็จแล้วจุ่มน้ำรอบหนึ่ง
เดิมทีใช้น้ำพุวิญญาณที่มีพลังวิญญาณจะดีที่สุด ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนตัวเล็กๆ เช่นนาง ไม่มีของดีๆ แบบนั้น ได้แต่กล้อมแกล้มใช้น้ำบ่อธรรมดาทั่วไป ยาระดับสูงบางชนิด ตอนจุ่มน้ำต้องใช้โลหิตสัตว์ปิศาจระดับสูง จึงสามารถหลอมยาออกมาได้
“กิ๊ง” เตาหลอมยาเริ่มสั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฝาก็สั่นไม่หยุด ราวกับมีบางอย่างกำลังพุ่งชนเตาหลอมยา นี่คือยาใกล้จะขึ้นรูป ปรากฏการณ์นี้ต้องการการจุ่มน้ำเป็นขั้นสุดท้าย
จินเฟยเหยารีบยกนิ้ว ฝาเตาหลอมยาลอยขึ้นมา นางใช้มือโบก น้ำบ่อในน้ำเต้าพ่นออกมาแล้วพุ่งเข้าไปในเตาหลอมยาทั้งหมด ได้ยินเสียง ‘ชี่’ ไอน้ำพุ่งออกมาจากเตาหลอมยา ฝาปิดลงอีกครั้ง เตาหลอมยาสงบลง
จินเฟยเหยาเห็นเช่นนั้นคิดว่าน่าจะหลอมเสร็จแล้ว จึงปิดไฟพิภพทั้งหมด จากนั้นใช้เวทควบคุมวัตถุเคลื่อนย้ายเตาหลอมยาออกมา เปิดฝาและมองเข้าไปด้านใน ในเตาหลอมยามีเพียงเศษซากสีดำกองหนึ่ง นางเขี่ยเศษซากอยู่นาน ก็ไม่เห็นยาที่ขึ้นรูปสักเม็ด ท่าทางจะล้มเหลว
จินเฟยเหยาจับศีรษะ ไม่รู้ว่าทำผิดตรงขั้นตอนใด ทิ้งเศษซากในเตาหลอมยา ใช้น้ำล้างให้สะอาดอีกครั้ง จากนั้นนางไม่ได้หลอมยาเตาที่สองต่อ หลอมยาเปะปะเช่นนี้ไม่ใช่วิธีที่ดี ต้องหาคนมาถามประสบการณ์เรื่องหลอมยาหน่อย ประสบการณ์ของติงจี้ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
ทันใดนั้น นางพลันนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานมาบรรยาย ครั้งที่แล้วนางออกไปล่าเต่าเกราะเหล็กกับพวกหัวหน้าพอดีจึงไม่ได้ไปฟัง ได้ยินคนอื่นบอกว่า ครั้งที่แล้วบรรยายเกี่ยวกับการสร้างยันต์กระดาษ ถึงจะแค่เอ่ยถึงจุดสำคัญอย่างง่ายๆ เพราะไม่อาจตัดใจนำประสบการณ์ที่ตนเองศึกษาทั้งหมดออกมา ยังทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนสร้างยันต์ขั้นฝึกปราณได้รับประโยชน์ไม่เบา
จินเฟยเหยานึกถึงตรงนี้ ก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะลองไปดู ถ้าบังเอิญได้ฟังการบรรยายเรื่องหลอมยาก็ดี ถ้าหากไม่ใช่ ยังแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ได้ พึ่งพาแต่ประสบการณ์แบบงูๆ ปลาๆ ของติงจี้เช่นนี้ ไม่หลอมจนตนเองกลายเป็นคนยากจนก็แปลกแล้ว
ตอนกลางคืนแช่น้ำแกงยาวิญญาณเหมือนเดิม มุมห้องฝึกบำเพ็ญถูกนางทำเป็นห้องอาบน้ำ วางอ่างไม้ขนาดใหญ่ที่สามารถให้คนผู้หนึ่งลงไปแช่น้ำได้ ทั้งยังทำชั้นวางเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนอาบน้ำและผ้าเช็ดหน้า ต่อมาเพราะแช่นาน นางจึงนำเครื่องดื่มและของกินเข้ามาด้วย ดูไปแล้วทั้งห้องบำเพ็ญเซียนยิ่งเหมือนบ้านธรรมดา
เช้าตรู่วันที่สอง นางจัดแจงตามสบาย แล้วรีบไปเวทีฟังตำรา ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณในสำนักเฉวียนเซียนมีมากมาย ถ้าไปสายก็จะแย่งที่นั่งดีๆ ไม่ได้ นางวิ่งเหยาะๆ อย่างไม่สง่างามเลยสักนิดไปเวทีฟังตำรา เห็นคนจำนวนมากมาชุมนุมกันด้านล่างเวที
เวทีฟังตำราอยู่ในที่พักของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณในสำนักเฉวียนเซียนที่จินเฟยเหยาอาศัยอยู่ เพื่อแสดงว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่มาบรรยายมีศักดิ์ฐานะไม่เหมือนกัน จึงเลือกเรือนฟังตำราที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดตรงกลางคฤหาสน์โดยเฉพาะ
ทั้งเรือนนอกจากสนามหญ้าสีเขียว มีเพียงแท่นกว้างสามจั้งสูงครึ่งจั้งที่สร้างขึ้นกลางเรือน บนแท่นปูเสื่ออันเกลี้ยงเกลาที่ทำขึ้นจากมืออย่างประณีต รอบด้านไม่มีราวจับ ให้ผู้บำเพ็ญเซียนบนแท่นบรรยายได้สะดวก อีกทั้งผู้บำเพ็ญเซียนที่บรรยายล้วนเป็นขั้นสร้างฐาน มีเวทมนตร์ขยายเสียงนานาชนิด ไม่ต้องกลัวว่าพื้นที่กว้างผู้อื่นจะไม่ได้ยิน
สถานที่ใกล้ๆ แท่น มีผู้บำเพ็ญเซียนนั่งล้อมเป็นวงกลม คนที่นั่งแถวแรกน่าจะมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ขยันเรียนยิ่งนัก
จินเฟยเหยาเดินรอบแท่น คิดจะหาสถานที่มีผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเยอะๆ บุรุษน้อยๆ ก็ได้ยินคนตะโกนเรียกตนเองในกลุ่มคน นางเงยหน้าขึ้นมองไป ก็เห็นคนงามที่หลุดพ้นโลกีย์ยืนโบกมือให้นางอยู่ในกลุ่มคน
“ที่แท้เป็นสหายเซียนหลิ่ว เจ้ามาเช้ายิ่ง” คนผู้นี้พอดีเป็นหลิ่วฉี่ปอที่เคยพบหน้ากันครั้งหนึ่ง เห็นตำแหน่งที่นางอยู่ใกล้ด้านหน้า รอบด้านไม่ค่อยเบียดเสียดนัก จินเฟยเหยาจึงเดินเข้าไปทักทาย
เพราะคนรอบด้านล้วนนั่งอยู่ พวกนางสองคนยืนคุยกันไม่ค่อยดีนัก ทั้งสองคนจึงนั่งลงเคียงข้างกัน
“สหายเซียนจิน นับตั้งแต่จากกันวันนั้น ก็ไม่ได้พบสหายเซียนอีก ขนาดฟังบรรยายยังไม่เคยเห็นเจ้ามา” หลิ่วฉี่ปอมองนางแล้วเอ่ยเบาๆ
จินเฟยเหยานึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้นางบอกให้ตนเองไปหา ทว่าตนเองลืมสนิท ได้แต่เอ่ยอย่างขัดเขิน “ช่วงนี้ข้ายุ่ง ไม่มีเวลาว่าง วันนี้ว่าง ได้ยินว่ามีการบรรยายจึงมา ไม่รู้ว่าเรื่องที่บรรยายในวันนี้คืออะไร? จะได้เรียนสิ่งที่ข้าต้องการหรือไม่”
“สหายเซียนจินคิดมากเกินไป ไม่ว่าบรรยายเรื่องอะไร ก็เป็นประสบการณ์ความรู้ของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ล้วนมีประโยชน์สำหรับพวกเรา ฟังจากน้ำเสียงของสหายเซียนจิน ดูเหมือนจะมีเรื่องที่อยากเรียนเป็นพิเศษ?” หลิ่วฉี่ปอเอามือป้องปากหัวเราะอย่างงดงาม
“ตอนนี้ข้ากำลังเรียนหลอมยา ยังไม่สำเร็จเลยสักครั้ง อยากฟังประสบการณ์ความรู้ของผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ การปิดประตูต่อรถ[1]นี้คืบหน้าช้าเกินไป” จินเฟยเหยาเคยหลอมยามาครั้งหนึ่ง นางอยากสอบถามประสบการณ์ความรู้เรื่องหลอมยาจากหลิ่วฉี่ปอ จึงคุยโวถึงความล้มเหลวของตนเอง ทั้งยังส่ายศีรษะบ่นกับนางอย่างน่าสงสาร “ข้าใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเก็บศิลาวิญญาณได้บ้าง ซื้อหญ้าวิญญาณราคาถูกมาหลายชุด ทั้งหมดเผาไหม้จนกลายเป็นเศษซากสีดำ ยังหลอมยาให้ขึ้นรูปเพียงครึ่งเม็ดไม่ได้เลย ต่อไปต้องอยู่อย่างรัดเข็มขัดแล้ว”
หลิ่วฉี่ปอได้ฟังก็ขมวดคิ้ว ราวกับครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่ ส่วนจินเฟยเหยานั่งหน้าม่อยคอตกอยู่ด้านข้าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลิ่วฉี่ปอดูเหมือนจะคิดได้ จึงยิ้มเอ่ยกับจินเฟยเหยาว่า “สหายเซียนจิน เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ควบคุมการละลายเข้าด้วยกันให้ดีตอนหลอมยา ใช้กำลังไฟแรงเกินไป” จากนั้นนางก็เข้ามาใกล้หูจินเฟยเหยา เอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนหลอมยาเจ้าแค่แบ่งสมาธิจิตส่วนหนึ่งไปอยู่ในเตาหลอม ก็สามารถใช้การรับรู้ตรวจสอบสภาพของหญ้าวิญญาณได้ พอความกำลังไฟได้ที่ ก็รีบตัดตอนทันที ไม่จำเป็นต้องอาศัยการบ่งบอกของใบสั่งยาที่ล้าสมัยและลักษณะภายนอกของเตาหลอมมาตัดสินใจ”
“สหายเซียนหลิ่ว เจ้าเป็นคนดีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะยอมบอกเรื่องนี้กับข้า ถ้าให้ข้าครุ่นคิดเอง ก็ไม่รู้ว่าข้าจะคิดได้เมื่อใด ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรดี” ที่จินเฟยเหยารอคอยคือตอนที่นางทนดูไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเป็นฝ่ายบอกนางเอง ตอนนี้แผนการร้ายประสบผลก็แสดงท่าทางซาบซึ้งอย่างคาดไม่ถึง
หลิ่วฉี่ปอส่ายศีรษะเอ่ยยิ้มๆ ว่า “สหายเซียนจินเกรงใจไปแล้ว นี่เป็นแค่ประสบการณ์เล็กน้อยที่ข้าได้เรียนรู้มาตอนหลอมยาเป็นประจำ ไม่นับว่าเป็นอะไร ถ้าอยากจะช่วย ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากรบกวนสหายเซียนจิน”
“หา…” จินเฟยเหยาอ้าปากอย่างตกตะลึง มีจริงๆ หรือ
เห็นท่าทางตกตะลึงของนาง หลิ่วฉี่ปอใช้นิ้วปิดปากหัวเราะอีกครั้ง “สหายเซียนจินไม่ต้องกังวล สำหรับเจ้าแล้วถือเป็นเรื่องดี”
“เปล่า ข้ามิได้ไม่ยินยอม เรื่องอันใด เชิญสหายเซียนหลิ่วกล่าวมา” จินเฟยเหยาขัดเขินนิดๆ โชคดีที่หนังหน้านางหนาพอ พอได้สติขึ้นมาก็เอ่ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ข้ารับงานช่วยผู้อื่นเก็บหญ้าวิญญาณมา มิได้รับมาจากสำนักเฉวียนเซียน ได้ค่าตอบแทนไม่เลว คนหนึ่งได้ถึงหนึ่งพันศิลาวิญญาณ เพราะมีคนไม่พอดังนั้นจึงคิดจะให้สหายเซียนจินไปด้วยกัน”
จินเฟยเหยาส่ายศีรษะเอ่ยว่า “แค่เก็บหญ้าวิญญาณ ถึงกับให้ค่าตอบแทนสูงขนาดนี้ คาดว่าคงอันตรายมาก”
หลิ่วฉี่ปอพยักหน้าไม่ปฏิเสธ “นั่นเป็นบัวเซียนอัคคีอายุหกร้อยปี มีภูติศพที่กลายร่างแล้วตัวหนึ่งเฝ้าอยู่ เพิ่งเข้าสู่ขั้นสามเท่านั้น ยังไม่สำเร็จวิชา”
“ภูติศพ ถ้าเพิ่งเข้าสู่ขั้นสาม ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจำนวนมากหน่อยยังสามารถจับกุมได้” จินเฟยเหยารู้จักของสิ่งนี้ เกิดขึ้นหลังจากซากศพของผู้บำเพ็ญเซียนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ ภูติศพขั้นสามเพิ่งมีสติปัญญา นอกจากหน้าตาน่าขยะแขยง มีพลังมากเป็นพิเศษและมีพิษร้ายแรง ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว
“ภูติศพไม่ใช่ปัญหา ข้อสำคัญคือบัวเซียนอัคคีงอกอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ด้านในมีแมงมุมตาผีขั้นหนึ่งมากมาย และยังมีแมงมุมตาผีขั้นสองที่เป็นหัวหน้าอยู่เล็กน้อย ภารกิจของพวกเราคือจัดการแมงมุมตาผีที่อยู่ในเส้นทาง พวกเราสามารถนำวัตถุดิบบนตัวแมงมุมตาผีไปได้” คำพูดต่อมาของหลิ่วฉี่ปอทำให้จินเฟยเหยาเงียบงัน
แมงมุมตาผีรังหนึ่งให้กำเนิดลูกนับร้อย ทั้งยังอยู่ในถ้ำ จำนวนไม่ได้มากจนทำให้คนตกใจ ถึงแม้วัตถุดิบหลังจากฆ่าแมงมุมตาผีตายจะสามารถทำเงินได้ก้อนเล็กๆ แต่ว่าถ้าถูกตัวหัวหน้าที่เป็นสัตว์ปิศาจขั้นสองอุดทางในอุโมงค์ถ้ำแคบๆ หากคิดจะหนีก็หนีลำบาก
เห็นจินเฟยเหยามีสีหน้าลังเล หลิ่วฉี่ปอจึงเอ่ยอีกว่า “สหายเซียนจินวางใจได้ พวกเราไม่ได้ไปกันสองคนแน่นอน ข้าเตรียมจะเรียกมาอีกคนหนึ่ง และคนมอบภารกิจให้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน เขาก็จะพาคนมาหลายคน ได้ยินว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระคนอื่นๆ รับภารกิจด้วย ถึงตอนนั้นน่าจะมีสิบกว่าคน อย่างไรเสียศิลาวิญญาณก็คงที่ ได้คนละส่วน คนยิ่งมากพวกเราก็ยิ่งได้กำไร ใครฆ่าแมงมุมตาผีได้ก็เป็นของคนนั้น ถึงตอนนั้นเอากระเป๋าเก็บของไปหลายๆ ใบ นำซากกลับมาหลังจากภารกิจเสร็จสิ้นค่อยเอาวัตถุดิบที่ใช้ได้ไป”
ฟังคำอธิบายของนาง จินเฟยเหยารู้สึกว่าแบบนี้ยังพอได้ มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคอยจับตาดู ทั้งยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมากมายตามมาด้วย ตนเองก็ถือว่าติดตามไปเป็นผู้ช่วย เรื่องได้ประโยชน์แบบนี้เหตุใดจะไม่ไป
“ได้ ข้าจะไปกับสหายเซียนหลิ่วสักครา”
[1] ปิดประตูต่อรถ หมายถึง ทำงานโดยไม่นึกถึงสภาพความเป็นจริง เหมือนปิดประตูต่อรถที่ไม่คำนึงถึงว่าล้อสองฝั่งจะลงรางได้หรือไม่