บทที่ 35 พวกเราอยากทะเลาะกัน

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง นัดออกเดินทางอีกเจ็ดวันให้หลัง และผู้บำเพ็ญเซียนที่มาฟังบรรยายยิ่งมากขึ้นทุกที ใต้แท่นฟังตำรามีผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเฉวียนเซียนนั่งอยู่เต็มไปหมด บางคนเข้าสำนักเฉวียนเซียนตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ตอนนี้อายุห้าหกสิบปีแล้ว ยังอยู่ที่ขั้นฝึกปราณทะลวงขึ้นขั้นสร้างฐานไม่ไหว คนเหล่านี้ส่วนมากรู้จักกัน เรือนฟังตำราที่ถือว่าเงียบสงบ เพราะการสนทนาระหว่างคนคุ้นเคยกลายเป็นเสียงดังเอะอะขึ้นมา

จินเฟยเหยารู้จากหลิ่วฉี่ปอปกติหลังจากบรรยายเสร็จสิ้น ทุกคนจะรั้งอยู่แลกเปลี่ยนสิ่งของหรือแลกเปลี่ยนประสบการณ์การฝึกบำเพ็ญ มีความครึกครื้นแบบนี้เดือนละครั้ง และตอนนี้คนที่มีฝีมือเชี่ยวชาญก็จะเนื้อหอมอย่างยิ่ง

อย่างเช่นผู้บำเพ็ญเซียนที่หลอมยา สร้างยันต์ กางวงเวท และหลอมสร้างอาวุธเป็น รอบกายมักจะมีคนเบียดเสียด อยากจองล่วงหน้าหรือซื้อสิ่งของจะได้ราคาถูกกว่าข้างนอก มีคนรับภารกิจในสำนัก ไม่อยากนัดคนร่วมเรือนไปด้วยกัน ก็จะหาสหายร่วมทีมที่มีเคล็ดวิชาเหมาะสมกับตนเองในตอนนี้

เวทมนตร์ที่ผู้บำเพ็ญเซียนใช้เป็นจะมีผลกระทบต่อภารกิจที่ทำ เหมือนผู้บำเพ็ญเซียนที่ฝึกเวทธาตุน้ำเป็นหลัก ไปสถานที่ประเภทชายทะเลหรือในแม่น้ำใช้แรงเพียงครึ่งเดียวจะประสบผลสองเท่า ทว่าหากให้เขาไปทำภารกิจที่ทะเลทรายหรือภูเขาที่ปราศจากน้ำ นั่นคือจะเอาชีวิตของเขา ไม่มีประโยชน์แถมยังขวางทาง

เวทที่จินเฟยเหยาฝึกบำเพ็ญเป็นหลักคือเวทมนตร์ธาตุอะไร ตัวนางเองก็ไม่รู้ ‘เคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ’  มองอย่างไรก็ไม่จัดอยู่ในประเภทธรรมดา นางจัดให้ตนเองอยู่ในธาตุผี แล้วก็รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าฟัง ดังนั้นเมื่อคนอื่นถามนางว่าฝึกอะไรเป็นหลัก นางก็บอกว่าฝึกธาตุไฟเป็นหลัก ในความเห็นนาง ไฟนรกก็คือไฟ น่าจะพอฝืนใจนับเช่นนั้นได้

ครั้งที่แล้วหลิ่วฉี่ปอเคยถามนาง ดังนั้นครั้งนี้จึงอยากเรียกนางไปด้วย เพราะว่าสิ่งที่แมงมุมตาผีหวาดกลัวมากที่สุดคือเวทธาตุไฟ พอโยนไฟเข้าไปก็เผาตายได้หลายตัว

ขณะที่ทุกคนสนทนากันอย่างตื่นเต้นยินดี ก็มีเสียงระฆังดังแสบแก้วหูดังมาจากท้องนภา สะกดเสียงทุกคนลงไป นี่คือระฆังก่วงเทียนของสำนักเฉวียนเซียน ทุกครั้งตอนบรรยาย ล้วนใช้สำหรับเตือนพวกเขาล่วงหน้าว่าผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานที่บรรยายมาแล้ว ให้เงียบเสียงลงอย่างมีระเบียบ

เสียงระฆังบัดเดี๋ยวแผ่วโหยบัดเดี๋ยวกระชั้นถี่ ลากเสียงยาวเนิ่นนานจึงได้หยุดลง เรือนฟังตำราที่มีเสียงเอะอะ ยามนี้เงียบกริบ เงียบจนเข็มเล่มหนึ่งตกพื้นก็ยังได้ยิน

ผู้ใดจะรู้ว่าในขณะนี้เอง มีคนผายลมออกมาเสียงดัง รอบด้านที่เงียบเป็นเป่าสากชะงักไปครู่หนึ่ง  ทันใดนั้นพลันระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เดิมทีผายลมตอนมีคนเยอะๆ ก็มีเพียงคนที่อยู่ใกล้ที่สุดหลายคนได้ยิน ทว่าเมื่อครู่ทั้งเรือนเงียบกริบอย่างน่ากลัว เสียงผายลมนี้จึงดังสนั่นหวั่นไหว

จินเฟยเหยาเองก็กุมท้องหัวเราะจนน้ำตาเล็ด นางเช็ดน้ำตา มองไปทางด้านที่มีเสียงดังมา ปากยังเอ่ยว่า “ใครกันแน่ จึงทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ในยามที่จริงจัง”

ตอนนางลุกขึ้นยืนมองเห็นคนผิดที่นั่งโดดเดี่ยวและรอบกายเป็นพื้นที่ว่าง ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นี่หลี่เอ้อร์เกินมิใช่หรือ ผู้บำเพ็ญเซียนรอบกายของเขาทั้งหมดหนีไปอยู่ไกลๆ เขายังนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างโง่งม กินมันเผาอย่างไม่ใส่ใจ และยังถามผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านว่าอยากกินหรือไม่

จินเฟยเหยารีบนั่งหันหลังให้เขา ก้มหน้าลงแล้วใช้มือปิดใบหน้า นางไม่อยากถูกหลี่เอ้อร์เกินจดจำได้ หากทักทายนางขึ้นมายังรับไหวอยู่หรือ

ในยามนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่มาบรรยายก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเหยียบกระบี่บินเล่มหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศอย่างน่าเกรงขาม นี่เป็นการบรรยายครั้งแรกของเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ก่อนหน้านี้ยังสอบถามขั้นตอนคร่าวๆ กับผู้บำเพ็ญเซียนที่รู้จักกันโดยเฉพาะพอรู้แล้วจึงใช้กระบี่เวทที่ทรงอำนาจมากที่สุดของตนเองแหวกนภามา

เขาได้ยินเสียงระฆังก่วงเทียนแต่ไกล จึงจงใจเหินบินช้าลง เตรียมปรากฏตัวต่อหน้ากลุ่มผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ อย่างมีมาด ไหนเลยจะรู้ ตอนเขาบินมาถึงเหนือแท่นฟังตำรา กลับเห็นผู้เยาว์รุ่นหลังขั้นฝึกปราณเหล่านั้นกำลังหัวเราะกันลั่น รอบด้านมีเสียงเอะอะ ไม่ได้เงียบเสียงอย่างเคารพนบนอบเหมือนที่เคยได้ยิน

ผู้อื่นมาบรรยาย ผู้เยาว์รุ่นหลังเหล่านี้ยังเคารพนบนอบ กลัวว่าจะล่วงเกินพวกเขา ตนเองมาบรรยาย คิดไม่ถึงว่าจะได้รับการหยามเกียรติเช่นนี้ เขาอดมีโทสะไม่ได้ คิดจะสะบัดก้นจากไป พอคิดถึงว่าการบรรยายนี้เป็นภารกิจบังคับ อย่างไรก็ต้องอยู่หนึ่งชั่วยาม จะไม่ไปก็ไม่ได้ จึงเอ่ยกับคนทั้งเรือนอย่างเดือดดาลและปลดปล่อยพลังกดดันที่แฝงไอสังหารออกมาอย่างเปี่ยม

ผู้บำเพ็ญเซียนที่เอะอะด้านล่างถูกพลังกดดันของเขาสั่นสะเทือน จึงพบว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่มาบรรยายมาแล้ว ทั้งยังมาอย่างแปลกหน้า และน่ากลัวจนต้องรีบนั่งลงอย่างเงียบสงบ ไม่กล้าเคลื่อนไหววุ่นวาย

พอเห็นรอบด้านเงียบสงบลง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานก็ขี่กระบี่บินร่อนลงบนแท่น สีหน้าเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็งกวาดมองกลุ่มคน ตนเองนั่งขัดสมาธิเงียบๆ บนแท่นบรรยาย

พอเขานั่งก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน และยังไม่เก็บพลังกดดันกลับคืน ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนที่อยู่ด้านล่างร้องโอดโอยไม่หยุด อย่าเห็นว่าพลังกดดันเป็นเพียงพลังวิญญาณและไอสังหารที่รั่วไหลออกมาจากผู้บำเพ็ญเซียน ทว่าของเพียงพลังบำเพ็ญเพียรแตกต่างกันมาก ก็สามารถกลายเป็นอาวุธสังหารคนได้

ผู้บำเพ็ญเซียนท่านนี้มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงกลางแล้ว พลังกดดันของเขาจึงมีอานุภาพต่อผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณอย่างมาก ถึงจะมิได้สังหารคนโดยไร้รูป ทว่าก็ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อ ด้านหลังมีความเย็นเยียบอันบอกไม่ถูกหลายสายลอยขึ้นเหมือนมีใบมีดกรีดผ่าน พลังกดดันของจิตใจที่แข็งแกร่งทำให้พวกเขาเหมือนนั่งอยู่บนเข็ม ใจหนึ่งอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ทว่ากลับไม่กล้าขยับ

สุดท้าย ตอนที่ทุกคนใกล้จะทนไม่ไหว เขาก็คิดว่าน่าจะได้เวลาแล้ว จึงยืนขึ้นเก็บพลังกดดันบนร่าง

ผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนต่างโล่งอก ทว่ายังไม่รอให้ทุกคนได้สติคืนมา ก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานผู้นั้นเอ่ยอย่างเย็นชา “เรื่องที่ข้าจะบรรยายในวันนี้คือ ขี่อาวุธเวทเหินบิน พวกเจ้าทั้งหมดดูให้ดี”

พอสิ้นเสียง เขาก็เหยียบขึ้นบนกระบี่บินที่แวววับจับตาเล่มนั้น แล้วแหวกนภาหายไปกลางอากาศ เหลือเพียงเงาหลังไว้ให้เหล่าผู้บำเพ็ญเซียน

ทุกคนยังนั่งเงียบอยู่ที่เดิม มองเขาหายไปกลางท้องนภาในเวลาไม่กี่อึดใจ มิใช่พวกเขาไม่อยากจากไปทันที ทว่าถูกพลังกดดันบีบคั้นอยู่หนึ่งชั่วยาม ขาอ่อนไปนานแล้ว ต้องนั่งฟื้นฟูเรี่ยวแรงอยู่ที่เดิม

“โชคดีที่เขาไปแบบนี้ ทั้งหมดต้องโทษเจ้าคนผายลมนั่นที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน” หลิ่วฉี่ปอหอบหายใจแฮ่ก ขมวดคิ้วเอ่ย

สภาพของจินเฟยเหยาก็ไม่ดีกว่านางเท่าใด ทว่าไม่กล้าเอ่ยว่าตนเองรู้จักหลี่เอ้อร์เกิน จึงได้แต่เอ่ยอย่างโกรธแค้น “จริงๆ เลย แก่ป่านนี้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะทำเรื่องน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ นั่งโง่งมอยู่บนแท่นรังแกคน ผู้อาวุโสอะไร ไร้เหตุผลสิ้นดี”

“สหายเซียนจิน เจ็ดวันให้หลังพวกเราจะออกเดินทางแต่เช้าตรู่ เจ้าอย่าลืมเสียล่ะ ถึงตอนนั้นข้าจะรอเจ้าตรงประตูใหญ่” หลิ่วฉี่ปอยืนขึ้น นวดขาที่เป็นเหน็บชา

ทุกคนมาฟังบรรยายแต่เช้า สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าต้องมารับการลงทัณฑ์เปล่าๆ รอบหนึ่ง ทั้งหมดกล่าวโทษเจ้าอ้วนที่ผายลมผู้นั้น ขณะที่คิดจะหาตัวเจ้าอ้วนคนนั้นมาคิดบัญชี กลับพบว่าเขาหนีไปนานแล้ว

เห็นผู้บำเพ็ญเซียนอารมณ์ฉุนเฉียวตามหาหลี่เอ้อร์เกินไปทั่ว ทั้งยังสอบถามว่าเจ้าอ้วนเป็นใคร เป็นคนของเรือนใด จินเฟยเหยารีบหนีออกไปตามฐานกำแพง นึกถึงยารวมปราณที่ใกล้จะกินหมดแล้ว นางก็เตรียมไปซื้ออีกสิบเม็ด จากนั้นค่อยซื้อหญ้าวิญญาณหลอมสร้างยารวมปราณสิบชุด รอจนหลอมหญ้าวิญญาณของยาขับสิ่งปนเปื้อนเสร็จสิ้น จึงหยิบมาทดลองดู

“จินเฟยเหยา!”

จินเฟยเหยาเดินอยู่บนถนนใหญ่ พลันได้ยินคนเรียกชื่อนางอย่างตกตะลึง ฟังดูแล้วเหมือนสัตว์ปิศาจอะไรสักอย่างถูกคนบีบคอไว้ นางหันหน้าไปมอง มีคนห้าหกคนอยู่ไม่ไกลนัก สตรีคนหนึ่งในนั้นกำลังฉุดลากบุรุษข้างกายอย่างเอาเป็นเอาตาย ชี้นางแล้วเอ่ยอะไรอย่างร้อนใจ

“ซวยจริงๆ ทำไมจึงเจอพวกเขาได้” พอจินเฟยเหยาเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย ทว่านางไม่อยากเจอพวกเขาอย่างยิ่ง จึงหมุนตัวคิดจะจากไป

น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่อยากให้นางหนี คนกลุ่มนั้นไล่ตามมาขวางทางนางเอาไว้ เด็กหญิงผู้นั้นมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ จึงตะโกนเสียงดังอย่างมั่นใจ “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย จินเฟยเหยา ที่แท้เจ้าหนีมาอยู่ที่นี่เอง”

“เจ้าสิหนี พูดจาดีๆ ได้หรือไม่” จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว เอ่ยบริภาษเสียงเย็นเยียบ จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น เหล่มองด้วยท่าทางดูแคลนพวกเขาแล้วเอ่ย “พวกเจ้าสองคนน่าจะเรียกข้าว่าพี่มิใช่หรือ? ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ เพิ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนได้ไม่กี่วันก็ถือว่าไร้เทียมทานแล้ว? พวกเจ้าเรียนอยู่ที่สำนักหลิงคงได้อย่างไร ไม่รู้จักมารยาทสักนิด”

จากนั้นนางก็ส่ายศีรษะ เอ่ยทอดถอนใจอย่างจงเกลียดจงชัง “สำนักหลิงคงเป็นถึงสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียง คิดไม่ถึงว่าจะมีศิษย์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าลับหลังอาจารย์ของพวกเจ้าจะเสียใจเพียงใด”

“จินเฟยเหยา เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ข้าถือตนเองว่าไร้เทียมทานเมื่อใด” เด็กหญิงคนนั้นหน้าแดงก่ำ พอเจอจินเฟยเหยาก็ถูกใส่ร้าย จึงอดกระแอมคอแล้วตะโกนไม่ได้

จินเฟยเหยาล้วงหู เอ่ยด้วยท่าทีเย็นชา “ไม่มีธุระก็หลีกไป ห้ามต่อสู้กันในเมืองลั่วเซียน ถ้าไม่อยากถูกไล่ออกไปก็ไปให้พ้น”

“พี่ ดียิ่งนักที่ได้พบท่านที่นี่ ท่านก็รู้ว่าเฟยเยี่ยนพูดไม่เก่ง อย่าถือสานางเลย” เด็กหนุ่มที่ถูกจินเฟยเยี่ยนฉุดดึงแขนเสื้อมาตลอดก้าวมาข้างหน้า เอ่ยกับจินเฟยเหยายิ้มๆ

จินเฟยเหยามองพินิจเขาขึ้นลงอยู่นาน จึงทำท่าทางเหมือนเพิ่งตระหนักได้ “ที่แท้เป็นน้องเฟยเหวิน ไม่ได้พบไม่กี่ปี เจ้าตัวสูงขนาดนี้แล้ว เจ้าไปสำนักหลิงคงมิใช่หรือ ทำไม? มาเที่ยวเมืองลั่วเซียนหรือ?”

เห็นสีหน้าอวดโอ่ของนาง จินเฟยเหวินก็ไม่ใส่ใจ ยังเอ่ยอย่างสุภาพมีมารยาท “พี่เฟยเหยา ตอนนี้สำนักหลิงคงของข้าย้ายมาที่ยอดเขาชีเสียนของภูเขาเซียนซู่แล้ว ต่อไปพวกเราจะได้พบกันบ่อยๆ ข้าคิดว่าท่านปู่ก็น่าจะยินดี ได้พบหลานอีกครั้งไม่รู้ว่าจะดีใจเพียงใด ครั้งนี้พี่อย่าจากไปเพราะสำนักหลิงคงย้ายมาอยู่ที่นี่อีกล่ะ ท่านปู่ก็วางแผนว่าจะย้ายคนในตระกูลส่วนหนึ่งมาอยู่ที่นี่ก่อน ดังนั้นลูกพี่ลูกน้องจึงติดตามพวกเรามาด้วย พวกเขาก็อยากพบท่านมากเช่นกัน”

ใช้ท่านปู่มาขู่ข้าหรือ? จินเฟยเหยายิ้ม เฟยเหวินคนนี้ตั้งแต่เล็กก็เป็นเช่นนี้ ดูแล้วสุภาพมีมารยาททว่าเบื้องหลังกลับชั่วร้าย คนที่ร้ายกาจที่สุดในตระกูลคือชายชราขั้นฝึกปราณช่วงปลายคนหนึ่ง บรรดาท่านลุงท่านอาเหล่านั้นมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณ ยังคิดจะจับนางในเมืองลั่วเซียน ดูถูกกันเกินไปแล้ว “พวกจินเฟยอวี่และจินเฟยหวาล่ะ? ตอนนี้ยังฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาไหมหยกอยู่ในตระกูลหรือไม่?” นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน เอ่ยถามเรื่องอื่น

คนทั้งสองได้ยินนางเอ่ยถาม สีหน้าของจินเฟยเยี่ยนพลันแดงก่ำราวกับอับอาย ทว่าจินเฟยเหวินกลับยิ้ม เอ่ยอย่างสุภาพดังเดิม “พี่คิดถึงพี่สาวคนอื่นๆ สินะ ชาติที่แล้วพวกนางทำบุญมาดี ได้รับความโปรดปราณจากผู้อาวุโสขั้นสร้างฐานของสำนักหลิงคง ตอนนี้เข้าสู่สำนักหลิงคงแล้ว ว่าไปแล้วถ้าพี่สาวอยู่ ก็น่าจะได้รับความโปรดปราณจากผู้อาวุโสเช่นกัน ความเป็นอยู่ในตอนนี้จะต้องดีมากแน่นอน”

จินเฟยเหยาพยักหน้า เอ่ยอย่างเห็นด้วย “ใช่ ต้องลำบากท่านปู่แล้ว ให้พวกนางฝึกเคล็ดวิชาเตาหลอมมนุษย์อย่างยากลำบากมานานหลายปี ถ้าไม่ส่งไปประจบผู้อาวุโสของสำนักหลิงคง พวกเจ้าสองคนเข้าสำนักมานานขนาดนี้ คนหนึ่งเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงกลาง อีกคนหนึ่งยังเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงต้น ตอนนี้อาจจะยังกวาดประตูใหญ่ในสำนักอยู่ คนที่มีญาติของตนเองนี่ดีนะ ผลิตเองขายเอง วันหน้ายังรอให้พวกเจ้าสองคนกำเนิดทายาทไปเรียนคัมภีร์ผสานหยางอยู่นะ จะได้ทำเป็นเตาหลอมมนุษย์ที่ดียิ่งขึ้นให้ผู้อื่น”