“พี่พั่งยา ข้าผิดไปแล้ว!”
ซ่งฝูหลิงตกใจ ซ่งจินเป่าวิ่งมาอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ซ่งจินเป่าดึงเสื้อซ่งฝูหลิง “ต่อไปข้าจะไม่เถียงอาสะใภ้สามแล้ว อาสาม อาสะใภ้ให้ข้าไปไหนข้าก็จะไป สั่งให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำ” เขากัดฟันพูด “ข้าจะไม่ค้นหาของกินของอาสะใภ้สาม ถ้านางให้ข้า ข้าถึงจะกิน จะไม่แย่งกินแน่นอน”
ซ่งฝูหลิงมองเด็กน้อยที่พันรอบตัวด้วยผ้าม่านสีชมพู “หลังจากนั้นล่ะ”
“ยัง? ยังมีอีกหรือ?”
“แน่นอน”
ซ่งจินเป่ามึนงง เขาเกาศีรษะ หลังจากนั้นก็ไม่มีนี่นา เขาก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ด่าอาสะใภ้สามไปหลายประโยคโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะอาสะใภ้ขี้เหนียวมาก และเขาก็ถูกพ่อของเขาตีน่ะ
ซ่งฝูหลิงมองเขาก็เอ่ยเตือน “ระหว่างเดินทางห้ามตบตีเฉียนหมี่โซ่ว เขายังเด็กกว่าเจ้านัก”
เดิมทีอยากจะพูดเยอะกว่านี้ อย่างเช่น อย่าเห็นแก่กินอย่างเดียว ต้องคิดถึงพี่สาวทั้งสอง ต้ายากับเอ้อร์ยาบ้าง อย่าแย่งอาหารของพวกนางกิน ช่างเถอะ พูดกับเด็กไม่กี่ขวบไปก็เท่านั้น ในสายตาของลุงรองกับป้ารอง ไม่มีต้ายา เอ้อร์ยาอยู่ในสายตา
“เจ้าพูดอีกรอบสิ”
ซ่งจินเป่าไม่เพียงพูดซ้ำ เขายังพูดเองอีกด้วย “ไม่ทะเลาะและไม่รังแกเฉียนหมี่โซ่ว เขาเป็นน้องชาย ข้าต้องยอมให้เขา ไม่แย่งอาหารของเขากิน พี่พั่งยา แบ่งข้าวสวยให้ข้าได้ไหม?”
ซ่งฝูหลิงพยักหน้ายิ้ม
“สองชามได้ไหม?”
“อืม เรื่องนี้ ข้าต้อง…”
ซ่งจินเป่ารีบเอามือปิดหูแล้ววิ่งหนีไปหาพ่อของเขาพร้อมตะโกน “ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง ต้องเป็นสองชาม!”
พวกผู้ใหญ่ได้ยินก็ถามว่าสองชามอะไร? เมื่อรู้เหตุผลแล้วก็ไม่ได้สนใจนัก
พวกเด็กๆ น่ะ มีความฝันถือว่าเป็นเรื่องดี
มีเพียงซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิงที่ถึงกับถอนหายใจ ธรรมดาบุตรสาวของเขาอยากได้อะไร พวกเขาก็หามาให้เสมอ แต่ครั้งนี้ความหวังนั้นดูยิ่งใหญ่จนเกินไป!
นี่มีคนยี่สิบกว่าคน จะให้กินอิ่ม ต้องใช้ข้าวเท่าไร ค่อยดูสถานการณ์ข้างหน้าแล้วกัน ยิ่งคิดยิ่งปวดฟัน
เดินไปอีกหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ท้องฟ้าก็เริ่มสาง ทุกคนเพิ่งเดินข้ามภูเขามาถึงอีกด้าน
นึกถึงคำพูดของเถียนสี่ฟาว่ามันเป็นพื้นที่ทุรกันดาร และอีกร้อยกว่าลี้จากนี้ก็จะมีแต่ภูเขาลูกใหญ่กว่า บนนั้นอาจมีโจรภูเขา
“ท่านพี่” เฉียนเพ่ยอิงรู้สึกตื่นตระหนก “ท่านว่ าหากมีโจรภูเขาอยู่บนเขาลูกนั้น พวกเขาจะสามารถเห็นพวกเราหลายคนจากในระยะร้อยกว่าลี้ได้ไหม? ขบวนพวกเราก็ใหญ่อยู่นะ”
“ไม่หรอก เจ้าอย่าตื่นตระหนกนักเลย” ซ่งฝูเซิงตบกระเป๋ากันฝนที่สะพายอยู่ด้านหลัง เอ่ยเตือนเบาๆ “เจ้าคิดว่าพวกเขามีกล้องส่องทางไกลหรือไง มีเพียงสามีเจ้าที่มีมัน ตอนนี้ในใต้หล้า มีข้าเพียงคนเดียวที่มี รู้รึยัง?”
“เจ้ามี เจ้าแค่เห็นแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ต่อให้เจ้ามีกล้องส่องทางไกลสิบอัน แต่พวกเขากล้าฆ่าคน เจ้ากล้าฆ่าคนไหมล่ะ?”
ซ่งฝูเซิง “…”
พูดแบบนี้ทำให้เถียงไม่ออกเลย ไม่ใช่เพราะเขาไม่กล้าฆ่าใคร แต่เป็นเพราะกฎหมายในยุคปัจจุบันควบคุมอยู่ต่างหาก
เกาถูฮู่ตะโกนเรียก “เสี่ยวซาน?”
อืม เพิ่งจะสนิทกันไม่ถึงคืน จากที่เคยเรียกซ่งถงเซิง กลายเป็นเสี่ยวซานไปแล้ว
“เฮ้ ลุงเกา ว่าไง!”
“บนภูเขานี้มีถ้ำไหม? ข้าไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ถ้ำด้านในก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปได้กี่คน แต่ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ควรต้องขึ้นไปบนภูเขาก่อน พวกเราไม่สามารถอยู่บนพื้นที่รกร้างนี้ได้ จะกลายเป็นเป้าใหญ่จนเกินไป อาจถูกโจมตีได้”
เขาไม่รู้ว่ามีถ้ำหรือไม่ ลุงเกาไปถามพี่เขยของเขาเสียยังจะดีกว่า ซ่งฝูเซิงโบกมือ “ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขึ้นไป ขึ้นไปพักสักครึ่งวันก่อน คอยดูสภาพดินฟ้าอากาศ!”
“ได้!” เกาถูฮู่ตอบกลับ และหันกลับไปบอกคนในครอบครัว “ลงจากรถให้หมด เกวียนวัวควายคงลากไม่ไหว เอาเด็กแบกใส่หลังขึ้นเขาไป!”
เฉียนเพ่ยอิงรีบหันไปโบกมือเรียกซ่งฝูหลิง “ลูกสาว? รีบหน่อย ได้ยินไหม? ตามข้ามา”
ซ่งฝูเซิงถลึงตาใส่นาง อาศัยจังหวะจับแขนนางไว้ ด่าน้ำเสียงเบา “เจ้าจะรีบไปทำไมกัน มีเสือนะ ท้องฟ้าก็มืดจนมองอะไรไม่เห็น บนภูเขาอากาศอับชื้น อาจมีงูที่ไหนไม่รู้โผล่มากัดเจ้าได้ ไปๆ พาลูกสาวไปอยู่ด้านหลัง…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงชนกันอย่างแรง ซ่งฝูเซิงถูกซ่งฝูหลิงชนจนล้มลง พ่อลูกหมอบลงกับพื้น ฝุ่นฟุ้งกระจายทันที มุ้งลวดบนหน้าของซ่งฝูเซิงไม่มีตัวกรอง เลยกินฝุ่นไปเต็มปาก
“โอ้สวรรค์ ลูกสาม!”
ท่านย่าหม่าเพิ่งลงจากรถลากเทียมล่อ นางเห็นบุตรชายของนางถูกชนจนล้มลงเสียงดัง นางก็รู้สึกเจ็บตามไปด้วย
ท่านย่าหม่าตะโกนด่า “พั่งยา เจ้าตาบอดรึไงถึงได้ชนพ่อของเจ้า!”
ซ่งฝูเซิงอยากพูดว่า ลูกสาว ลุกออกจากบนตัวพ่อได้แล้ว เจ้าชนแรงแบบนี้เกือบทำให้ข้าเจ็บหน้าอก
ซ่งฝูหลิงคิดว่า คนที่จะทำงานใหญ่จะต้องทนรับอารมณ์ได้ คำด่าก็คิดเสียว่าเป็นการร้องเพลง นางค่อยๆ ลุกขึ้นและกระซิบกระซาบกับพ่อ “ท่านพ่อต้องร้องโอดโอย จะได้ไม่ต้องเป็นหัวหน้าพาคนขึ้นภูเขา นี่มันเป็นป่าดงดิบนะ มันมีเสือ”
“โอ้ย!” ซ่งฝูเซิงให้ความร่วมมือ รีบเอามือกุมเอว “โอ้ย เจ้าเด็กคนนี้ ชนข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อทุกคนได้ยินก็รู้ว่าเหตุการณ์ไม่ค่อยดีแล้ว คำว่าตายถือเป็นคำต้องห้ามของพวกเขา ดูท่าคงจะบาดเจ็บหนักจริง ไม่เช่นนั้นใครจะสาปแช่งตัวเองแบบนั้น อาจจะเจ็บที่กระดูกก็เป็นได้และมีคนถามเสียงดังว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ซ่งหลี่เจิ้งเข้าไปคลำเอวและขาของซ่งฝูเซิง หลังจากนั้นก็ยืนพูดกับทุกคน “หาคนร่างกายกำยำมาสองคนก่อน ให้คอยนำทางข้างหน้า และต้องพาพรรคพวกไปด้วยนะ อย่านำไปเจอพวกหมาป่า เสือ ถ้าเจออันตรายอาจถึงตายได้ อย่าลืมทำสัญลักษณ์นำทางด้วย”
เถียนสี่ฟาเสนอตัวด้วยความกล้าหาญ “ข้ากับพ่อเคยมาที่ภูเขาลูกนี้มาก่อน ทุกคนตามข้ามา ถ้าข้าจำไม่ผิดบนเขามีถ้ำอยู่ ต้องไปดูว่าคนเข้าไปอยู่ได้เท่าไรก็เท่านั้น”
“ได้ ให้สี่ฟาเป็นแนวหน้า พวกเจ้าก็ต้องตามไปทั้งหมด” ซ่งหลี่เจิ้งพยักหน้าแล้วกล่าวเพิ่มเติม “ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ถ้าท้องฟ้าแปรปรวน พวกเราก็ใช้เสื่อน้ำมันกางเป็นเต็นท์ ทำตามนี้แหละ พวกเจ้าเดินกันไปก่อน”
จัดการพวกนี้เสร็จเรียบร้อย ซ่งหลี่เจิ้งก็หันกลับมาพูดกับซ่งฝูเซิง “มา ข้าพยุงเจ้าเอง พวกเราจะเดินอยู่ด้านหลังคอยดูแลขบวน”
“ท่านลุงไม่ต้อง ไม่ต้องจริงๆ ท่านรีบไปข้างหน้าดูแลการสั่งการเถอะ”
ซ่งหลี่เจิ้งปฎิเสธ เขาคิดในใจ จะให้เขาเดินไปด้านหน้าเพิ่มความวุ่นวายอะไรอีก นั่นเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มควรทำ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เขายังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย อยู่ด้านหลังปลอดภัยที่สุด
ซ่งหลี่เจิ้งยังคงพยุงซ่งฝูเซิงลุกขึ้นมา
ทุกคนเริ่มปีนเขากันแล้ว
คบไฟด้านหน้าถูกจุดขึ้นสิบกว่าอันจนส่องแสงสว่างไสวเบื้องหน้า เคียวสิบกว่าอันตวัดถางวัชพืชสูงเท่าเอวออกไปเพื่อเปิดทางเดิน
ตลอดทางขึ้นภูเขานี้ เนื่องจากซ่งฝูเซิง “บาดเจ็บ” ซ่งหลี่เจิ้งก็อายุมาก จึงรั้งท้ายอยู่ด้านหลังขบวน เถียนสี่ฟา ลุงของซ่งฝูหลิงจึงกลายเป็นผู้นำชั่วคราว
วัชพืชที่ขวางทางเดินอยู่ด้านหน้าถูกถางทิ้งออกทั้งหมด ยังต้องตัดให้ทางเดินกว้างขึ้นกว่านี้ เพื่อที่จะสามารถให้รถลากเทียมล่อ เกวียนผ่านเข้ามาได้ ให้คนสูงวัยและเด็กสามารถเดินได้อย่างสะดวก
แต่ถ้าด้านหน้าเป็นพวกกิ่งไม้ขวางทาง เถียนสี่ฟาจะให้ทุกคนตัดมาให้เขาแบก เพราะเขาวางแผนไว้ในใจ ถ้าเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นได้ไม่หมด หากฝนตกลงมาก็ต้องกางเต็นท์ ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากเศษไม้พวกนี้ได้ ด้วยการเอามาดัดเปลี่ยนรูปร่างตามความต้องการ